กินน้ำมะเขือเทศทุกวัน อันตรายไหม

          นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีโพแทสเซียมสูงมาก จึงแนะนำว่าในคนปกติควรดื่มน้ำมะเขือเทศไม่เกิน 2 แก้ว หรือ 2 กล่องต่อวัน เพราะเป็นปริมาณที่ร่างกายจะสามารถขับโพแทสเซียมออกมาได้หมด ยิ่งใครที่ชอบดื่มน้ำมะเขือเทศแบบกล่อง ยังต้องเลือกดื่มอย่างระมัดระวังด้วย เพราะจะมีส่วนผสมของน้ำตาลและเกลืออยู่จำนวนหนึ่ง หากเราดื่มมากกว่าวันละ 2 กล่อง จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินพอดีในแต่ละวัน ทำให้เกิดโรคอ้วนได้

ดื่มน้ำมะเขือเทศดอยคำ(99%)ทุกวันอัตรายหรือเปล่าค่ะ

ตั้งกระทู้ใหม่

ตั้งกระทู้ใหม่

ตามหัวข้อกระทู้เลยค่ะ น้ำมะเขือเทศดอยคำมาแรงงงตอนนี้5555เห็นเค้าดื่มกันก็อยากดื่มด้วย ดื่มได้เดือนกว่าๆแล้วค่ะ กินวันล่ะกล่อง อยากรู้ว่ามันอันตรายหรือเปล่าค่ะ ? 

ผิดพลาดยังไงก็ขอโทษด้วยน่ะค่ะ 

กินน้ำมะเขือเทศทุกวัน อันตรายไหม
  • #น้ำมะเขือเทศ
  • #ดอยคำ

ด.ญ.แมว 9 พ.ย. 59 เวลา 21:33 น.

0

like

14,795

views

Facebook Twitter

รายชื่อผู้ถูกใจกระทู้นี้ คน

ยกเลิก

Zeafy 10 พ.ย. 59 เวลา 06:51 น. 2

เขาดื่มกันมานานแล้วนะลูก...ยิ่งพวก เฮลตี้นี่ บางคนไม่ใช่วันละกล่องเล็กนะ กล่องใหญ่ก็มี (แต่เป็นกระแสนี่คงเพราะมีคนแชร์) 

จากโครงการหลวงไม่อันตรายแน่นอนค่ะ น้ำมะเขือเทศของเขาก็ไม่ผสมน้ำตาล(หรือผสมแต่น้อยมาก) นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้รสมัน....นะ 555

ถ้าถามว่าอันตรายไหม...
น้ำมะเขือเทศจากดอยคำไม่อันตรายเพราะน้ำตาลน้อย และมะเขือเทศที่ผ่านกระบวนการ จะให้ไลโคปีนสูงค่ะ

ดืมทุกวันอันตรายไหม?
อะไรที่รับมามากไปก็ไม่ดีล่ะนะ แต่ถ้า แค่ 1 กล่อง/วัน ส่วนตัวรู้สึกมันไม่ได้มากอะไรเท่าไรนะ

แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่คนด้วย คนแต่ละคนมีความต้องการวิตามินไม่เท่ากัน และต้องดูด้วย บางคนแพ้มะเขือเทศก็มีนะ 

แล้วก็ ของดอยคำมันธรรมชาติ(มาก) ไม่ผสมกันบูด ดังนั้น เจาะแล้วควาดื่มให้หมด หรือควรเลือกดูกล่องที่ไม่ได้รับความเสียหายด้วยนะคะ เพราะ เคยได้ยินไหม ที่ว่ามีก้อนแปลกๆในน้ำมะเขือเทศดอยคำนะ ส่วนนึงเพราะเจาะแล้วกินไม่หมดในวันนั้น อีกส่วนอาจเพราะ กล่องอาจเกิดความเสียหายระหว่างการขนส่งด้วยมั้ง

