เลโอนาร์โด ดา วินชี เทคนิคการวาด

เลโอนาร์โด ดา วินชี เทคนิคการวาด

เลโอนาร์โด ดา วินชี เทคนิคการวาด

              ตลอดเวลา 5 ศตวรรษที่ผ่านมา Mona Lisa เป็นภาพที่ผู้คนและผู้เชียวชาญศิลปะได้ชื่นชมและเทิดทูนในความสามารถด้านการวาดภาพของเลโอนาร์โด รวมทั้งได้

วิเคราะห์ความหมายและความลึกลับต่างๆ ของภาพ เช่น ว่าเลโอนาร์โดได้เริ่มวาดภาพนี้เมื่อไร และใช้เวลานานเท่าไร ใครคือนางแบบ ใครเป็นว่าจ้างให้วาด เหตุใดจึงอยู่ที่ลูฟวร์ เหตุใด Mona Lisa จึงยิ้มอย่างมีเลศนัย ความอัศจรรย์ของแววตา เทคนิคการจัดฉากเบื้องหลัง เทคนิคการใช้แสงและเงา เทคนิคการผสมสี และการระบายสีของเลโอนาร์โด รวมทั้งเรื่องเสื้อผ้า การแต่งหน้าและคิ้วของนางแบบด้วย เหล่านี้คือคำถามปริศนาที่ทำให้ Mona Lisa เป็นรูปจิตรกรรมที่ได้รับการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์มากที่สุดในโลก

            เลโอนาร์โด ดาวินชี ตามปกติเป็นคนที่ทำอะไรธรรมดาๆไม่เป็นดังนั้นงานทุกชิ้นที่เขาทำต้องมีปริศนาให้คนดูครุ่งคิด เพราะเข้ามีอุปนิสัยที่ชอบตั้งคำถามให้คนใกล้ชิดตอบ เช่นถามว่า อะไรเอ่ยที่คนได้รับเกียรติยศและมีขบวนแห่ไม่รู้เรื่องนำไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย คำตอบคือ พิธีแห่ศพ และ อะไรเอ่ยเดินได้ แต่เลื่อนไหวไม่ได้  คำตอบคือ คนในฝัน เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นในภาพก็เช่นกัน เลโอนาร์มีความคิดว่าในการจะดูภาพให้ซาบซึ้ง คนดูภาพต้องเข้าใจความหมายและความงามแฝงที่อยู่ในภาพ ภาพวาดที่เขาวาดจึงมีส่วนที่ทำให้คนดูสนใจ อยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ และประหลาดใจเมื่อเวลาดูมายากล ด้วยเหตุนี้คนที่ดูภาพของเลโอนาร์โดอย่างพินิจพิเคราะห์จะเผชิญกับปริศนาหลายประเด็นที่คลุมเครือ  เพราะคำตอบมีหลายนัย เหมือนดังที่เข้าได้ปรารถว่า   สรรพสิ่งต่างๆในโลกจะสวยโดนใจ   ถ้าสิ่งนั้นมีเงาบดบังฉันใด  ภาพวาดก็จะดูสวยประทับใจ  และมีความลึกลับแฝงอยู่บ้างฉันนั้น

               ภาพ Mona Lisa จึงเป็นไปตามเกณฑ์ที่เลโอนาร์โดได้ตั้งปณิธานไว้อย่างสมบูรณ์ โดยเริ่มจากจากไม่มีลายเซ็นชื่อของคนวาด ไม่มีวันเดือนปีที่วาด และแม้เลโอนาร์โดจะบันทึกเป็นพันๆ หน้า  แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงภาพ Mona Lisa ในสมุดบันทึกเหล่านั้นเลย

ใครคือนางแบบ

โลกได้เริ่มรู้ว่าเลโอนาร์โดได้วาดภาพสตรีคนหนึ่งละนำภาพนั้นติดตัวไปทุกหนแห่ง เป็นครั้งแรกจากบันทึกของ Antonio de Breatis ซึ่งได้ไปเยี่ยมเลโอนาร์โดที่เมือง Cloux เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 1517 และได้เห็นจิตรกรอัจฉริยะเคราขาววัย 65 ปี นำภาพสามภาพมาให้ดู ซึ่งภาพแรกเป็นสตรีชาวฟลอเรนซ์ที่วาดเหมือนตัวจริง ภาพที่ 2 เป็นภาพ St. John the Baptist และภาพที่ 3 เป็นภาพ  Madonna and Child ซึ่งนั่งบนตักของ St.Anne

        เมื่อถึงปี ค.ศ. 1550 ซึ่งเป็นเวลา 31 ปี หลังจากที่เลโอนาร์โดได้เสียชีวิตไป จิออร์จิโอ วาซารี (Giorgio Vasari) ซึ่งเป็นคนแรกที่เขียนประวัติของเลโอนาร์โด ก็ได้กล่าวว่าเลโอนาร์โดได้รับว่าจ้างให้วาดภาพผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ  Lisa Gherardini ซึ่งเป็นภรรยาของ  Francesco di  Bartolomeo  di Zanobi del Giocondo ผู้เป็นพ่อค้าไหมที่ร่ำรวยแห่งเมืองฟลอเรนซ์ และเป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งสูง โดยเธอเป็นภรรยาคนที่ 2 ของเขา และเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1479 ณ  Villa Vignamaggio  ในตำบล Santa Maria Novella ในแคว้น Tuscany

