บทเรียนที่ 1.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย

การวจิ ยั เพ่ือพฒั นาการเรียนรู้
(ED ๑๐๐๗)

บทท่ี 1
ความรู้เบื้องต้นเกย่ี วกบั ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั

สาหรับนักศึกษาช้ันปี ท่ี ๔ สาขาวชิ าการสอนภาษาองั กฤษ/การสอนภาษาไทย

พระมหาสกลุ มหาวโี ร, ผศ.ดร.
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตล้านนา

2

บทท่ี 1
ความรู้เบื้องต้นเกยี่ วกบั ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั

หัวข้อเนื้อหาประจาหน่วย
1.1 บทนำ
1.2 ควำมหมำยของกำรวิจยั
1.3 วตั ถุประสงคข์ องกำรวิจยั
1.4 ประเภทของกำรวิจยั
1.5 วธิ ีกำรศึกษำหำควำมรู้
1.6 คุณสมบตั ิของนกั วจิ ยั
1.7 จรรยำบรรณของนกั วจิ ยั
1.8 สรุปทำ้ ยบท
1.9 คำถำมทำ้ ยบท
1.10 หนงั สืออำ้ อิงประจำบท

จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
1. เพอื่ รู้และเขำ้ ใจควำมหมำยของกำรวจิ ยั
2. เพ่ือรู้และเขำ้ ใจวตั ถุประสงคข์ องกำรวจิ ยั
3. เพ่อื รู้และเขำ้ ใจประเภทของกำรวจิ ยั
4. เพอ่ื รู้และเขำ้ ใจวธิ ีกำรศึกษำหำควำมรู้
5. เพือ่ รู้และเขำ้ ใจคุณสมบตั ิของนกั วจิ ยั
6. เพ่อื รู้และเขำ้ ใจจรรยำบรรณของนกั วิจยั

3

กาหนดการสอนประจาหน่วย จานวนช่ัวโมง กิจกรรมการเรียนการ ค ะ แ น น

สั ปดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด ทฤษฎี ปฏิบตั ิ สอน ส่ือที่ใช้ เกบ็
ท่ี
1 1.1 บทนำ 3- -แน ะน ำรำยวิชำและ
แผนกำรสอน
1.2 ควำมหมำยของกำรวิจยั - กำรบรรยำย
1.3 วตั ถุประสงคข์ องกำรวจิ ยั
1.4 ประเภทของกำรวจิ ยั - กำรซักถำม/อภิปรำย
1.5 กำรวิจยั เชิงปริมำณ
และกำรวิจยั เชิงคุณภำพ ร่วมกนั
1.6 วธิ ีกำรศึกษำหำควำมรู้
1.7 คุณสมบตั ิของนกั วิจยั - มอบหมำยงำนบุคคล
1.8 จรรยำบรรณของนกั วิจยั
และงำนกลุม่

- ส่ื อที่ใช้ : โปรแกรม

PowerPoint

1.1 ความนา
จำกกำรประกำศใชพ้ ระรำชบญั ญตั ิกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 ไดม้ ีกำรกำหนดแนวทำงกำร

จดั กำรเรียนสอนไวว้ ำ่ กำรจดั กำรศึกษำตอ้ งยึดหลกั กว่ำ ผูเ้ รียนทุกคนมีควำมสำมำรถเรียนรู้ และพฒั นำ
ตนเองได้ และถือว่ำผูเ้ รียนมีควำมสำคญั ที่สุด กระบวนกำรจดั กำรเรียนกำรสอนตอ้ งส่งเสริมให้ผูเ้ รียน
สำมำรถพฒั นำตำมธรรมชำติและเตม็ ศกั ยภำพ (บญั ชำ แสนทว,ี 2545 : 1-2)

กระบวนกำรจดั กำรเรียนกำรสอนท่ีสอดคลอ้ งกบั เจตนำรมณ์ของพระรำชบญั ญตั ิดงั กล่ำว คือ
กำรส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนสำมำรถพฒั นำตำมธรรมชำติและเตม็ ศกั ยภำพจึงเป็นหนำ้ ที่ของครู ฉะน้นั ครูจึงตอ้ ง
ปรับเปล่ียนบทบำทให้ทนั กบั โลกและกำรศึกษำสมยั ใหม่ ในปัจจุบนั กำรเรียนรู้ไม่ไดจ้ ำกดั เฉพำะกำร
สอนตำมบทเรียนเท่ำน้นั แต่มีขอ้ มูลจำกแหล่งศึกษำอีกจำนวนมำก โดยเฉพำะจำกอินเตอร์เน็ตท่ีนกั เรียน
ใหค้ วำมสนใจมำก ดงั น้นั ครูในฐำนะเป็นผสู้ อนจึงตอ้ งสอนให้ ให้นกั เรียนคิดเป็นทำเป็น แกป้ ัญหำเป็น
โดยยดึ ผูเ้ รียนเป็ นศูนยก์ ลำง ผูเ้ รียนสำคญั และใชก้ ำรวิจยั เขำ้ มำมีบทบำทในกำรเรียนกำรสอน เพ่ือครูจะ
ไดเ้ ขำ้ ใจผเู้ รียนและปรับปรุงสร้ำงแผนกำรสอนใหเ้ หมำะกบั ผูเ้ รียนตำมสภำพแวดลอ้ มท่ีเปลี่ยนแปลงไป
กำรวิจยั จึงเป็ นกลไกและเครือข่ำยสำคญั ในกำรจดั กำรศึกษำให้สำมำรถตอบสนองควำมตอ้ งกำรของ
ผเู้ รียนอยำ่ งเป็นรูปธรรม นอกจำกน้ีกำรวจิ ยั ยงั ช่วยใหค้ รูพฒั นำทกั ษะวิชำชีพครู ไดแ้ ก่ ออกแบบหลกั สูตร

