สังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย

บริการสื่อความรู้ออนไลน์ Vlearn นี้ เป็นบริการของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (“บริษัทฯ”) สำหรับผู้ใช้บริการซึ่งลงทะเบียนสำเร็จผ่านช่องทางที่บริษัทฯ กำหนด โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขดังนี้

Show

1. สื่อความรู้ออนไลน์ Vlearn ที่ผู้ใช้บริการสามารถรับชมได้นั้น เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทฯ และ/หรือ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ตัวแทนของเจ้าของ หรือบุคคลใดตามที่กฎหมายกำหนด โดยบริษัทฯ ไม่อนุญาตให้มีการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ ไม่ว่ากรณีใดๆ

2. บริการนี้มีไว้สำหรับรับชมส่วนบุคคลเท่านั้น ไม่สามารถนำไปเผยแพร่ หรือเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากบริษัทฯ เป็นลายลักษณ์อักษรหรือแบ่งปัน(Share) ตามช่องทางที่บริษัทฯ อนุญาต

3. ผู้ใช้บริการสามารถรับชมสื่อการเรียนออนไลน์ Vlearn ผ่านเว็บไซต์ https://www.vlearn.world/ ซึ่งสามารถลงทะเบียนและเข้าชมได้ทันทีสำหรับสื่อความรู้ฟรี และสามารถซื้อคอร์สต่างๆ เพิ่มเติมของบริการ VCourse

4. การสมัครสมาชิก

4.1 ผู้ใช้บริการประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จำเป็นต้องสมัครสมาชิกผ่านช่องทางที่บริษัทฯกำหนด ด้วย Email address (Username) และ รหัสผ่าน (Password) พร้อมกับยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขบริการของบริษัทฯ

4.2 ผู้ใช้บริการจะต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อยืนยันความเป็นผู้ใช้บริการและสามารถสมัครสมาชิกได้เพียง 1 Email address (Username) ต่อ 1 สมาชิกเท่านั้น

4.3 บริษัทฯ มีสิทธิยกเลิกหรือจำกัดความเป็นสมาชิกได้ หากปรากฏว่าผู้ใช้บริการผิดเงื่อนไขการใช้บริการหรือนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจทำให้บริษัทฯได้รับความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด รวมถึงการกระทำอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย

4.4 ความเป็นสมาชิกจะมีผลอยู่ตลอดไปจนกว่าจะมีการบอกเลิกการเป็นสมาชิก หรือบริษัทยกเลิกการเป็นสมาชิกอันเนื่องจากสมาชิกปฏิบัติผิดข้อกำหนดหรือเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง หรือไม่ทำการแก้ไขภายในระยะเวลาที่บริษัทได้แจ้งให้ทราบ หรือกระทำผิดกฎหมายใด ๆ รวมถึงกรณีที่บริษัทยุติการให้บริการ

4.5 ผู้ใช้บริการจะต้องรักษาบัญชีผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ไว้เป็นความลับเฉพาะตน และจะไม่ยินยอมให้บุคคลใดนำบัญชีผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ไปใช้ ไม่ว่าจะโดยความประมาทเลินเล่อ หรือโดยเจตนา หรือโอนสิทธิ หรือโดยประการใด ๆ เป็นอันขาด อย่างไรก็ดี การที่ผู้ใช้บริการยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ของผู้ใช้บริการนั้น ผู้ใช้บริการต้องรับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัทฯ และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องแต่เพียงผู้เดียว

5. บริษัทฯ เป็นเพียงเจ้าของลิขสิทธิ์ และ/หรือ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ตัวแทนของเจ้าของ หรือบุคคลใดตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น มิได้เป็นผู้รับรองความถูกต้องของเนื้อหาแต่อย่างใด

6. บริษัทฯ มีสิทธิเปลี่ยนแปลงเนื้อหา ข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริการ ตามความเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้า

7. หากบริษัทฯ ตรวจสอบพบว่ามีการนำบริการไปใช้โดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือนำบริการไปใช้ในทางที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ แก่บริษัทฯ หรือ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการใช้บริการ บริษัทฯมีสิทธิระงับการใช้บริการได้ทันที