ยาวละสรุปเลยแล้วกัน

ดื่มได้ค่ะ แต่อันตรายไหมต้องสังเกตุตัวเองว่ามีผลยังไง (พี่กิน 1 กล่อง/วันแล้วผิวนิ่มขึ้นนะ) ส่วนตัวว่า 1 กล่องต่อวัน ไม่มากไปค่ะ ดื่มได้ อย่าลืมสังเกตุตัวเองด้วยนะ



เชื่อมั่นในคุณภาพทุกผลิตภัฒน์ในโครงการของพ่อหลวง

0
ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู

  • แก้ไข
  • แจ้งลบ
  • ปักหมุด

แบ่งปันเกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพทั้งโรคภัยไข้เจ็บ วิธีออกกำลังกาย เคล็ดลับลดน้ำหนัก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อยู่กินของอร่อยไปได้อีกนาน ๆ

เป็นกระแสมาเรื่อยๆ สำหรับน้ำมะเขือเทศบรรจุกล่อง ที่สาวๆ แห่กันไปหาดื่มกันยกใหญ่ ด้วยว่าอยากให้ผิวของตัวเองขาว ใส นุ่ม ฟู (ผิวนะไม่ใช่ทุเรียน) ถึงแม้จะมีสาวๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่โอเคกับรสชาติสักเท่าไร แต่ก็พยายามทนดื่มหวังจะให้ผิวสวยใส เปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ


แต่อีกกระแสหนึ่งก็บอกว่า น้ำมะเขือเทศกล่องนั้น มีรสชาติ “เค็ม” ถึงแม้หน้ากล่องจะเขียนว่า น้ำมะเขือเทศแท้ 100% ก็ตาม จึงเชียร์ให้ทานสดเป็นลูกๆ จะดีกว่า ได้รับประโยชน์จากธรรมชาติเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าแน่นอน
จริงๆ แล้ว มะเขือเทศ ทานแบบไหนถึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดล่ะ?


ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่ามะเขือเทศมีสารอาหารชนิดใด ถึงช่วยบำรุงผิวให้เนียนใสอย่างที่สาวๆ ปรารถนากันทั้งบ้านทั้งเมือง

 

ประโยชน์ของมะเขือเทศ

  1.  วิตามินซี ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ช่วยให้ผิวแลดูเต่งตึง ป้องกันอันตรายจากรังสียูวีจากแสงแดด และช่วยให้เซลล์ผิวหนังได้ปรับสภาพคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้แข็งแรง ทำให้ผิวชุ่มชื่น เรียบเนียนสวยงาม
  2.  ไลโคปีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา ต้านความเสื่อมของร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้ยังเบต้าแคโรทีน วิตามิน และสารอาหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ทีนี้สาวๆ ก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า ทั้งวิตามินซีและไลโคปีน ก็ช่วยเรื่องลดริ้วรอย และกระชับผิวให้เนียนใสเต่งตึงได้เหมือนกัน

แล้วมะเขือเทศสด กับน้ำมะเขือเทศกล่อง อันไหนมีเจ้าสองตัวนี้มากกว่ากันล่ะ?

 

กินน้ำมะเขือเทศทุกวัน อันตรายไหม
iStockมะเขือเทศสด มีวิตามินซีสูง

มะเขือเทศสด

เพราะวิตามินซีเป็นสารอาหารที่ยิ่งโดนความร้อน หรือถูกแปรรูปมากๆ เข้าก็จะค่อยๆ ลดหายไปเรื่อยๆ ดังนั้น หากอยากได้รับวิตามินซีเต็มๆ (ซึ่งมะเขือเทศลูกขนาดปานกลาง 1 ลูกเท่ากับวิตามินซีในส้มโอ 1 ลูกเลยทีเดียว) ต้องทานมะเขือเทศสด

 

กินน้ำมะเขือเทศทุกวัน อันตรายไหม
iStockน้ำมะเขือเทศ มีไลโคปีนสูง

น้ำมะเขือเทศกล่อง

มะเขือเทศจะเพิ่มไลโคปีนมากขึ้น หากนำไปทำให้ผ่านความร้อน หรือปรุงให้สุก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำน้ำมะเขือเทศบรรจุกล่องนั่นเอง ดังนั้นหากอยากได้รับสารไลโคปีนเต็มๆ ให้เลือกดื่มน้ำมะเขือเทศกล่อง

ถ้าอยากได้ทั้งสองอย่างเลยล่ะ?