      ขณะที่ Lisa สมรสกับ Giocondo  นั้น เธอมีอายุ 16 ปี   ด้วยเหตุนี่ภาพวาดของเธอจึงได้ชื่อภายหลังว่า Mona Lisa (Mona เป็นคำอีตาเลียนที่มาจากคำเต็มว่า Madonna ซึ่งแปลว่าคุณผู้หญิง) แต่คนอิตาเลียนรู้จักภาพนี้ในนามว่า La Gioconda เพราะชื่อแปลว่า คุณผู้หญิงที่รู้สึกขำ ตามลักษณะยิ้มน้อยๆ ของสตรีในภาพ และคำ giocondare ในภาษาอิตาเลียนก็แปลว่า ขำ หรือ สุข ส่วนคนฝรั่งเศสรู้จักภาพนี้ในนาม  La Joconde

      แต่ก็มีคนโตแย้งเรื่องเล่าของวาซารีมากมาย ในประเด็นว่าเขาเขียนประวัติความเป็นมาของภาพหลังจากที่เลโอนาร์โดเสียชีวิตไปร่วม 31 ปี และเข้าเองก็ไม่เคยเห็นภาพ Mona Lisa ด้วยตาตนเองเลย หลายคนจึงไม่เชื่อในเรื่องที่ซาวารีเล่า

          ความสับสนได้เกิดขึ้นเมื่อคาร์ดินัลแห่ง Argon เล่าว่า 2 อาทิตย์ก่อนที่เลโอนาร์โดจะเสียชีวิต  เขาได้นำภาพสตรีชาวฟลอเรนซ์ที่ กีอูลีอาโน เดอ เมดีซี (Giuliano de Madici) ได้ว่าจ้างให้วาดมาอวดแต่เมื่อถึงวันนี้นักประวัติศาสตร์ได้พบว่า โลกไม่มีหลักฐานใดๆ แสดงว่า Lisa Gherardini กับ กีอูลีอาโน เดอ เมดีซี เป็นภรรยา-สามีกัน

           การติดตามเรื่องราวความเป็นมาของสตรีปริศนาได้รับการยืนยันโดยนักประวัติศาสตร์ Rene Huyghe ว่านางในภาพชื่อ Mona Lisa Gherardini จริง และเธอเป็นภรรยาคนที่ 3 ของ Francasco del Giocondo

       เมื่อเลโอนาร์โดเสียชีวิต กษัตริย์ฟรองซัวส์ที่ 1 แห่ง ฝรั่งเศส ได้ทรงซื้อภาพ Courtisane du Voil de gaze  ด้วยทองคำมูลค่า 4,000 ecus ในเวลาต่อมา Cassiano dei Pozzo ได้เป็นคนแรกที่กล่าวว่าภาพ Courtisaneoคือภาพ Mona Lisa del Giocondo เพราะเขาได้เห็นภาพแขวนที่อยู่พระราชวัง Fontainebleau ในปี ค.ศ. 1625 ว่าเป็นภาพของสตรีที่ระบายด้วยสีน้ำมันบนแผ่นไม้วอลนัต และภาพนั้นแสดงอารมณ์ลี้ลับโดยการยิ้มน้อยๆที่มุมปาก และภาพมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ พูดไม่ได้

         ในปี ค.ศ. 2004 Guiseppe Pallanti นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอิตาเลียนได้ออกหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Monna Lisa : Mulier Ingenua(Mona Lisa : Rael Woman) ภายในหนังสือเขาได้กล่าวว่า เขาพบหลักฐานที่แสดงให่เห็นว่าพ่อของเลโอนาร์โดเป็นเพื่อนกับสามีของ Lisa และได้ให้เลโอนาร์โดวาดภาพภรรยาวัย 24 ปี ของเพื่อน เหมือนกับที่ได้เคยไหว้วานให้เลโอนาร์โดวาดภาพใครต่อใครหลายคนในอดีต

         ข้อมูลที่ Pallanti พบยังแสดงให้เห็นอีกว่าครอบครัวของ Lisa กับ Francesco มีทายาทห้าคน และขนะที่เลโอนาร์โดวาดภาพ Mona Lisa  นั้น Lisa เพิ่งเสียบุตรไปหนึ่งคน เธอจึงใช้แพรบางสีดำคลุมศีรษะและแต่งชุดดำเพราเธออยู่ในอารมณ์ทุกข์  ดังนั้นเลโอนาร์โดจึงจัดนักดนตรีและนักร้องมาเล่นเพลงคลอเคลียให้นางฟังตลอดเวลารวมทั้งได้จัดตัวตลกมาแสดงจำอวด และเล่าเรื่องขำขันให้นางฟังเพื่อนให้นางรู้สึกแจ่มใสอย่างไร้ความกังวลหรือโศกกเศร้าใดๆ

          และนี่คือประวัติความเป็นมาของสตรีผู้เป็นแบบให้เลโอนาร์โดวาดภาพ Mona Lisa ที่โลกรู้จัก

          แต่ข้อสรุปนี้ก็นำมาซึ่งคำถามว่า ถ้าเลโอนาร์โดดัรับว่าจ้างโดย Francasco del Giocondo  ให้วาดภาพภรรยาคนที่ 3 จริง และเหตุใดมื่อเลโอนาร์โดวาดภาพเสร็จเขาจึงไม่มอบภาพให้คนว่าจ้าง กลับนำติดตัวแนบกายไปจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต

ทำไมเลโอนาร์โดจึงนำภาพวาดติดตัวไปทุกแห่ง

           ตามประเพณีปฏิบัติในสมัยนั้นระบุว่าเวลาวาดภาพจิตรกรกับคนจ้างจะต้องทำสัญญาต่อหน้าเจ้าหน้าที่ว่าถ้าจิตรกรวาดภาพไม่เสร็จ หรือวาดไม่ได้ดังสัญญา หรือเมื่อวาดเสร็จคนจ้าง ไม่มีเงินให้ เรื่องจะต้องถึงโรงพักหรือศาล

              เมื่อเราศึกษาประวัติชีวิตและการทำงานของเลโอนาร์โด ก็จะพบว่าในปี ค.ศ. 1501 ซึ่งเป็นเวลาที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์หลายคนสันนิษฐานว่า เลโอนาร์โดเริ่มลงมือวาดภาพ Mona Lisa นั้น เขากำลังสนใจคณิตศาสตร์เมื่อถึงปี ค.ศ. 1502 เขาสนใจวิศวกรรมศาสตร์เชิงทหารเพราะกำลังทำงานให้ Cesare Borgia นายพลจอมโฉดโหด และ ทารุณ  เมื่อถึงเดือนมีนาคม 1503 ได้ออกแบบอุปกรณ์ทดน้ำจากแม่น้ำอาร์โนในฟลอเรนซ์ และวาดภาพ Battle of Anghiari กับ Leda and swan ในปี  ค.ศ. 1504 บิดาของเขาเสียชีวิต  ปี ค.ศ. 1505 เลโอนาร์โดครุ่งคิดเรื่องการบินและหมกมุ่นกับการออกแบบเครื่องร่อน

             ดังนั้นในช่วงปี ค.ศ. 1501 1505 เลโอนาร์โดจึงทำงานหลายเรื่องที่หนักมาก แต่ก็มีเวลาวาดภาพ Mona Lisa และใช้เวลาวาดนานประมาณ 4 ปี โดยวาดบ้าง หยุดพักบ้าง และหวนกลับมาวาดใหม่เมื่อรู้สึกอยากวาดอีก และขณะพักวาดก็หันไปทำงานเรื่องอื่นแทน  และเลโอนาร์โดใช้เวลาวาดภาพนาน และเมื่อวาดเสร็จแล้ว พบว่าตนเองต้องการเก็บภาพเอาไว้เอง Francasco จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าวาด และเมื่อ Francasco แต่งงานใหม่ เขาก็คงไม่รู้สึกอยากมีหรืออยากซื้อภาพของภรรยาของภรรยาเก่ามาติดบ้านใหม่เป็นทีระคายเคืองความรู้สึกของภรรยาใหม่ของตนแน่ๆ

            นักประวัติศาสตร์ศิลป์ยังสันนิษฐานต่อไปว่า เลโอนาร์โดคงวาดภาพเสร็จที่บ้านของ ฟรานเชสโก เมลซี (Franceso Melzi) ผู้ศิษย์ เพราะเลโอนาร์โดเคยไปที่บ้านของเมลซีหลายครั้ง และได้วาดฉากหลังของภาพ Mona Lisa เป็ยอดเขาที่มีลักษณะคล้ายภูเขาแอลปส์มากกว่าภูเขาในแถบเมืองฟลอยเรนซ์

            เมื่อเลโอนาร์โดวาดภาพ Mona Lisa เสร็จ เข้าได้นำภาพที่เขารักนี้ติดตัวไปทุกหนแห่ง จากปลอเรนซ์ไปมิลาน ไปโรม จนกระทั่งไปที่พำนักครั้งสุดท้ายคือที่ Cloux ในฝรั่งเศส

            เมื่อใกล้จะสิ้นชีวิต เลโอนาร์โดได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตจากกษัตริย์ฟรองซัวส์ที่ 1 ทำพินัยกรรมในวันที่ 23 เมษายน 1519 มอบที่ดินและทรัพย์สมบัติที่ Fiesole กับเงิน 400 ducats แก่น้องต่างมารดา มอบภาพวาดและภาพสเกตซ์แก่ ฟรานเซสโก เมลซี ผู้ศิษย์ เพราะกฎหมายฝรั่งเศษระบุว่า หากคนต่างชาติสิ้นชีวิตในฝรั่งเศส ทรัพย์สิ้นทุกอย่างต้องตกเป็นของกษัตริย์  ดังนั้นถ้ากฎหมาย ฉบับนี้จะบังคับใช้ ทรัพย์สมบัติต่างๆ ของเลโอนาร์โดก็ต้องถูกฝรั่งเศสยึดครองหมด เลโอนาร์โดจึงทูลขอพระบรมราชานุญาตยกเว้น และเมื่อกษัตริย์ฟรองซัวส์ที่ 1  ทรงแสดงพระราชประสงค์ซื้อภาพ Mona Lisa  เมลซีก็ได้ขายให้ในราคา 4,000 ecus และนี้ก็คือคำตอบที่ว่า เหตุใด Mona Lisa จึงอยู่ในครอบครองของฝรั่งเศส

            จากนั้นเลโอนาร์โดก็วางแผนงานศพของตนว่าต้องใช้เทียนไขหนักทั้งสิ้น 10 ปอนด์ ขณะรอความตาย สายจาของเลโอนาร์โดทอดมองออกนอกหน้าต่างเห็นยอดแหลมของโบสถ์ Saint Hubert เขาได้กำหนดให้นิมนต์พระจากโบสถ์ Saint-Denis มาโปรดเป็นครั้งสุดท้าย

            เหล่านี้เป็นการเตรียมตัวเดินทางไปปรภพ เพราะเลโอนาร์โดคิดว่าขณะมีชิวิต เขาต้องรู้และเตรียมการใช้ชีวิต ดังนั้นเวลาจะตายเขาก็ต้องเตรียมตัวตายเช่นกัน ขณะต่อสู้กับความตายนั้น เลโอนาร์โดน้ำตาไหล และสิ้นลมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1519  โดยมี Mona Lisa ภาพวาดสุดท้ายที่รัก...อยู่ใกล้ ๆ ในยามสิ้นใจ

            หลังจากที่เลโอนาร์โดตาย ขอบซ้ายขวาของภาพทั้งสองข้างถูกตัดออกข้างละ 7 เซนติเมตร ทำให้ภาพเดิมที่มีเสาสองเสา ไม่มีอีกต่อไป

 ไขปริศนาความงามของภาพ

Mona Lisa

ในภาพ Mona Lisa เราจะเห็นหน้าอก คอ และสองมือไพล่กันโดยมือซ้ายวางอยู่บนที่วางแขน ส่วนมือขวากุมข้อมือซ้ายอย่างละมุมละม่อม

            การวางท่านางแบบเช่นนี้ เลโอนาร์โดได้จัดให้องคืประกอบเรียงในลักษณะของพีระมิด และใช้หลกว่า ใบหน้า ของนางแบบไม่ควรหันไปในทิศทางเดียวกันกับหน้าอกการเบนหน้าทำมุมเล็กน้อยกับลำตัว จะทำให้คนดูรู้สึกใกล้ชิดอบอุ่นกับภาพ และภาพเองก็ไม่แข็งเกร็ง

            นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนคิดว่าเลโอนาร์โดคงได้แรงดลใจจากภาพ Bust of a Young Woman ชองเวร์รอกซีโอผู้อาจารย์ที่วาดให้ผู้หญิงในภาพเบนใบหน้าไปเล็กน้อยแล้วเอามือไพล่กัน เลโอนาร์โดชอบลักษณะการวางท่าเช่นนี้มาก  และได้ใช้การวางตัวลักษณะนี้ในภาพ Lady with an Ermine ของเขาด้วย

             เลโอนาร์โดเป็นนักละครที่สามารถ เขาจึงรู้ดีว่าขัดแย้งระหว่างตัวละครสนุก น่าสนใจ และประทับใจ ดังนั้นเขาจึงกำหนดให้ Mona Lisa สวมเมื่อผ้าสีดำซึ่งแสดงการไว้ทุกข์ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ให้เธอยิ้มเล็กน้อยและให้ทอดสายตาอย่างสงบ ในบรรยากาศบนระเบียงทางเดินที่เบื้องหลังมีลายน้ำไหลคดเคี้ยวเหมือนงู มีหุบเขาภูเขายอดแหลม ในป่าที่มีสะพานโค้งข้ามายน้ำในเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ และมีหมอกบางๆ ปกคลุมที่ขอบฟ้าไกลๆ

             การจัดฉากเบื้องหลังให้เป็นป่าที่มีความเถื่อนอันน่ากลัวนี้ ขัดแย้งกับความรู้สึกอบอุ่นของยิ้ม และความสงบนิ่งของมือที่ดูนุ่มเสมือนมีชีวิตจริงๆ

             นี่คือการเชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติด้วยภาพซึ่งได้รับการบันทึกว่าเป็นภาพแรกของโลกที่มีคนในฉาก

ภูมิประเทศที่เป็นจินตนาการ ทั้งนี้เพราเลโอนาร์โดสนใจวิทยาการหลายด้าน เช่น ธรรมชาติ ธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา และกายวิภาคศาสตร์ เขาจึงนำความสนใจทั้งหมดนั้นบรรจุลงในภาพ เช่น สายน้ำและป่าซึ่งแสดงธรรมชาติภูเขาซึ่งแสดงความรู้ด้านธรณีวิทยา  อุตุนิยมซึ่งแสดงโดยหมอกสลัว และกายวิภาคซึ่งแสดงโดย Mona Lisa เองและในส่วนของวิวเบื้องหลัง เราก็จะเห็นว่าระดับของขอบฟ้าด้านซ้ายอยู่ต่ำกว่าขอบฟ้าด้านขวา  ดังนั้นเวลาดูกลางภาพ ระดับวิวทั้งสองข้างจะเหลื่อมกัน

