ไอโฟนรีเครื่องเองไม่หยุด 2565

ไอโฟนรีเครื่องเองไม่หยุด 2565

Iphone Keep Reboot

เมื่อคืนวันที่ 1 ธ.ค. 2560 ทีมงานได้รับการสอบถามเข้ามาประมาณ 4 รายแจ้งอาการเดียวกันคือ เครื่องรีบูตตัวเองพอใช้งานไปสักพักก็รีบูตอีก แก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยการ  reset all setting, restore iOS บางรายก็ยังพบอยู่

ผู้ใช้ iPhone บางรายเจออาการเครื่องรีสตาร์ทเองไม่หยุด

การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น

วิธีที่ 1. ทำการรีเซตการตั้งค่าทั้งหมด

วิธีที่ 2. แนะนำให้ลองตั้งวันที่เครื่องให้เป็นวันที่ 29 พ.ย. 2560 จากนั้นลองปิด เปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง

วิธีที่ 3. ปิดระบบแจ้งเตือน Notification

ปัญหายังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดเพราะอะไร ทั้งนี้ Apple ได้รับข้อมูลดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้วและกำลังหาทางออกกันต่อไปครับ

วิธีการรีเซตการตั้งค่าทั้งหมด

ไปที่

  • Settings (การตั้งค่า)
  • General (ทั่วไป)
  • Reset (รีเซต)
  • Reset All Settings (รีเซตการตั้งค่าทั้งหมด)

วิธีการตั้งค่าวันที่แบบกำหนดเอง

ไปที่

  • Settings (การตั้งค่า)
  • General (ทั่วไป)
  • Date & Time (วันที่และเวลา)
  • Set Automatically (ตั้งค่าอัตโนมัติ) > เลือกให้เป็นปิด

จากนั้นค่าวันที่ให้เป็น 29 พ.ย. 2560 แล้วปิด เปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง

วิธีการปิดการแจ้งเตือน(Notification)

ไปที่

  • Settings (การตั้งค่า)
  • Notifications (การแจ้งเตือน)
  • ปิด Notification แต่ละแอป ไม่ให้แจ้งเตือน เนื่องจากปัญหาส่วนหนึ่งมาจาก local notification

ไอโฟนรีเครื่องเองไม่หยุด 2565

     บรรดาผู้ใช้สมาร์ตโฟนย่อมอยากจะใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ของตนไปนานๆ ให้คุ้มกับราคา นอกจากว่าจะเป็นผู้ที่ชอบเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่มีรุ่นใหม่ออกมา ซึ่งมี 6 สัญญาณเตือนที่บอกได้ว่าอาจมีความผิดปกติใดเกิดขึ้นกับเครื่อง ทั้งความผิดปกติที่ตัวเครื่องเองรวมไปถึงการถูกสอดแนมจากบางแอปพลิเคชัน

ไอโฟนรีเครื่องเองไม่หยุด 2565

1. ความจุแบตเตอรีลดลง

     เนื่องจากไอโฟนใช้พลังงานจากแบตเตอรีลิเธียมไอออน ซึ่งแบตเตอรีชนิดนี้จะมีอายุการใช้งานจำกัดและเสื่อมประสิทธิภาพลงเมื่อผ่านการใช้งานไปนานๆ จนกระทั่งไม่สามารถเก็บพลังงานได้อีกต่อไป โดยทั่วไปหลังการใช้งานไปประมาณ 2 ปี หรือผ่านวงรอบการชาร์จพลังงานใหม่ประมาณ 500 ครั้ง ความจุของแบตเตอรีไอโฟนจะลดลงเหลือประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายความว่าหากปกติแล้วเคยใช้งานได้ 10 ชั่วโมงหลังการชาร์จพลังงานจนเต็ม จะใช้งานได้แค่ 8 ชั่วโมง และเมื่อใช้งานนานขึ้นความจุแบตเตอรีก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งผู้ใช้ไอโฟนสามารถตรวจสอบความจุของแบตเตอรีได้โดยการเข้าไปที่ Setting (ตั้งค่า)  > Battery (แบตเตอรี) > Battery Health (สุขภาพแบตเตอรี) ซึ่งระบบจะแสดงตัวเลขความจุสูงสุดของแบตเตอรีให้ดู

     ยิ่งตัวเลขความจุแบตเตอรีเหลือน้อยก็จะยิ่งมีระยเวลาการใช้งานต่อการชาร์จน้อยลง ซึ่งหากเบื่อที่จะต้องชาร์จแบตเตอรีบ่อยๆ ทางเลือกที่ดีควรเปลี่ยนแบตเตอรีหากยังไม่อยากเปลี่ยนเครื่องใหม่

2. เครื่องรีสตาร์ตเอง

     เมื่อไอโฟนเกิดรีสตาร์ตเอง โดยทั่วไปมักยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่น่ากังวล แต่สิ่งนี้อาจน่าเป็นห่วงกว่าหากมีการรีสตาร์ตบ่อยๆ โดยไร้สาเหตุ อย่างไรก็ตามสาเหตุหนึ่งที่มักทำให้ไอโฟนรีสตาร์ตเครื่องเองคือ เครื่องร้อนหรือเย็นเกินไป ซึ่งการรีสตาร์ตเครื่องเนื่องจากเย็นเกินไปก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเครื่องจะกลับมาทำงานปกติเมื่อแบตเตอรีอุ่นขึ้น แต่หากมีสาเหตุมาจากการที่เครื่องร้อนเกินไปอาจทำให้เกิดความเสียหายกับบางชิ้นส่วนในเครื่องอย่างแบตเตอรีได้