ก็เลือกทานทั้งสองอย่าง อาจจะทานทั้งสดๆ และทำไปปรุงมื้ออาหารต่างๆ ก็ได้

แต่ถึงกระนั้น การรับประทานมะเขือเทศ หรือน้ำมะเขือเทศมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป ซึ่งไม่ได้ส่งผลเสียอะไรต่อร่างกายมากนัก นอกจากเปลือง เพราะวิตามินซีส่วนเกินจะถูกขับออกทางปัสสาวะอยู่ดี แต่หากรับวิตามินซีมากเกินไปมากจริงๆ อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือเป็นโรคนิ่วในไตได้

ปริมาณวิตามินซีที่เหมาะสมกับร่างกาย

ราว 60-90 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับมะเขือเทศสด 3-4 ลูก หรือน้ำมะเขือเทศกล่อง 2 แก้ว


คราวนี้เราเลือกได้สักทีว่าจะทานมะเขือเทศแบบไหน ทางที่ดีควงคุณผู้ชายมาทานมะเขือเทศด้วยกันเสียเลย เพราะวิตามินซีจากมะเขือเทศสดยังช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูจากอาการหวัดได้เร็วขึ้น บำรุงฟันและเหงือกจากโรคลักปิดลักเปิด แถมไลโคปีนจากมะเขือเทศปรุงสุกยังช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย  ดังนั้นเราจึงสามารถทานมะเขือเทศกันได้ทั้งครอบครัวนั่นเอง

โหลดเพิ่ม

ขอขอบคุณ

ภาพ :iStock

กินน้ำมะเขือเทศทุกวัน อันตรายไหม

แท็กที่เกี่ยวข้อง

มะเขือเทศสุขภาพกายมะเขือเทศสดน้ำมะเขือเทศน้ำมะเขือเทศกล่องดอยคำอาหารสุขภาพบำรุงผิวหน้าใสเต่งตึงประโยชน์คุณค่าสารอาหาร

น้ำมะเขือเทศกินตอนไหนดีที่สุด

สำหรับน้ำมะเขือเทศแนะนำให้ดื่มหลังอาหารค่ะ เพราะไลโคปีนมีคุณสมบัติที่ละลายในไขมันได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ร่างกายจึงดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้นเป็นพิเศษค่ะ

กินน้ำมะเขือเทศวันละกี่แก้ว

ควรดื่มน้ำมะเขือเทศเท่าไรจึงจะพอดี นอกจากนี้ การได้รับโพแทสเซียมปริมาณสูงอาจมีผลต่อการทำงานของหัวใจ ดังนั้นปริมาณการดื่มน้ำมะเขือเทศที่แนะนำต่อวันคือ ไม่ควรเกิน 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง(เล็ก) ต่อวัน เพราะเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถขับโพแทสเซียมออกไปได้หมด

ห้ามกินน้ำมะเขือเทศกับอะไร

4. มะเขือเทศ + แตงกวา = วิตามินซีถูกทำลาย เอนไชม์ asbinase ในแตงกวา จะไปทำลายวิตามินซีของมะเขือเทศ ทำให้ได้รับสารอาหารได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งผักสองชนิดนี้ ยังมีคุณสมบัติทำให้ภายในร่างกายเย็นลง ช่วงที่สภาพอากาศหนาวเย็นจึงควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้เป็นหวัดได้ง่ายขึ้น (ในสลัดผัก มักมีผักสองชนิดนี้)

น้ำมะเขือเทศกินดีไหม

ช่วยบำรุงสายตา เพราะมีวิตามินเอสูง มีวิตามินซี ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด และเลือดออกตามไรฟันได้ ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ เพราะในมะเขือเทศจะมีไฟเบอร์และน้ำอยู่มาก จึงช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลไม่ดีที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด