ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

แวนโก๊ะเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยความงดงาม เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และมีสีสันสดใส แต่ชีวิตจริงของเขากลับหม่นหมองทุกข์ระทม เขาเกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี 1853 เป็นเด็กที่เคร่งขรึมจริงจังและคิดมาก เขาต้องทำงานหลายอย่างตั้งแต่เป็นวัยรุ่น แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะหันมาสนใจและเริ่มต้นเขียนภาพในวัย 27 ปี และในปี 1885 เขาก็มีผลงานสำคัญชิ้นแรกคือ The Potato Eaters

ปี 1886 แวนโก๊ะย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสที่ซึ่งเขาได้เรียนรู้เทคนิคและแนวทางใหม่ในการเขียนภาพ ได้พบกับศิลปินยุคนั้นหลายคนรวมทั้งปอล โกแก็ง เขาได้พัฒนาฝีมือในการเขียนภาพและสร้างแนวทางของตัวเองที่มีสีสันสดใสขึ้น ต่อมาในปี 1888 เขาย้ายไปอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่เมือง Arles และ Saint-Rémy ที่อยู่ใกล้กัน สองปีที่นี่เป็นจุดสูงสุดของการเป็นศิลปินของแวนโก๊ะ เขาสร้างผลงานชั้นยอดมากมายที่นี่ เช่น Sunflowers, Café Terrace at Night, Irises รวมทั้งผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา The Starry Night

แวนโก๊ะต้องทนทุกข์กับความเจ็บป่วยและอาการโรคจิตผิดปกติ เขาไม่ค่อยใส่ใจต่อสุขภาพ ไม่ค่อยกินอาหารแต่ดื่มจัด เคยคลุ้มคลั่งถึงขั้นใช้มีดโกนตัดใบหูข้างซ้ายของตัวเอง จนในที่สุดเขาก็จบชีวิตด้วยการยิงตัวเองเมื่อปี 1890 ด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี

แวนโก๊ะเหมือนเป็นผู้แพ้ตลอดมา ชีวิตล้มเหลว ถูกประนามว่าเป็นคนบ้า แต่ในช่วงเวลาเพียง 10 ปีของการเป็นจิตรกร เขามีผลงานภาพเขียนกว่า 800 ภาพ แม้ว่าตลอดชีวิตเขาจะขายภาพเขียนได้เพียงภาพเดียว คนซื้อยังเป็นเพื่อนศิลปินของเขาเอง แต่จากฝีแปรงที่หยาบและหนาไม่เหมือนใครกลับถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม กลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น หลังจากเขาเสียชีวิตภาพเขียนของเขากลับโด่งดังเป็นที่ต้องการ แต่ละภาพถูกซื้อขายด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว

10 ผลงานชิ้นเอกของวินเซนต์ แวนโก๊ะ

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
The Starry Night

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Sunflowers

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Irises

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Wheat Field with Cypresses

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Café Terrace at Night

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Portrait of Dr. Gachet

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Almond Blossoms

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์


Self-Portrait with Bandaged Ear

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Starry Night Over the Rhone

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Potato Eaters

 

2. โกลด มอแน (Claude Monet)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

มอแน เป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ เป็นจิตรกรคนสำคัญของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 เขาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1840 แต่ไปเติบโตและเรียนศิลปะที่เมืองเลออาฟวร์ ในนอร์ม็องดีทางเหนือของฝรั่งเศส จนอายุ 19 ปีจึงได้มาล่าฝันการเป็นศิลปินต่อในกรุงปารีส ได้เรียนศิลปะเพิ่มและได้พบกับศิลปินที่มีความคิดต่อศิลปะแนวใหม่คล้ายๆกันหลายคน รวมทั้งเอดัวร์ มาแน และปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ ในปี 1865 มอแนได้พบกับ Camille Doncieux ซึ่งมาเป็นนางแบบให้และต่อมาได้เป็นภรรยาคนแรกของเขา มอแนเขียนภาพที่มี Camille อยู่ในภาพด้วยจำนวนมาก ที่โดดเด่นได้แก่ Camille (The Woman in the Green Dress), Women in the Garden, Woman with a Parasol

มอแนกับเพื่อนหลายคนช่วยกันผลักดันภาพเขียนแนวใหม่จนได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งแรกในกรุงปารีสเมื่อปี 1874 มอแนใช้ภาพ ‘Impression, Sunrise’ เป็นภาพหนึ่งในการจัดแสดงซึ่งต่อมาชื่อภาพถูกนำไปใช้เรียกศิลปะแนวใหม่ว่าอิมเพรสชันนิสม์ แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จและยังถูกต่อต้านจากกลุ่มนิยมศิลปะดั้งเดิม ทำให้มอแนต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นยาวนานถึง 20 ปี

ปี 1883 มอแนย้ายไปอยู่ที่เมืองจิแวร์นีย์ ในนอร์ม็องดี และทำสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่เขียนภาพไปตลอดจนถึงบั้นปลายของชีวิต ภาพชุด Water Lilies ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เขียนจากสวนหลังบ้านของเขาเอง ช่วงหลังมอแนนิยมเขียนภาพชุดที่มีองค์ประกอบเดียวกันแต่ต่างมุมมอง ต่างเวลา ต่างสภาวะอากาศและแสงสี เกิดเป็นภาพชุดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย เช่น ชุด Rouen Cathedral, ชุด Poplars, ชุด Haystacks มอแนเสียชีวิตเมื่อปี 1926 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานให้ผู้คนได้ชื่นชมด้วยความ ‘ประทับใจ’ มากมาย

10 ผลงานชิ้นเอกของโกลด มอแน

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
Water Lilies

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Impression, Sunrise

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Women in the Garden

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Woman with a Parasol – Madame Monet and Her Son

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Camille (The Woman in the Green Dress)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Garden at Sainte-Adresse

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Poppies

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Rouen Cathedral at sunset

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Three Trees in Grey Weather

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Grainstacks at the End of the Summer, Morning Effect

 

3. ปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

เรอนัวร์เป็นหนึ่งในผู้สร้างศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ให้ความสำคัญของการใช้สีสันสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าให้รายละเอียดที่เหมือนจริง งานของเรอนัวร์จะใช้สีสดใสมีชีวิตชีวา เน้นความสวยงามและเสน่ห์ของผู้หญิง เรอนัวร์เกิดในปี 1841 ที่เมือง Limoges ประเทศฝรั่งเศส แต่มาเติบโตที่กรุงปารีส เรียนศิลปะรุ่นเดียวกับโกลด มอแน เขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนภาพจากศิลปินรุ่นพี่หลายคนรวมทั้ง เอดัวร์ มาแน

เรอนัวร์มีผลงานเข้าร่วมในนิทรรศการศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์หลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 3 ในปี 1877 ที่เขาส่ง Dance at Le Moulin de la Galette ภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดของเขาเข้าร่วมด้วย แต่เขามาประสบความสำเร็จกลายเป็นศิลปินยอดนิยมด้วยภาพ Madame Georges Charpentier and Her Children ที่ได้จัดแสดงในปี 1879 เรอนัวร์แต่งงานกับ Aline Charigot ผู้เป็นนางแบบให้ในภาพ Luncheon of the Boating Party และ The Large Bathers

ราวปี 1892 เรอนัวร์เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ในเมือง Cagnes-sur-Mer ที่มีอากาศอบอุ่นทางใต้ของประเทศ โรคข้ออักเสบทำให้เขาเคลื่อนไหวลำบาก แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงเขียนภาพอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาอุปกรณ์ช่วยให้เขาทำงานได้ แม้แต่ตอนที่อาการรุนแรงจนนิ้วมือเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ เขายังใช้ผ้าผูกแปรงติดกับนิ้วมือเขียนภาพจนได้ สิ่งที่ปลอบประโลมใจเขาในปั้นปลายของชีวิตคือการได้กลับไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อดูภาพเขียนของเขาเองที่แขวนเคียงคู่อยู่กับศิลปินชั้นนำคนอื่นๆ เขาเสียชีวิตในปี 1919 ด้วยวัย 78 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
Dance at Le Moulin de la Galette

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Luncheon of the Boating Party

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Two Sisters (On the Terrace)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Large Bathers

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Dance at Bougival

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

La Grenouillère

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Girls at the Piano

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Theatre Box

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Umbrellas

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Madame Georges Charpentier and Her Children

 

4. แอดการ์ เดอกา (Edgar Degas)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

แอดการ์ เดอกา เป็นศิลปินผู้โดดเด่นในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเป็นทั้งจิตรกร ประติมากร และช่างภาพพิมพ์คนสำคัญของฝรั่งเศส เดอกาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1834 เขาชอบการเขียนภาพตั้งแต่เด็กแต่ต้องเข้าเรียนวิชากฎหมายตามความต้องการของพ่อ จากนั้นจึงได้เรียนศิลปะที่สถาบัน École des Beaux-Arts ปี 1856 เดอกาเดินทางไปอิตาลีศึกษาและคัดลอกภาพเขียนของศิลปินชั้นครูยุคเรอเนสซองส์หลายคนรวมทั้ง Michelangelo, Raphael และ Titian เขาฝึกฝีมืออยู่ที่อิตาลีถึง 3 ปีและยังคัดลอกภาพในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อีกหลายปี ทำให้เขามีฝีมือการเขียนลายเส้นที่สวยงามที่สุดคนหนึ่ง ระหว่างที่อยู่ในอิตาลีเขาได้เริ่มต้นสร้างภาพเขียนชิ้นเอกชิ้นแรกคือภาพ Portrait of the Bellelli Family

เดอกากลับปารีสในปี 1859 และเริ่มสร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์อยู่หลายปีก่อนจะเปลี่ยนแนวหลังจากได้เจอกับ Édouard Manet ปี 1864 เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกาอยู่พักหนึ่งหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเป็นทหารเกณฑ์ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ที่นั่นเขาได้เขียนภาพชิ้นเยี่ยม A Cotton Office in New Orleans แม้เดอกาจะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ แต่เขาไม่เขียนภาพกลางแจ้งเหมือนศิลปินคนอื่น เขาชอบเขียนภาพในสตูดิโอและชอบเขียนภาพนักเต้นบัลเลต์เป็นพิเศษ ผลงานของเขากว่าครึ่งหนึ่งเป็นภาพนักเต้นที่มีลายเส้นและท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่งดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ผลงานชิ้นเยี่ยมในบรรดาภาพเหล่านี้ได้แก่ภาพ The Ballet Class, Ballet Rehearsal และ The Dance Class

เดอกาชอบเขียนภาพบรรยากาศในคาเฟ่ เขามีผลงานชั้นยอดที่เป็นทั้งภาพนักร้องในคาเฟ่และผู้ที่มาดื่มกินจำนวนมาก ภาพ In a Café (The Absinthe Drinker) เป็นหนึ่งในภาพที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เดอกายังชอบเขียนภาพนู้ดผู้หญิงในหลากหลายอิริยาบถ, ภาพบรรยากาศในสนามแข่งม้า รวมทั้งภาพเหมือนบุคคลด้วย นอกจากงานเขียนภาพแล้วเขายังมีผลงานด้านประติมากรรมที่มีความโดดเด่นเช่นกัน เดอกาผู้ได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรคลาสสิกแต่วาดภาพสมัยใหม่เสียชีวิตในปี 1917 ด้วยวัย 83 ปี โดยไม่ได้แต่งงานกับใครแม้จะมีความใกล้ชิดกับผู้หญิงหลายคน เขาทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตสร้างงานศิลปะที่เขารักเหนือสิ่งอื่นใด

10 ผลงานชิ้นเอกของแอดการ์ เดอกา

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
In a Café (The Absinthe Drinker)

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Ballet Class

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Ballet Rehearsal

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Dance Class

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

A Cotton Office in New Orleans

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Portrait of the Bellelli Family

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Interior

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Rehearsal of the Ballet Onstage

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Millinery Shop

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Place de la Concorde

 

5. เอดัวร์ มาแน (Édouard Manet)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

เอดัวร์ มาแน เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสคนแรกๆที่ฉีกแนวการเขียนภาพแบบดั้งเดิมมาเป็นการเขียนภาพชีวิตสมัยใหม่ เป็นคนสำคัญในการเปลี่ยนจากศิลปะแบบสัจนิยมมาเป็นแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเกิดเมื่อปี 1832 ที่กรุงปารีส มาแนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กแต่พ่ออยากให้เป็นนักกฎหมายเหมือนตัวเองจึงต้องเรียนตามใจพ่อ กว่าจะได้เริ่มเรียนศิลปะจริงจังก็ตอนอายุได้ 18 ปีแล้ว เขาเรียนเขียนภาพกับ Thomas Couture นาน 6 ปี พอมีเวลาว่างเขาก็ไปคัดลอกภาพเขียนชื่อดังในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ระหว่างปี 1853-1856 เดินทางไปในเยอรมัน, อิตาลี และเนเธอร์แลนด์เพื่อศึกษาผลงานของศิลปินเลื่องชื่อ ก่อนจะกลับมาเป็นจิตรกรมืออาชีพที่ปารีสในปี 1856

มาแนเริ่มต้นด้วยการเขียนภาพแบบสัจนิยมเป็นหลัก มีการเขียนภาพแนวศาสนาและเรื่องจากตำนานบ้างเล็กน้อย เขาค่อยๆพัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นแบบฉบับของตัว จนถึงปี 1862 จึงได้เขียนภาพสำคัญชิ้นแรกคือภาพ Music in the Tuileries ปีต่อมาเขาสร้างผลงานชิ้นเอก 2 ภาพคือภาพ Luncheon on the Grass และ Olympia ซึ่งทั้งสองภาพได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และโต้เถียงกันอย่างมาก เพราะบรรดานักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญศิลปะรุ่นเก่ายังรับการนำเสนอแบบใหม่ในงานของเขาไม่ได้ แต่ต่อมาทั้งสองภาพนี้กลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของเขาและยังเป็นต้นธารแห่งศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่กำเนิดโดยกลุ่มศิลปินรุ่นหลังที่เป็นเพื่อนของเขาหลายคน รวมทั้ง Claude Monet และครอบครัวที่เขาใช้เป็นแบบในภาพเขียนชั้นยอดของเขาหลายภาพ หนึ่งในนั้นคือภาพ Boating

มาแนชอบเขียนภาพที่มีฉากหลังเป็นภูมิทัศน์เมืองปารีส ภาพ The Railway เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ได้รับการชื่นชอบมาก เขาเขียนภาพเหมือนได้อย่างยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์ในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างเช่นภาพ Berthe Morisot with a Bouquet of Violets มาแนมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์อยู่ราว 20 ปี ซึ่งเขาได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้จำนวนมาก ภาพเขียนสำคัญชิ้นสุดท้ายของเขาคือภาพ A Bar at the Folies-Bergère ซึ่งเขียนเสร็จในปี 1882 หลังจากนั้นเขาจะเขียนแต่ภาพขนาดเล็กพวกภาพเหมือนและภาพดอกไม้ในแจกัน มาแนเสียชีวิตในปี 1883 ด้วยวัย 51 ปี ผลงานการพัฒนาสไตล์การเขียนภาพแบบใหม่ของเขาถือเป็นนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นต่อมานำไปใช้สร้างสรรค์ศิลปะสมัยใหม่

10 ผลงานชิ้นเอกของเอดัวร์ มาแน

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
Olympia

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Luncheon on the Grass

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

A Bar at the Folies-Bergère

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Railway

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Luncheon in the Studio

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Boating

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The grand canal of Venice (Blue Venice)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

In the Conservatory

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Berthe Morisot with a Bouquet of Violets

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Music in the Tuileries

 

6. ปอล เซซาน (Paul Cézanne)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

ปอล เซซาน เป็นจิตรกรคนสำคัญชาวฝรั่งเศสในลัทธิประทับใจยุคหลังผู้วางรากฐานแนวคิดสู่ศิลปะสมัยใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในศตวรรษที่ 20 เซซานเกิดเมื่อปี 1839 ที่เมือง Aix-en-Provence ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส หลังจากต้องเรียนกฎหมายตามความต้องการของพ่อที่เป็นนายธนาคารอยู่นาน ปี 1861 เขาจึงได้โอกาสไปเรียนศิลปะที่กรุงปารีสและได้รู้จักคลุกคลีอยู่กับกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน โดยเฉพาะ Camille Pissarro ที่สอนการเขียนภาพในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์แก่เขาและยังได้เขียนภาพด้วยกันอยู่หลายปี เซซานจึงเปลี่ยนแนวจากการใช้สีมืดทึบในช่วงแรกๆมาเป็นสีสว่างสดใสขึ้น ผลงานเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ The House of Hanged Man, ภาพ L’Estaque, Melting Snow และภาพ A Modern Olympia

ต้นทศวรรษ 1880 เซซานย้ายไปอยู่ที่ Provence ที่ซึ่งเขาได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นของตัวเอง เขาชอบเขียนภาพทิวทัศน์ภูเขา Montagne Sainte-Victoire มาก หากใครได้ดูภาพทิวทัศน์ภูเขาลูกนี้ที่เขาเขียนไว้ทั้งหมดหลายสิบภาพก็จะเห็นพัฒนาการในสไตล์การเขียนภาพของเขาได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าภาพ Montagne Sainte-Victoire เป็นผลงานได้รับการยกย่องในลำดับต้นๆ นอกจากนี้เซซานยังมีผลงานการเขียนภาพเหมือนที่ยอดเยี่ยมในแบบฉบับของตัวเองอีกมากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ The Boy in the Red Vest และ Portrait of Madame Cézanne with Loosened Hair เป็นต้น

หลังจากปี 1990 เซซานต้องประสบกับปัญหาในชีวิตหลายอย่าง เขาเป็นโรคเบาหวาน รวมทั้งแยกกันอยู่กับภรรยา แต่เขายังคงทำงานเขียนภาพอย่างต่อเนื่องผลิตผลงานชั้นยอดออกมามากมาย พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงแนวคิดและสไตล์สู่ความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น ผลงานระดับสุดยอดของเขาก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ อย่างเช่นภาพ The Card Players และ The Bathers รวมทั้งภาพหุ่นนิ่งที่มักมีลูกแอปเปิลเป็นองค์ประกอบหลักที่เขาเขียนไว้หลายสิบภาพด้วยกัน เซซานเสียชีวิตในปี 1906 ขณะมีอายุ 67 ปี ทิ้งมรดกเป็นผลงานภาพเขียนมากกว่า 1,000 ภาพ ผลงานของเขาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างลัทธิประทับใจกับลัทธิคิวบิสม์ หลายคนให้การยกย่องเขาเป็น “บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่”

10 ผลงานชิ้นเอกของปอล เซซาน

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
The Card Players

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Bathers

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Boy in the Red Vest

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

A Modern Olympia

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Portrait of Madame Cézanne with Loosened Hair

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Curtain, Jug and Fruit

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Pyramid of Skulls

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Mont Sainte-Victoire

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The House of Hanged Man

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

L’Estaque, Melting Snow

 

7. ปอล โกแก็ง (Paul Gauguin)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

ปอล โกแก็ง เป็นศิลปินคนสำคัญอีกคนหนึ่งในลัทธิประทับใจยุคหลังชาวฝรั่งเศส เขาได้พัฒนาการเขียนภาพแนวใหม่หลุดพ้นจากความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์ปูทางสู่ศิลปะสมัยใหม่ โกแก็งเกิดเมื่อปี 1848 ที่กรุงปารีส เขาไม่เคยเรียนศิลปะที่สถาบันใดมาก่อนแต่ชอบเขียนภาพ เริ่มจากยามว่างจากงานในอาชีพนายหน้าค้าหุ้นและจริงจังมากขึ้นจนกระทั่งหันมาเขียนภาพอย่างเดียวตั้งแต่ปี 1882 โกแก็งเป็นเพื่อนกับศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน เขาเขียนภาพด้วยกันกับ Camille Pissarro, Paul Cézanne และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Vincent van Gogh ผู้ที่ชื่นชอบเขาเป็นพิเศษและได้เขียนภาพด้วยกันที่เมือง Arles ซึ่งเป็นที่มาของภาพดัง The Painter of Sunflowers และเหตุการณ์เฉือนใบหูตัวเองของ van Gogh

โกแก็งเริ่มเขียนภาพในแนวอิมเพรสชั่นนิสม์แต่เขาได้พัฒนาสไตล์จนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ภาพ Vision After the Sermon ในปี 1888 เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของเขา ตามมาด้วยภาพ The Yellow Christ ในปีถัดมา ปี 1891 เขาออกเดินทางล่าฝันหนีจากดินแดนแห่งประเพณีนิยมและจอมปลอมอย่างกรุงปารีสไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะตาฮิติ ที่นั่นเขาได้เขียนภาพทิวทัศน์ของเกาะและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวตาฮิติในสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมามากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ Tahitian Women on the Beach, Hail Mary รวมทั้งภาพ When Will You Marry? ที่กลายเป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

หลังจากกลับมากรุงปารีสในปี 1893 โกแก็งยังคงเขียนภาพชีวิตชาวตาฮิตาต่อไป อย่างเช่นภาพ Day of the God แต่เขาอยู่ที่ปารีสได้อีกไม่นานเพราะเขารักชีวิตการเป็นชาวเกาะเสียแล้ว ปี 1895 เขาจึงย้ายไปอยู่ที่เกาะตาฮิติอย่างถาวร พร้อมกับสร้างผลงานชั้นยอดเพิ่มอีกจำนวนมาก รวมทั้งภาพ Where Do We Come From? What Are We? Where Are We Going? และภาพ O Taiti (Nevermore) ช่วงบั้นปลายชีวิตโกแก็งย้ายไปพักอาศัยอยู่อย่างสงบในบ้านหลังเล็กๆที่เกาะ Marquesas อันห่างไกล เขาเสียชีวิตในปี 1903 ด้วยวัย 56 ปี หลังจากที่เขาจากไปชื่อเสียงกลับยิ่งเพิ่มพูนและผลงานของเขามีอิทธิพลต่อศิลปินสมัยใหม่รุ่นหลังจำนวนมาก รวมทั้ง Pablo Picasso และ Henri Matisse

10 ผลงานชิ้นเอกของปอล โกแก็ง

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
When Will You Marry

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Tahitian Women on the Beach

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Painter of Sunflowers

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Vision After the Sermon

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Hail Mary

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Where Do We Come From What Are We Where Are We Going (1897-1898)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Yellow Christ

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Spirit of the Dead Watching

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Day of the God

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

O Taiti (Nevermore)

 

8. กามีย์ ปีซาโร (Camille Pissarro)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

กามีย์ ปีซาโร เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสผู้มีส่วนสำคัญต่อการกำเนิดและพัฒนาการของลัทธิประทับใจทั้งยุคแรกและยุคหลัง ปีซาโรเกิดเมื่อปี 1830 ที่เกาะ St Thomas ในทะเลแคริบเบียน พออายุได้ 12 ปีพ่อส่งเขามาเรียนที่กรุงปารีสหวังให้เขาสานต่อธุรกิจของครอบครัวแต่ตัวเขาชอบศิลปะ ตอนอายุ 21 ปีหลังกลับมาทำงานช่วยครอบครัวได้ 5 ปี ปีซาโรไปฝึกเขียนภาพกับ Fritz Melbye ศิลปินชาวเดนมาร์กที่เวเนซุเอลานาน 2 ปีก่อนจะไปเรียนต่อที่ปารีสกับศิลปินดังอีกหลายคน รวมทั้ง Gustave Courbet และ Jean-Baptiste-Camille Corot ในช่วงนี้ปีซาโรชอบเขียนภาพกลางแจ้งส่วนใหญ่เป็นภาพทิวทัศน์ในชนบท มีผลงานเด่นอย่างเช่นภาพ Landscape with Farmhouses and Palm Trees

ต่อมาปีซาโรได้รู้จักสนิทสนมกับพวกศิลปินหนุ่มไฟแรงผู้มีแนวคิดใหม่ไม่ยึดขนบดั้งเดิมหลายคน ส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธไม่ได้แสดงผลงานในนิทรรศการศิลปะ Paris Salon จึงได้รวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะกันเอง กลายเป็นหัวขบวนของศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ ปีซาโรเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มที่รุ่นน้องๆนับถือ เพราะนอกจากเขาจะมีอายุมากกว่าพวกรุ่นน้องเป็นสิบปี เขายังมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน เป็นคนมีน้ำใจชอบแบ่งปัน ช่วยสอนเทคนิคใหม่ๆให้กับรุ่นน้องหลายคน รวมทั้ง Paul Cézanne และ Paul Gauguin ที่นับถือเขาเป็นทั้งเพื่อนและครู ปีซาโรเป็นคนเดียวที่ส่งผลงานเข้าร่วมแสดงทุกครั้งในนิทรรศการของกลุ่มที่จัดขึ้นทั้งหมด 8 ครั้ง ผลงานที่โดดเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ The Hermitage at Pontoise, Road to Versailles at Louveciennes (The Snow Effect) และ In the Garden of Les Mathurins at Pontoise