     นอกจากนี้การรีสตาร์ตเครื่องเองของไอโฟนอาจมีสาเหตุมาจากความเสียหายภายในตัวเครื่องหรือปัญหาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ซึ่งหากไอโฟนรีสตาร์ตเครื่องบ่อยโดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากอุณหภูมิร้อนหรือเย็นเกินไป ก็ควรที่จะส่งเครื่องไปตรวจสอบ

3. จุดสีเขียวหรือสีส้มเมื่อเปิดกล้องหรือไมโครโฟน

     ไอโฟนมี 2 สิ่งที่คอยเตือนให้ผู้ใช้รู้ว่าอาจกำลังถูกสอดแนม คือจุดสีเขียวหรือสีส้มบริเวณด้านบนของตัวเครื่องหากกล้องและไมโครโฟนมีการทำงานอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาหลังการอัปเดต iOS ในปี 2020 โดยแสดงเป็นจุดสีเขียวที่มุมขวาบนของหน้าจอเมื่อกล้องกำลังทำงาน และแสดงเป็นจุดสีส้มหากไมโครโฟนกำลังทำงาน

     แม้ว่ากล้องหรือไมโครโฟนที่ทำงานอยู่จะไม่ใช่การสอดแนมหรือล้วงข้อมูลเสมอไป แต่ผู้ใช้ก็ควรตรวจสอบว่ามีสาเหตุมาจากแอปพลิเคชั่นใด เมื่อเข้าไปดูที่ Control Center (ศูนย์ควบคุม) ก็จะเห็นรายละเอียดว่าแอปฯ ใดที่กำลังใช้งานกล้องหรือไมโครโฟน หากพบว่าเป็นแอปฯ ที่ไม่น่าจะใช้กล้องหรือไมโครโฟนซึ่งทำให้กังวลว่าอาจถูกสอดแนม ผู้ใช้ก็สามารถเข้าไปตรวจสอบความยินยอมของแอปฯ ได้ใน Settings (ตั้งค่า) ด้วยการปฏิเสธใม่ให้แอปฯ เข้าถึงกล้องหรือไมโครโฟนได้ทันที หรือหากยังกังวลอยู่ก็ควรลบแอปฯ นั้นทิ้งไป

4. อัปเดต iOS ไม่ได้อีกต่อไป

     แอปเปิลมักจะมีการอัปเดตระบบปฏิบัติการของไอโฟนหรือ iOS อยู่เสมอ อย่างไรก็ตามเครื่องรุ่นเก่าก็อาจไม่ได้รับการสนับสนุนให้สามารถอัปเดต iOS ใหม่ได้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ใช้งานไอโฟนเหล่านี้ เพราะการอัปเดตจะรวมไปถึงการปรับปรุงความปลอดภัยให้กับเครื่องด้วย จึงอาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮกได้ โดย iOS 15.4 ล่าสุดจะรองรับการใช้งานย้อนไปถึงไอโฟน 6S และ SE เจนเนเรชันแรก

     หากสงสัยว่าไอโฟนอัปเดตเป็น iOS ล่าสุดหรือไม่ เข้าไปดูได้ที่ Settings (ตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > Software Update (รายการอัปเดตซอฟต์แวร์) ซึ่งหากพบว่ายังไม่ใช่ iOS ล่าสุด ก็ควรทำการอัปเดตซึ่งจะทำให้เครื่องได้รับระบบความปลอดภัยใหม่ๆ ด้วย

5. Ghost Touch

     อาการ Ghost Touch คือการที่บางส่วนของหน้าจอถูกสัมผัสโดยที่ผู้ใช้ไม่ได้ไปแตะหรือสัมผัสแต่อย่างใด โดยปกติแล้วมักเกิดจากความเสียของหน้าจอ โดนน้ำ หรือความเสียหายภายในตัวเครื่อง หากสังเกตพบอาการ Ghost Touch ควรนำเครื่องไปตรวจสอบ

     อย่างไรก็ตามปัญหานี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนอะไหล่ ซึ่งต้องทำใจว่ากับเครื่องรุ่นเก่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงจนทำให้ซื้อเครื่องใหม่คุ้มค่ากว่า

6. แถบวัดความชื้นเปลี่ยนเป็นสีแดง

     เงื่อนไขหนึ่งในการรับประกันไอโฟนคือ ไม่มีน้ำหรือของเหลวเข้าไปภายในตัวเครื่อง ทางแอปเปิลจึงมีการตรวจสอบแถบวัดความชื้น (Liquid Contact Indicator – LCI) เพื่อดูว่ามีน้ำหรือของเหลวเข้าไปในตัวเครื่องหรือไม่ก่อนการซ่อม ทั้งนี้เจ้าของไอโฟนสามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้ด้วยตนเองจากช่องใส่ซิมการ์ด เพราะปกติแล้วแถบวัดความชื้นจะเป็นสีขาวหรือสีเงินแต่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสัมผัสกับน้ำ

     แม้ว่าไอโฟนรุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะป้องกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ทางที่ดีผู้ใช้ก็ควรเลี่ยงไม่ให้สัมผัสน้ำหากเป็นไปได้ เพื่อป้องกันน้ำเข้าไปในตัวเครื่องซึ่งอาจส่งผลต่อการรับประกัน