8. การให้ความยินยอมและคำรับรองของผู้ใช้บริการ

ผู้ใช้บริการรับทราบว่ายินยอมให้ผู้ให้บริการ เก็บรวบรวม ประมวลผล ใช้ ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ เพื่อประโยชน์ในการให้บริการ หรือเพื่อปรับปรุงการให้บริการ และเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือเพื่อวัตถุประสงค์การวิจัยตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือเพื่อวิเคราะห์และนำเสนอบริการหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ของผู้ให้บริการ และ/หรือบุคคลที่เป็นผู้จำหน่าย เป็นตัวแทน หรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการ และ/หรือของพันธมิตรทางธุรกิจของผู้ให้บริการ และ/หรือ บริษัทในกลุ่มทรู หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย หรือเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบที่ใช้บังคับใช้กับผู้ให้บริการทั้งขณะนี้และในภายภาคหน้า โดยผู้ให้บริการสามารถส่ง โอน และ/หรือเปิดเผยข้อมูลข้างต้นให้แก่บริษัทในกลุ่มของผู้ให้บริการ พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ประมวลผลข้อมูล หรือหน่วยงาน/องค์กร/นิติบุคคลหรือบุคคลใดๆ ที่มีสัญญา ข้อตกลง หรือนิติสัมพันธ์ กับผู้ให้บริการหรือมีความสัมพันธ์ด้วยทั้งในประเทศและต่างประเทศ

9. ผู้ใช้บริการยินยอมให้บริษัทฯเชื่อมโยงข้อมูลที่ให้ไว้กับทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนวีเลิร์นเข้ากับบัญชีผู้ใช้ (Username) ที่ลงทะเบียนไว้

10. ผู้ใช้บริการตกลงจะไม่กระทำการหรือร่วมกับบุคคลอื่นกระทำการใด ๆ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งของบริการวีเลิร์นที่ผิดวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ หรือผิดกฎหมาย หรือขัดกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี หรือก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ กับบุคคล และ/หรือผู้ใช้บริการรายอื่น

11. การใช้บริการ Vlearn ไม่ว่าด้วยอุปกรณ์ใด หรือเวลาใด ผู้ใช้บริการรับทราบและตกลงว่าจะปฏิบัติตามข้อกําหนดและเงื่อนไขการใช้ทุกประการ รวมทั้งเงื่อนไขอื่น ๆ ที่บริษัทฯจะได้กำหนดให้มีขึ้นเพิ่มเติมภายหลังตามที่บริษัทเห็นสมควร หรือเพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย

12. บริษัทฯ มีสิทธิเปลี่ยนแปลงบริการหรือระงับบริการได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้า

13. ผู้ใช้บริการตกลงใช้นามจริงหรือนามแฝง ที่เหมาะสม สุภาพ โดยห้ามใช้คำหยาบ ดูถูก เสียดสี สร้างความแตกแยก ยั่วยุ ส่อไปในทางลามกอนาจาร ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แสดงถึงการหมิ่นต่อพระบรมเดชานุภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือแอบอ้าง อ้างอิง พาดพิงถึงบุคคลหนึ่งคนใด สมาชิกที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นเองโดยตรงทั้งสิ้น และตกลงยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทฯ หากการฝ่าฝืนดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทฯ

14. บริษัทฯไม่ต้องรับผิดชอบและชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวเนื่องกับการใช้บริการวีเลิร์นแก่ผู้ใช้บริการหรือบุคคลอื่นใด ไม่ว่าในกรณีใด ๆ หากบริษัทฯไม่สามารถให้บริการบางส่วนหรือทั้งหมด อันเนื่องจากระบบหรืออุปกรณ์ใด ๆ ของผู้ใช้บริการชำรุดหรือขัดข้อง หรือระบบโทรศัพท์ หรือระบบสื่อสารโทรคมนาคมขัดข้องหรือเหตุใด ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัทฯ

15. พบปัญหาการเข้าชมสื่อความรู้ออนไลน์ Vlearn หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ 02-700-8044 หรือ 064-132-2929  (จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.00 – 17.00 น.)

Education > มัธยมปลาย > สังคมศึกษา

ชวนเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์

2905 views | 04/01/2022

Copy link to clipboard

สังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย

Arrietty .

Content Creator

สังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย


  วันนี้ชวนน้อง ๆ มาย้อนรอยเปิด ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 สมัยนั้นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรี จนบ้านเมืองสงบเข้าสู่ภาวะปกติจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี พระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” โดยเห็นว่าควรย้ายเมืองหลวงจากฝั่งธนบุรีไปอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาก่อน หลังจากนั้นมีเหตุการณ์สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์มากมาย ทั้งการเลิกไพร่เลิกทาส เดินหน้าสู่ประชาธิปไตยในปัจจุบัน 

ทำไมต้องย้ายเมืองหลวง


   ต้องเล่าย้อนไปสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชเลือกกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงเพราะหลังกู้เอกราชแล้วกรุงศรีอยุธยาถูกทำลายทรุดโทรมมาก มีพื้นที่กว้างขวางดูแลรักษายาก ห่างจากปากแม่น้ำทำให้ติดต่อค้าขายกับต่างชาติไม่สะดวก จึงย้ายมาสร้างเมืองหลวงและพระราชวังใหม่ทางฝั่งธนบุรีเพราะทำเลดีกว่า เมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ปากแม่น้ำจะเดินทางหรือค้าขายก็สะดวก ถ้าข้าศึกยกทัพมามากก็ย้ายกำลังไปตั้งหลักที่จันทบุรีหรือออกทางอ่าวลงไปทางใต้ได้ง่าย


  มาถึงสมัยรัชกาลที่ 1 ต้องย้ายเมืองหลวงกันอีกครั้ง ถามว่าทำไมต้องย้ายเมืองหลวงในครั้งนี้ ถ้าจะงัดความรู้ตำราเรียนมาเล่าก็ว่ากันตามเหตุผลทางภูมิศาสตร์ ว่ากันว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองอกแตก หมายถึงเมืองที่มีแม่น้ำผ่ากลางแบบเดียวกับพิษณุโลก เวลารบจะเสียเปรียบข้าศึกที่มาทางเรือเข้าถึงกลางเมืองได้ง่าย ดูแลปกป้องรักษาเมืองลำบาก แต่การย้ายเมืองหลวงจากฝั่งธนบุรีไปฝั่งพระนคร กรุงเทพฯ ก็ยังเป็นเมืองอกแตกอยู่ดี ถ้าเอาความจริงมาพูดก็อธิบายได้ว่าการสถาปนาราชวงศ์จักรี สร้าง อาณาจักรรัตนโกสินทร์ เป็นเมืองหลวงใหม่คือการสร้างบารมีใหม่เพื่อป้องกันความวุ่นวายจากเพราะกลุ่มอำนาจเก่า ขุนนางเก่า ๆ และบารมีของพระเจ้าตากสินที่ยังคงมีอยู่ อาจจะลุกฮือขึ้นมาวันไหนก็ได้ หลังก่อสร้างพระราชวังใหม่ก็เลือกคนที่ไว้วางใจได้ตามเสด็จไป ขุนนางอำนาจเก่าให้อยู่ฝั่งธนฯ ตามเดิมเสริมความปลอดภัยให้ราชวงศ์ใหม่ยิ่งขึ้น


   เหตุผลทางภูมิศาสตร์อีกข้อหนึ่งคือ กรุงธนบุรีเป็นพื้นที่ท้องคุ้งฝั่งที่น้ำเซาะตลิ่งทรุดพังไปเรื่อย ๆ แต่ฝั่งพระนครที่อยู่ตรงข้าม ดินทับถมตลิ่งงอกออกมาทุกปี นอกจากนี้วังเดิมฝั่งธนบุรีก็ไม่ได้แข็งแรง ถูกจู่โจมล้อมวังได้ง่ายไม่ปลอดภัยสำหรับราชวงศ์ใหม่ ก็ต้องไปหาที่ใหม่สร้างพระราชวังใหม่


   อีกสาเหตุคือพระราชวังเดิมคับแคบคิดจะขยายออกไปก็ทำไม่ได้เพราะมีวัดขนาบข้าง ด้านหนึ่งเป็นวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้งหรือวัดมะกอก) อีกด้านเป็นวัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) จะรื้อป้องกันจุดอ่อนก็ต้องรื้อวัดซึ่งไม่มีใครทำกัน ย้ายไปสร้างใหม่เลยดีกว่า ที่ดินสร้างวังใหม่อยู่ริมแม่น้ำเป็นย่านคนจีนเดิม ก็ย้ายคนจีนไปอยู่หาที่อยู่ใหม่ย้ายสำเพ็งแทน พระราชวังใหม่ออกแบบก่อสร้างได้ใหญ่โต กว้างขวางกว่ามาก มีวัดพระแก้วมรกต (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) อยู่ในพระบรมมหาราชวัง มีสนามหลวง เสาชิงช้า ภูเขาทอง ฯลฯ ซึ่งทยอยสร้างต่อเนื่องในรัชกาลต่อ ๆ มา ถ้าเป็นฝั่งธนบุรีตามเดิมคงทำไม่ได้


สังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย


  ซึ่งพระบรมมหาราชวังใหม่สมัย กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีตั้งแต่รัชสมัยที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 5 ต่อมาพระมหากษัตริย์ย้ายไปประทับที่พระราชวังดุสิต ด้านทิศใต้จรดแนวคลองผดุงกรุงเกษมและทิศเหนือจรดคลองสามเสน


  รู้ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์เบื้องต้นกันแล้ว วันนี้ชวนน้อง ๆ มาดูแนวข้อสอบ ทำลองมาดูกันนะคะว่ามีข้อสอบเกี่ยวกับการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ใดบ้างที่ออกบ่อย 7 แนวข้อสอบออกบ่อย เรื่องการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ 


1.เรื่อง “กฎหมายตราสามดวง”

การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ระหว่างปี พ.ศ. 2325-2394) เป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาด ในสมัยรัชกาล 1 โปรดให้ชำระกฎหมายใหม่ที่มีรูปแบบคล้ายสมัยอยุธยาตอนปลาย เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” ในปี พ.ศ. 2347 นับเป็นกฎหมายฉบับแรกของ อาณาจักรรัตนโกสินทร์ โดยตราสามดวงเป็นตราประจำตำแหน่ง สมุหนายก สมุหพระกลาโหลและโกษาธิบดี โดยทุกฉบับจะประทับตรา คชสีห์ ราชสีห์ บัวเเก้ว ใช้เป็นกฎหมายเรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 5 (ระยะเวลา 103 ปี) จึงเลิกใช้กฎหมายตราสามดวงแล้วปฏิรูประบบกฎหมายตามแบบอย่างยุโรป


2.การปกครองแบบ "จตุสดมภ์” 

การปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแบ่งออกเป็น “การปกครองราชธานี” มีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหพระกลาโหมและสมุหนายก และเสนาบดี 4 ตำแหน่งเรียกว่า “จตุสดมภ์” ส่วนการปกครองหัวเมือง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือหัวเมืองชั้นในอยู่รอบราชธานีเป็นหัวเมืองชั้นจัตวาและหัวเมืองชั้นนอกแบ่งออกเป็นเมืองชั้นเอก โท และตรี สำหรับการปกครองประเทศราชปล่อยให้เจ้าเมืองของหัวเมืองต่างชาติปกครองตนเองและส่งเครื่องบรรณาการมาถวาย รวมถึงส่งกำลังพลช่วยรบในการศึกสงคราม

ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง ยกเลิกจตุสดมภ์เปลี่ยนมาจัดตั้งกระทรวง ทบวง และกรมต่าง ๆ ตามแบบอย่างโลกตะวันตก โดยจัดการปกครองใหม่เป็นรูปแบบเทศาภิบาลแบ่งเขตการปกครองเป็นมณฑล เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน มีการรวมอำนาจหัวเมืองขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย


สังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย


3.เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ สมัยรัตนโกสินทร์

   ที่จริงประเทศไทยค้าขายกับต่างชาติมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ช่วงแรกติดต่อกับเอเชียด้วยกันก่อน โปรตุเกสเป็นตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาค้าขายในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ตามด้วยสเปน ฮอลันดา อังกฤษและฝรั่งเศส สิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชการค้ากับต่างประเทศลดน้อยลงไป 

  มาถึง กรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ประเทศคู่ค้าสำคัญคือจีน การค้าสำเภาหลวงไปเมืองจีนเป็นรายได้หลักของแผ่นดิน มีการผูกขาดซื้อขายให้เฉพาะกลุ่มชนชั้นสูง สินค้าหายากราคาแพงต้องซื้อขายผ่านพระคลังสินค้าเท่านั้น ส่วนพ่อค้าจีนเอกชนที่เข้ามาเป็นนายหน้าก็ค้าขายร่ำรวยไปตามกัน สำเภาส่วนใหญ่มาต่อเรือกันในเมืองไทยนี่เอง มีการสร้างเรือสำเภาจำลองไว้เป็นหลักฐานในวัดทองนพคุณฝั่งธนบุรีและวัดยานนาวาฝั่งพระนครด้วย ช่วงนี้คนจีนอาศัยเรือสำเภาขากลับเข้าไทยอพยพมาอยู่ในเมืองไทยจำนวนมาก ส่วนคู่ค้าชาติตะวันตกมีพวกโปรตุเกส อังกฤษ และอเมริกาเข้ามาก่อน

   สมัยรัชกาลที่ 3 มีการทำสนธิสัญญาการค้ากับชาติตะวันตกฉบับแรกคือ “สนธิสัญญาเบอร์นี” ลงนามระหว่างไทยกับ “เฮนรี เบอร์นี” ทูตอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2369 ทำให้ต้องยกเลิกระบบการค้าผ่านพระคลังสินค้า ประเทศไทยเสียรายได้จากการผูกขาดไปแล้ว จึงรื้อระบบเก็บภาษีสมัยอยุธยาตอนปลายมาใช้ เรียกว่า “ระบบเจ้าภาษีนายอากร” กลับวุ่นวายกันไปใหญ่ เพราะเปิดการประมูลสัมปทานให้เจ้าภาษีนายอากรไปเก็บภาษีแทน ซึ่งเจ้าภาษีอากรก็คือขุนนาง เจ้านาย และชนชั้นสูง เป็นพวกมีอำนาจและอิทธิพลเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ เงินผ่านมือแต่ไม่ถึงพระคลัง ฉ้อโกงตั้งแต่คนเก็บภาษีไปจนถึงคนดูแลพระคลัง เกิดปัญหาเงินไม่พอเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ปฏิรูปการจัดเก็บภาษีอากรไม่ต้องผ่านมือขุนนางอีกแล้ว แต่ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นมาดูแลเงินภาษีโดยตรง สมัยเดียวกับยังมีการปฏิรูประบบสตางค์และบาทออกมาใช้แทนเงินเฟื้องและเงินตราแบบเดิมเพื่อให้การค้าขายทันสมัยขึ้น


สังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย



4.รัชกาลที่ 5 ส่งโอรสเรียนนอกทำไม

สมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์รับอิทธิพลแนวคิดจากโลกตะวันตก หวังจะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ไม่ให้ชาติตะวันตกดูถูกรังแออ้างว่าบ้านเมืองป่าเถื่อนจะเข้ามาทำให้เจริญ ที่จริงก็คิดจะล่าอาณานิคมไทยเป็นเมืองขึ้นนั่นเอง ไทยเราก็เลยส่งคนไปต่างประเทศ ดูว่าบ้านเมืองเขามีอะไรก็รับเข้ามา ทั้งด้าน การเมือง วัฒนธรรมสถาปัตยกรรม เพื่อเอามาปรับใช้ให้เข้ากับเมืองไทย สมัยรัชกาลที่ 4 ส่งข้าราชการไปศึกษาและดูงานในต่างประเทศ เช่น สิงค์โปร์และอังกฤษ นำความรู้และประสบการณ์มาพัฒนาบ้านเมือง ตั้งโรงเรียนขึ้นในพระบรมมหาราชวังและให้สตรีชาวอังกฤษชื่อ “แอนนา เลียวโนเวนส์” มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษพระราชโอรสและธิดา

  จนถึงรัชกาลที่ 5 เริ่มมีอำนาจบริหารบ้านเมืองเองในปี พ.ศ.2416 เสด็จประพาสยุโรปหลายครั้ง ส่งโอรสไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่ พ.ศ. 2428 รวม 19 พระองค์ ส่วนใหญ่กลับมารับราชการพัฒนาประเทศ มีทุนเล่าเรียนหลวงส่งนักเรียนไทยไปนอกจำนวน 206 คน เรียนต่อทางภาษา คณิตศาสตร์ การทูต การทหาร และวิชาตามที่ถนัด ในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี และเดนมาร์ก รัชกาลต่อ ๆ มายังมีทุนเล่าเรียนหลวงส่งไปเรียนนอกต่อไป

   รัชกาลที่ 5 มีแนวคิดให้การศึกษายกระดับคนให้พ้นจากการเป็นทาส ตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกที่ ”วัดมหรรณพาราม” ต่อมารัชกาลที่ 6 โปรดให้ตรา “พระราชบัญญัติประถมศึกษา” พ.ศ. 2464 โปรดให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่ง มีการศึกษาภาคบังคับให้คนได้เรียนหนังสือทั่วถึงกัน และยกฐานะโรงเรียนมหาดเล็กที่ได้ตั้งขึ้นในรัชกาลที่ 5 เป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย


5.ทำไมเลิกไพร่และเลิกทาส

การเลิกไพร่และเลิกทาสเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 5 ต้องยอมรับว่าการเลิกทาสเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการปกครองของไทย รัชกาลที่ 5 เห็นภัยจากการคุกคามของชาติตะวันที่ล่าอาณานิคมล้อมกรอบประเทศไทยไว้แล้ว คงไม่รอดพ้นแน่ถ้าไม่ปรับปรุงประเทศให้เจริญก้าวหน้า ระบบไพร่และทาสเป็นปัจจัยหนึ่งที่ถูกมองว่าล้าหลังป่าเถื่อน จึงริเริ่มให้อิสระกับลูกทาสโดยประกาศพระราชบัญญัติพิกัดกระเษียรลูกทาสลูกไทยเพื่อลดค่าตัวทาสตั้งแต่ปี พ.ศ.2417 เป็นต้นมา จนกระทั่งประกาศ “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124” เมื่อปี พ.ศ. 2448 เพื่อปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ จึงถือเอาวันที่ 1 เมษายนของทุกปี เป็น “วันเลิกทาส”


สังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย


6.ทำไมเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

 การเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก 

  -สาเหตุแรกคือได้รับแนวคิดมาจากตะวันตก 

  -สาเหตุที่สองคือเศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่

  -พระมหากษัตริย์อยากให้เกิดการกระจายอำนาจ

  รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) พระมหากษัตริย์อยากให้เกิดการกระจายอำนาจและมีแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ริเริ่มการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นแล้วแต่ขั้นตอนเป็นไปอย่างล่าช้าไม่ทันใจชนชั้นการศึกษาที่ตื่นตัวอยากให้ไทยเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมกับการปกครองระบบรัฐสภาตามแบบตะวันตก ในเวลานั้นเศรษฐกิจโลกตกต่ำมากทำให้เศรษฐกิจไทยทรุดโทรม รัฐบาลพยายามลดทอนรายจ่ายด้วยการปลดข้าราชการจำนวน ประกาศเพิ่มภาษี คนตกงาน เป็นยุคข้าวยากหมายแพงจริง ๆ

   ช่วงเวลานั้นกลุ่มนายทหารหนุ่ม นำทีมโดยหมอเหล็ง ศรีจันทร์ ก่อเหตุ “กบฏ ร.ศ. 130” หรือเรียกว่ากบฏหมอเหล็ง เพื่อล้มล้างการปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วงปี พ.ศ. 2455 แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ถือเป็นการจุดประกายให้คณะราษฎรปฏิวัตินำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศเป็นแบบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475 เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก เรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475”


สังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย


7.รู้จักศิลปวัฒนธรรมทรงคุณค่าในยุครัตนโกสินทร์

   ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ศิลปะและวัฒนธรรมไทยเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก พระมหากษัตริย์โปรดให้ทำนุบำรุงและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นสมัยของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมครั้งใหญ่ พระองค์โปรดให้รวบรวมตำราจากหัวเมืองต่าง ๆ ที่หลงเหลือจากการถูกพม่าเผา มีการสังคายนาพระไตรปิฎกที่วัดมหาธาตุ เรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) เป็นยุคทองของศิลปะ วิจิตรศิลป์และวรรณคดี พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้เป็นอัครศิลปิน มีพระราชนิพนธ์เรื่อง “อิเหนา” และ “รามเกียรติ์” และทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ศิลปินและกวี กวีเอกที่โด่งดังคือพระศรีสุนทรโวหาร หรือที่เรียกกันว่าสุนทรภู่ มีการฟื้นฟูประเพณีเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีฉัตรมงคล 


   ในสมัยรัชกาลที่ 6 นับเป็นยุคทองของงานประพันธ์ โดยเฉพาะบทละครพระราชนิพนธ์ เช่น มัทนะพาธา , ศกุนตลา ,สาวิตรี , พระร่วง , ท้าวแสนปม และหนามยอกหนามบ่ง ประเภทประวัติศาสตร์และโบราณคดี เช่น ประเทศไอยคุปต์ , เที่ยวเมืองพระร่วง , สงครามสืบราชสมบัติโปแลนด์ บทร้อยกรอง เช่น พระนลคำหลวง , ธรรมาธรรมะสงคราม , ลิลิตพายัพ รวมถึงปาฐกถาและบทความทั่วไป มีการแปลวรรณกรรมตะวันตกเป็นภาษาไทยหลายเรื่อง เช่น เวนิสวาณิช พระองค์ทรงริเริ่มการแสดงละครพูดไทยแบบฝรั่งเป็นครั้งแรกด้วย


   ในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดให้ประดิษฐ์ธงชาติใหม่เรียกว่า ธงไตรรงค์ รูปแบบธง 3 สี ตามอย่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งใช้มาจนถึงทุกวันนี้


ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์มีความเป็นมายาวนาน เราจะเห็นถึงวิวัฒนาการหลายด้านไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองหลายยุคสมัย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอดีตที่เราควรเรียนรู้ เพื่อเดินหน้าต่อในปัจจุบันให้ดีกว่าเดิมนั่นเอง

ที่มาข้อมูล

  • -https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/34766
  • -https://www.baanjomyut.com/library_2/the_early_rattanakosin_period/02.html
  • -http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/pol/35.htm
  • -https://sites.google.com/a/nonedu2.go.th/social-study-by-t-montha/prawatisastr-p-6/2-lad-leaa-keaa-ratnkosinthr/ratnkosinthr-yukh-ptirup-prathes-r-4-r-6

    รัตนโกสินทร์ตอนปลาย คือช่วงไหน

    กรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475.

    สังคมในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นอย่างไร

    สภาพสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นส่วนใหญ่มีลักษณะโครงสร้างไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยาและธนบุรี องค์ประกอบของสังคมไทยประกอบด้วยสถาบันต่างๆ ได้แก่ สถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ไพร่ และทาส 1. พระมหากษัตริย์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะเป็นทั้งเทวราชาและธรรมราชา

    ยุคสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์มีอะไรบ้าง

    ด้านการเมืองการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ระหว่าง พ.ศ. 2325–2394 สมัยปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย ระหว่าง พ.ศ. 2394–2475 และสมัยประชาธิปไตย ระหว่างพ.ศ. 2475–ปัจจุบัน

    ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลายมีการปกครองแบบใด

    1. รูปแบบของรัฐ กำหนดว่าประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวไม่อาจแบ่งแยกเป็นหลายๆ รัฐได้ 2. ระบอบการปกครอง ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การปกครองแบบประชาธิปไตย หมายความว่า อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตย ดังนี้