             ใบหน้ามีรอยยิ้มปริศนา คือส่วนสำคัญที่สุดของภาพแต่ในความเป็นจริง ภาพนี้มิได้เป็นภาพแรกที่เลโอนาร์โดวาดให้มียิ้ม ภาพ Lady with an Ermine ภาพ  Virgin of the Rocks ภาพ St.John the Baptist ล้วนมียิ้มน้อยๆ หรือเล็กน้อย แต่ยิ้มเหล่านั้นไม่ประทับใจ และไม่พิมพ์ใจเท่ายิ้มของ Mona Lisa ซึ่งเลโนอาร์โด ได้พัฒนาเทคนิคการวาดจนถึงระดับสุดยอดจากการฝึกวาดยิ้มในภาพต่างๆ

              ตามปกติเลโอนาร์โดต้องการให้นางแบบยิ้มให้

              แสดงอารมณ์ เพราะเขาคิดว่าจิตรกรเหมือนกวี กวีใช้คำและภาษาบอกอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด  จิตรกรก็สามารถใช้ภาพของตา ใบหน้า และท่าทาง บอกความรู้สึกได้เช่นกัน โดยเฉพาะรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากของ Mona Lisa นั้นเป็นยิ้มที่แสดงความเป็นผู้ดีมีตระกูลเป็นยิ้มที่มีเลศนัย ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้คนดูค้นหาคำตอบว่า นางยิ้มอย่างมีความสุข ยั่วยวน ขำประหลาด โกธร เกลียด กลัว หรือ เศร้า กันแน่

               เมื่อปีกลายนี้คณะนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัย Amsterdam ในเนเธอร์แลนด์ และมหาวิทยาลัย Illionis ในสหรัฐอเทริกา ได้ใช้ software คอมพิวเตอร์ศึกษาสายตาใบหน้า และอารมณ์ ของสตรีอาศัยแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนยามสุข รังเกียจ กลัว และโกธร การผสมผสานความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ในสัตว์ต่างๆกันทำให้เขาพบว่ายิ้มของ Mona Lisa ประกอบด้วยความสุข 83% รังเกียจ 9% กลัว 6% และโกธร 2%

ภาพลอกเลียน

ความงามของภาพ Mona Lisa ทำให้มีศิลปินหลายต่อหลายคนพยายามวาดล้อเลียน หลายภาพวาดโดยลูกศิษย์ของเลโอนาร์โดเอง

เลโอนาร์โด ดา วินชี เทคนิคการวาด

            จุดเด่นอีกส่วนของภาพ Mona Lisa อยู่ที่ตาซึ่งชื้นเล็กน้อยเสมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง เพราะเลโอนาร์โด เพราะเลโอนาร์โดถือว่าตาเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดของร่างกายที่ช่วยให้คนเห็นโลกภายนอก และดวงตาคือหน้าต่างของจิตใจ  ในการวาดภาพดวงตาทั้งคู่ของMona Lisa นั้น เลโอนาร์โดก็ประสบความสำเร็จสูงในการวาดให้ตาทั้งคู่จับจ้องที่คนดูไม่ว่าคนดูจะเยื้องย่างไปที่ใด ตาก็จะจ้องจับตลอดเวลา

           ภาพ Mona Lisa นี้ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกเช่นการมีสองข้างของใบหน้าเหมือนกันทีเดียวทำให้ทุกครั้งที่คนดูภาพหวนกลับไปดูอีก  เขาจะรูปสึกว่าหน้าของMona Lisa เปลี่ยน นอกจากนี้ในส่วนของขนตาและคิ้วก็ปรากฏว่าไม่มี เพราะผู้หญิงในยุคนั้นนิยมถอนขนไม่ว่าจะเป็นคิ้ว หนังตา หรือหน้าผาก ดังนั้นหน้าผากของ Mona Lisa จึงกว้าง เธอมีผมหยิกเพราะถูกดัด มีปอยผมปลายที่ปลายขดเหมือนกระแสน้ำตกจมูกของเธอโด่ง ปากเต็มอิ่ม เนื้อที่คอ หน้าอก นุ่มเหมือนมีชีวิต

เบื้องหลังเทคนิคสฟูมาโต

การที่เลโอนาร์โดประสบความสำเร็จในการทำให้ภาพมีลักษณะเช่นนี้ได้ ถือว่าเป็นความสามารถระดับพิเศษสุดเพราะคิดเทคนิคระบายสีที่โลกไม่รู้จักในนามว่า สฟูมาโต (sfumato) ซึ่งเป็นการทำสีสีหนึ่งกลมกลื่นกับอีกสีหนึ่งโดยการลดความเข้มของสีทีละน้อยๆ จนในที่สุดขอบของภาพก็เบลอหายไปกับฉากหลังอย่างกลมกลืน หรืออาจเพิ่มเทีละน้อยๆ จนขอบของภาพเลือนไปๆ เสมือนควัน “Fumare” ตรงบริเวณขอบภาพจึงดูเป็นสามมิติ ที่มีความหนานูนเพิ่ม

            ในการระบายภาพด้วยเทคนิคนี้ ฌลโอนาร์โดต้องใช้ความอดทน และความละเอียดอ่อนมาก เขาใช้สีที่ทำขึ้นโดยเฉพาะ คือเป็นสีที่ใช้สีน้อย และใช้ตัวทำละลายมาก จากนั้นก็ระบายสีที่ละชั้น โดยให้สีมีความหนาตั้งแต่1/30 -1/20 มิลลิเมตร พอสีชั้นหนึ่งแห้งก็ระบายทับอีกชั้นหนึ่ง เช่น เวลาระบายส่วนที่เป็นศีระษะ เลโอนาร์โดก็จะระบายด้วยสีน้ำตาล-แดงก่อน แล้วตาม้ดวยสีชมพู -เหลือง เหมือนสีเนื้อ และตลอดเวลา เลโอนาร์โดจะปรับปริมาณน้ำมันลินสีตเม็ดสีและยางสนให้เข้ากับอวัยวะส่วนที่ระบายและอาศียหลักของแสงว่า สีน้ำตาลจะดูดแสงสีเหลือง-แดง และไม่ปล่อยให้แสงสีนี้สะท้อนกลับ  และในกรณีเม็ดสีทึบแสงที่อยู่ข้างบนจะกระจายแสงสีฟ้าได้ดี ภาพก็จะปรากฎมีสีฟ้า และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ภาพทิวทัศน์ไกล ๆ ของเลโอนาร์โดปรากฎเป็นสีฟ้าอ่อน ๆ

            ดังนั้นภาพ Mona Lisa จึงมีสีเนื้อที่มีความหนาแตกต่างกัน ขึ้นกับว่าเลโอนารืโดต้องการให้มันสะท้อนหรือดูดกลืนแสงใด  เพราะบริเวณที่สะท้อนแสงดูจะสว่างและบริเวณที่ดูดกลืนแสงมืด ด้วยเทคนิคนี้เนื้อสีในชั้นต่าง ๆ จึงบางบ้าง หนาบ้าง และชั้นบนสุดชั้นที่มีน้ำมันมากที่สุด

            เทคนิคสฟูมาโตเป็นเทคนิคพิเศษที่จิตรกรพิเศษเท่านั้นจึงสามารถทำได้ เช่น Tintoretto และ Titian ก็ใช้เทคนิคนี้ เวลาตองการทำให้ภาพมีสีแดง หรอื Rubens เวลาตองการให้บริเวณตามมีสีฟ้า ผิวหน้าเปล่งปลั่งและดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยง ก็ใช้วิธีสฟูมาโตเช่นกัน แต่สำหรับคนที่มีความสามารถน้อย การระบายสีหลายชั้นอย่างไม่รู้คุณสมบัติของสีและแสง จะทำให้ภาพมืดทันที

            ภาพ Mona Lisa ของเลโอนาร์โดในสภาพสมบูรณ์จึงเป็นภาพที่เขียนด้วยสีน้ำมันและสี่ฝ่นผสมน้ำมันลงบนแผ่นไม่ poplar ขนาด 76.96 x 53.08 เซนติเมตร มีเส้นรอบนอกของภาพกลมกลืนกับฉากหลัง แทนที่เส้นจะตัดกับฉากหลังดังที่จิตรกรอื่น ๆ วาด โดยฉากมีธรรมชาติที่มีบรรยากาศ และนางแบบมีชิวิตและจิตใจ และเมื่อเลโอนาร์โดระบายสีให้ภาพทั้งหมดดูเสมือนมีม่านหมอกเจือจากปกคลุม ความสลัวของทิวทัศน์ด้านหลัง การยิ้มที่มีนัยและสายตาที่ทอดสะพาน ทำให้ผู้ดูมีจินตนาการที่จะค้นหาเบื้องลึก เบื้องหลัง และความหมายของสิ่งที่เห็นตลอเวลา 500 ปีที่ผ่านมานี้ และนี้ก็เป็นเสมือนมนตร์ที่ดึงดูผู้คนให้ไปขมผลงานจิตรกรรมอมตะอันเป็นเสมือนมรดกที่   เลโอนาร์โดได้มอบให้แก่โลก

อิทธิพลของภาพ Mona Lisa

ผลงาน  Mona Lisa ของเลโอนาร์โดที่วาดในยุคเรเนอซองซ์ ได้ทำให้ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกอุบัติ และโลกจินตนาการมีชีวิตชีวาใหม่

            จีออร์จีโอ วาซารี ได้กล่าวถึง Mona Lisa ว่าเป็นผลงานตัวอย่างที่วิเศษสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จิตรกรรมสามารถเลียนแบบธรรมชาติได้ดีเพียงไร และ Andre Malraux ก็ได้กล่าวยกย่องว่า นี่คือผลงานที่อัจฉริยะได้วาดขึ้น เพื่อคารวะอย่างลึกซึ้งต่อใบหน้าที่มีชีวิต

            Mona Lisa จึงมิใช่เป็นเพียงภาพธรรมดา แต่เป็นภาพเทวดา ที่ไม่เพียงแต่คนทั่วไปเท่านั้นที่ชื่นชมเพราะแม้แต่จิตรกรที่มีชื่อเสียงเช่น  Raphael ก็ชื่นชมตัวเลโอนาร์โดมาก เพราะในภาพ School of Athens  ที่เขาวาดในช่วงปี ค.ศ. 1510-1511 นั้น เขาได้วาดใบหน้าของเพลโต ซึ่งเป็นหัวหน้าของสถาบันเหมือนหน้าของเลนาร์โด

            แม้แต่ภาพ The Woman with a pearlของ Corot และภาพ Madam Eugene Canocille ของ Millet ก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากภาพ Mona Lisa

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ไม่นานนักก็เช่น ในปี ค.ศ. 1919 Marcel Duchamp ได้วาดหนวดลงไปบนใบหน้าของMona Lisa

            ในปี ค.ศ. 1950 Nat King Cole ร้องเพลง Mona Lisa  และเพลงนี้ติดอันดั 1 นาน 8 สัปดาห์ รวมจำนวขาย 3 ล้านแผ่น และเมื่อเพลงนี้ถูกนำมาใช้บรรเลงประกับภาพยนต์ Mona  Lisa ในปี ค.ศ. 1986 เพลงก็ได้รับรางวัล Oscar

            ในปี ค.ศ. 1954 Salvador Dali วาดภาพเหมือนตนเองในลักษณะ Mona Lisa

            และเมื่อวันที่  19 พฤษภาคม 2006 นี้ ภาพยนตร์ The Da Vinci Code ของ Dan Brown ซึ่งกำกับโดย Ron Howard  และนำแสดงโดย Tom Hanks เป็นศาสตราจารย์ Robert Langson ถูกนำออกฉายรอบปฐมทัศน์ทั่วโลก

 เมื่อ Mona Lisa ถูกขโมย

            ในเรื่องการเก็บรักษาและการอนุรักษ์ภาพนั้น ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า หลังจากที่เลนาร์โดเสียชีวิต ภาพถูกนำไปเก็บที่ Fontainebleau             ต่อมาได้โยกย้ายไปอยู่ที่ Versailles และหลังจากเกิดปฎิวัติในฝรั่งเศส ภาพถูกนำไปประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เมื่อนโปเลียนที่ 1 เสด็จครองราชย์ องค์จักรพรรดิ์โปรดให้นำ Mona Lisa ไปติดที่ห้องบรรทมที่พระราชวัง Tuileries แล้วถูกนำหลับไปที่ ลูฟวร์อีก และเมื่อเกิดสงคราม Franco-Prussian ในปี ค.ศ. 1870-1871 ภาพได้ถูกนำไปซุกซ่อรในที่ที่ไม่มีผู้ใดรู้เมื่อสงครามสงบภาพก็ถูกนำไปอยู่ที่ลูฟวร์อีก

            ในวันที่ 14  ธันวาคม 1962 มีนาคม 1963 รัฐบาลฝรั่งเศสได้อนุญาให้มีการนำ Mona Lisa ไปแสดงที่นิวยอร์กและวอชิงตันฯ ในสหรัฐอเมริกา

            ในปี ค.ศ. 1974 ภาพถูกนำไปแสดงที่โตเกียวและมอสโก และทุกครั้งที่มีการนำ Mona Lisa ออกนอกประเทศ ภาพจะถูกนำไปประกันภัย

            สถิติของ Guinness ระบุว่าเงินประกันของภาพนี้ ทำให้มันเป็นภาพที่มีค่ามากที่สุดในโลก

            ในวันที่ 6 เมษายน 2005 ภาพ  Mona Lisa ถูกนำไปติดตั้งที่ Salle des Ftats ในลูฟวร์ ซึ่งเป็นห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิอสงสว่าง ความฃื้น ความสะอาด และความปลอดภัย เพื่อให้ภาพคงสภาพความเป็นอมตะนิรันดร์กาล

            เมื่อปีกลายนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดสรรเงิน 250 ล้านบาทตบแต่งห้องแสดงภาพ Mona Lisa ให้มีระบบห้องกันโจรกรรม ให้มีระบบอนุรักษ์ภาพที่ทันสมัย โดยให้ภาพมีกระจกป้องกันกระสุนและระเบิดต่าง ๆ รวมทั้งให้มีที่กันไม่ให้คนดูภาพอย่างใกล้ชิดจนเกินไป คือให้ยืนดูห่างจากภาพ 6 ฟุต

            ในส่วนการบูรณะภาพนั้น ถึงแม้ว่าภาพอื่น ๆ ของเลโอนาร์โด เช่น ภาพ The Last Supper จะได้รับการบูรณะแล้ว แต่คณะกรรมการผู้บริหารพพิธภัณฑ์ลูฟวร์ก็ได้ลงมติเด็ดขาดว่า ห้ามใครแตะต้อง Mona Lisa เพราะภาพนี้เป็นมรดกโลกหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครจะวาดได้เหมือนอีกแล้ว แม้แต่ให้เลโอนาร์โดกลับชาติมาเกิดใหม่ก็เนรมิตภาพนี้ไม่ได้อีก ซึ่งฝรั่งเศศสจะต้องพิทักษ์คุ้มครองดุจอิสรภาพของฝรั่งเศสเอง

            ดังนั้นเมื่อเกิดการโจรกรรมภาพ Mona Lisa ในวันที่ 21 สิงหาคม 1911 ดยขมยที่ชื่อ Vincenzo peruggia ข่าวนี้จึงเป็นข่าวใหญ่ที่สุด ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไปทั่วโลกและภาพก็ถูกนำหลับมาคืนพิพิธภัณฑ์ในอี 2 ปีต่อมา

            รายงานการโจรกรรมอุกอาจครั้งนั้นแจ้งว่า ในวันเกิดเหตุ ขณะจิตรกร Louis Beroud เดินไปที่ห้อง Carre ซึ่งเป็นห้องที่ภาพ Mona Lisa อยู่ และภาพแขวนห้อยอยู่ระหว่างภาพ Mystical Mariage ของ Corregio กับภาพ Allegory of Alfonso d’ Avalve ของ Titian เขาได้สังเกตเห็นว่าภาพ Mona Lisa หายไป

            ข่าวอันตรธานของภาพทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศปิดพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ทันทีเป็นเวลานาน 1 สัปดาห์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนหาร่องรอยของโจร ในเบื้องต้นตำรวจตั้งข้อสงสัยในตัว Guillaume Apollinaire ซึ่งเป็นกวีที่ได้เคยประกาศขู่ว่าจะเผาพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ แต่เมื่อตำรวจสอบสวนซักถาม Apollomaire  ก็ได้พบชัดเจนว่าเขามิใช่ขโมย ความล้มเหลวในการตามจับโจรในเวลาต่อมานานพอสมควร ได้ทำให้หลายคนคิดว่า Mona Lisa คงถูกทำลายจนสาบสูญไร้ร่องไปแล้วเป็นแน่

            จนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 ปี มีผู้นำภาพ Mona Lisa ไปขายที่ร้านภาพในเมืองฟลอเรนซ์ และการขายนี้เองที่ทำให้โจรผู้นี้ถูกตำรวจจับกุมตัวได้ในโรงแรม

            ชื่อของเขาคือ Vincenzo Peruggia เป็นชาวอิตาเลี่ยน และเป็นเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดกระจกที่ปกป้องภาพ Mona Lisa  นั่นเอง เขามีนิสัยชอบขโมยเล็กชโมยน้อยอีกทั้งเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่า ภาพอยู่ติดกำแพงในลักษณะใด นักสืบจึงตั้งข้อสันนิษฐาน Peruggia คงซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บไม้กวาดในเวลาพิพิธภัณฑ์เปิด และทันที่ที่พิพิธภัณฑ์ปิด เขาก็ได้นำภาพไปเก็บในห้องเก็บเสื้อคลุม แล้วนำไปซุกซ่อนต่อในห้องพักของตน ผ่านไป 2 ปี เมื่อเขาเดือนร้อนต้องการเงิน เขาจึงนำภาพไปขายในเมืองฟลอเรนซ์

            หลังจากนั้นภาพ Mona Lisa ก็ถูกนกแสดงในพิพิธภัณฑ์ทั่วอิตาลีให้ชาวอิตาลีชื่นชม ก่อนถูกนำกลับคืนพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในปี ค.ศ. 1913

            เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลฝรั่งเศสเกรงว่าภาพอาจถูกระเบิดทำลาย จึงได้จัดการย้าย Mona Lisa  ออกจากลูฟวร์ เพื่อความปลอดภัยไปอยู่ที่ Chateau Amboise ในเมือง Montauban และเมื่อสงครามสงบ Mona Lisa ก็เดินทางกลับบ้านที่ลูฟวร์อีก

            ในปี ค.ศ. 1956 สวนล่างของภาพถูกคนบ้าราดด้วยน้ำกรด แต่ไม่เสียหายเพราะมีกระจกนิรภัยกั้น และในวันที่ 30 ธันวาคม ของปีเดียวดัน หนุ่มชาว Bolivia ชื่อ Ugo Ungaza Villegas ก็ปาก้อนหินใส่ภาพ ทำให้บริเวณข้อศอกซ้ายของ Mona Lisa มีรอยหินประทบ

            ปี ค.ศ. 2006 นี้นับเป็นปีครบ 5 ศตวรรษของ Mona Lisa  ซึ่งเป็นภาพที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ เลโอนาร์โดดาวินซี ได้มอบให้คนทั่วโลกทึ่ง ชื่นชม พิทักษ์และอนุรักษ์ให้อยู่คู่มนุษยชาติตลอดไป