ในช่วงทศวรรษ 1880 ปีซาโรเริ่มพัฒนาวิธีเขียนภาพแนวใหม่ รวมทั้งหันไปเขียนภาพชีวิตชาวชนบท และยังได้ศึกษาเทคนิคการเขียนภาพโดยใช้จุดสีเล็กๆที่เรียกว่า Pointillism กลายเป็นศิลปะแนวใหม่ที่เรียกกันว่า Neo-impressionism มีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมายอย่างเช่นภาพ Hay Harvest at Eragny และ Haymaking, Éragny แต่ในทศวรรษต่อมาเขากลับไปใช้แนวทางแบบเก่าและเปลี่ยนไปเขียนภาพทิวทัศน์ของเมืองใหญ่แทนซึ่งเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ผลงานชิ้นเอกในช่วงนี้ได้แก่ภาพ Pont Boieldieu in Rouen, Rainy Weather, ภาพ Boulevard Monmartre in Paris และภาพ The Pont-Neuf เป็นต้น ปีซาโรเสียชีวิตที่กรุงปารีสเมื่อปี 1903 มีอายุ 73 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของกามีย์ ปีซาโร

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
Pont Boieldieu in Rouen, Rainy Weather

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Hay Harvest at Eragny

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Boulevard Monmartre in Paris

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Pont-Neuf

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

In the Garden of Les Mathurins at Pontoise

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Haymaking, Éragny

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Road to Versailles at Louveciennes (The Snow Effect)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Hermitage at Pontoise

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Autumn, Poplars, Eragny

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Landscape with Farmhouses and Palm Trees

 

9. กุสตาฟ กายบอตต์ (Gustave Caillebotte)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

กุสตาฟ กายบอตต์ เป็นจิตรกรและนักสะสมศิลปะชาวฝรั่งเศสหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ กายบอตต์เกิดเมื่อปี 1848 ที่กรุงปารีสในครอบครัวมั่งคั่ง เขาเรียนจบด้านกฎหมายและวิศวกรรมแต่ชอบการเขียนภาพจึงเข้าเรียนที่สถาบัน École des Beaux-Arts และเรียนกับจิตรกรคนอื่นด้วย กายบอตต์ได้รู้จักกับศิลปินในกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคนและได้ส่งภาพเขียนแสดงในงานนิทรรศการของกลุ่มครั้งที่สองรวม 8 ภาพ หนึ่งในนั้นเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นแรกของเขาคือภาพ The Floor Scrapers จากนั้นเขาได้ร่วมแสดงภาพและเป็นผู้สนับสนุนการจัดนิทรรศการของกลุ่มอีกหลายครั้ง

ภาพเขียนของกายบอตต์เป็นสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์ที่มีความเป็นสัจนิยม (Realism) มากกว่าศิลปินคนอื่นในกลุ่ม ผลงานการเขียนภาพบรรยากาศและทิวทัศน์ของเมืองปารีสยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะภาพ Paris Street; Rainy Day, ภาพ The Europe Bridge และภาพ Rooftops in the Snow (snow effect) ภาพในแนวชีวิตประจำวันก็โดดเด่นมากเช่นกัน อย่างเช่นภาพ Young Man at His Window, The Orange Trees หรือภาพ Gardeners เป็นต้น นอกจากเขียนภาพเองกายบอตต์ยังเป็นนักสะสมภาพเขียน เขาซื้อภาพเขียนของเพื่อนศิลปินในกลุ่มด้วยราคาสูงไว้จำนวนมาก ถือเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์

หลังจากที่เขาเสียชีวิตเมื่อปี 1894 ในวัย 45 ปี กายบอตต์มีพินัยกรรมยกภาพเขียนที่เขาสะสมไว้ซึ่งเป็นผลงานของสุดยอดศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคนจำนวน 68 ภาพให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศสโดยกำหนดว่าต้องจัดแสดงอยู่ที่พระราชวังลักเซมเบิร์ก แต่รัฐบาลไม่ยอมรับเพราะในเวลานั้นศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ยังไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับ ต้องมีการเจรจากันหลายครั้งกว่าจะจำใจรับไว้อย่างไม่เต็มใจ แต่ภายหลังภาพเขียนเหล่านั้นกลับกลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติ กายบอตต์ไม่เคยขายภาพเขียนของตัวเองเพราะเป็นคนรวยมาก (จากมรดก) อยู่แล้ว ผลงานของเขาจึงถูกลืมไปนานมากจนกระทั่งถึงทศวรรษ 1950 ลูกหลานเริ่มนำภาพเขียนของเขาออกขาย ผลงานของเขาจึงเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบัน

10 ผลงานชิ้นเอกของกุสตาฟ กายบอตต์

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
Paris Street; Rainy Day

 

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Floor Scrapers

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Europe Bridge

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Young Man at His Window

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Orange Trees

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Rooftops in the Snow (snow effect)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Man at His Bath

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Gardeners

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

The Yerres, Effect of Rain

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

Portraits in the Countryside

 

10. ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา (Georges-Pierre Seurat)

ศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์

ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสในลัทธิประทับใจยุคหลังผู้คิดค้นเทคนิคการเขียนภาพแบบผสานจุดสี (Pointillism) ผลงานของเขานำไปสู่การเปลี่ยนทิศทางของศิลปะสมัยใหม่ เซอราเกิดเมื่อปี 1859 ที่กรุงปารีส เขาเริ่มเรียนศิลปะที่โรงเรียนใกล้บ้านอยู่ 3 ปี จากนั้นในปี 1878 จึงไปเข้าเรียนที่สถาบัน École des Beaux-Arts ซึ่งสอนศิลปะแบบดั้งเดิม แต่เขาเป็นพวกหัวคิดก้าวหน้าจึงเรียนอยู่ได้ไม่นานนักก็ออกมาศึกษาต่อด้วยตัวเอง เซอราศึกษาทฤษฎีสีและจิตวิทยาการรับรู้และมองเห็นของมนุษย์ รวมทั้งได้รับอิทธิพลการเขียนภาพสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์จาก Claude Monet และ Camille Pissarro ถึงปี 1884 เขาก็สร้างผลงานชั้นยอดชิ้นแรกคือภาพ Bathers at Asnières

เซอราได้พัฒนาเทคนิคการเขียนภาพแนวใหม่โดยการใช้จุดสีเล็กๆที่แตกต่างซึ่งจะเห็นสีผสมผสานกันเมื่อมองจากระยะไกล ระหว่างปี 1884 -1886 เขาใช้เทคนิคผสานจุดสีที่พัฒนาขึ้นเขียนภาพแสดงบรรยากาศของชนชั้นกลางชาวปารีสเดินทอดน่องและพักผ่อนบนเกาะในแม่น้ำแซนในชื่อภาพ A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte ที่ต่อมากลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ภาพนี้ยังได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในภาพเขียนที่โดดเด่นที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และถือเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปะแบบใหม่ที่เรียกว่า Neo-impressionism อีกด้วย

ภาพเขียนของเซอราแตกต่างจากศิลปินอื่นมากด้วยเทคนิคและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เซอราเขียนภาพในหลากหลายแนวทั้งภาพทิวทัศน์ที่มีภาพเด่นๆอย่างเช่นภาพ Gray weather, Grande Jatte และ The Eiffel Tower ภาพนู้ดผู้หญิงก็มีอย่างเช่นภาพ The Models แต่ที่เขาชอบเขียนมากเป็นพิเศษคือภาพชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะภาพการแสดงของคณะละครสัตว์และสถานบันเทิงยามค่ำคืนมีผลงานชั้นยอดของเขาหลายภาพ ได้แก่ภาพ Circus Sideshow, ภาพ Le Chahut (The Can-Can) และภาพ The Circus ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เซอราป่วยและเสียชีวิตไปอย่างน่าเสียดายในปี 1891 เพราะเขายังมีอายุน้อยมากแค่ 31 ปีเท่านั้น