4

จดั กิจกรรมกำรเรียนรู้ ใชส้ ื่อ แหล่งกำรเรียนรู้ และประเมินที่หลำกหลำยใหส้ ำมำรถสนองควำมตอ้ งกำร
ของผเู้ รียนและบรรลุเป้ำหมำยของหลกั สูตร ดงั แสดงในแผนภมู ิที่ 1.1

ออกแบบ
หลกั สูตร

ผู้เรยี นสำคญั ผเู้ รียนสำคัญ

จดั กจิ กรรม วจิ ัย ครู วจิ ัย ประเมนิ
การเรียนรู้ หลากหลาย

ผูเ้ รียนสำคญั ผ้เู รียนสำคัญ
ใชส้ อ่ื และ

แหลง่ เรยี นรู้

แผนภูมิที่ 1.1 องคป์ ระกอบของทกั ษะวชิ ำชีพครู

1.2 ความหมายของการวจิ ยั
คำวำ่ วิจยั ตรงภำษำองั กฤษวำ่ Research เกิดจำกคำ 2 คำมำรวมกนั คือคำวำ่ Re+Search จำกรำก

ศัพท์เดิมว่ำกำรค้นหำซ้ำแล้วซ้ำอีกให้เกิดควำมม่ันใจ สำหรับควำมหมำยวิจยั มีผูใ้ ห้ควำมหมำยไว้
หลำกหลำยดว้ ยกนั

พจนำนุกรมฉบับรำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ. 2525 ให้ควำมหมำยของกำรวิจยั ว่ำ “กำรคน้ ควำ้
เน้ือหำขอ้ มูลอยำ่ งถ่ีถว้ นตำมหลกั วิชำ”

จริยำ เสถบุตร (2526 : 4) ใหค้ วำมหมำยไวว้ ำ่ กำรวิจยั คือกำรคน้ ควำ้ หำควำมรู้อยำ่ งมีระบบและ
แบบแผนเพ่ือให้เกิดควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำกำรหรือเกิดประโยชน์แก่มนุษยโ์ ดยอำศยั วิธีกำรท่ีเป็ นที่
ยอมรับในแต่ละสำขำวชิ ำ

พจน์ สะเพียรชยั และคณะ (2529 : 10) ใหค้ วำมหมำยไวว้ ำ่ กำรวิจยั คือวธิ ีกำรคิดคน้ วธิ ีแกป้ ัญหำ
ท่ีมีระบบแบบแผนที่ เชื่อถือไดเ้ พ่อื ก่อใหเ้ กิดควำมรู้ที่เชื่อถือไดเ้ พอื่ นำไปสร้ำงกฎเกณฑต์ ่ำงๆ

บุญเรียง ขจรศิลป์ (2530 : 9) กล่ำวว่ำ กำรวิจยั เป็ นกระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ใหม่ ๆ หรือ
กระบวนกำรเสำะแสวงหำควำมรู้เพื่อตอบสนองปัญหำที่มีอยอู่ ยำ่ งมีระบบและมีวตั ถุประสงคท์ ่ีแน่นอน
โดยอำศยั วิธีกำรทำงวิทยำศำสตร์

นงลกั ษณ์ วิรัชชยั (2537 : 31) กล่ำวว่ำ กำรวิจยั คือกระบวนกำรศึกษำควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำง
ปรำกฏกำรณ์ธรรมชำติตำมสมมุติฐำน ท่ีนิรภยั จำกทฤษฎีโดยใชร้ ะเบียบวิธีกำรวิทยำศำสตร์ท่ีเป็นระบบ

5

มีกำรใชเ้ ครื่องมือเชิงประจกั ษ์ มีกำรควบคุม และมีข้นั ตอนดำเนินกำรเป็นข้นั เป็นตอน โดยแต่ละข้นั ตอน
มีควำมสมั พนั ธ์เกี่ยวขอ้ งกนั นำไปสู่คำตอบปัญหำกำรวจิ ยั ผลกำรวิจยั ที่ไดเ้ ป็นควำมรู้ใหม่เป็นผลของกำร
พฒั นำสิ่งใหม่ ๆ ซ่ึงจะเป็นประโยชนต์ ่อมนุษยแ์ ละสงั คม

พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2538 : 11) ใหค้ วำมหมำยไวว้ ำ่ กำรวิจยั คือกำรคน้ ควำ้ หำควำมรู้ควำมจริงที่
เช่ือถือไดโ้ ดยวิธีกำรที่มีระบบแบบแผนท่ีเช่ือถือไดเ้ พื่อนำควำมรู้ไปสร้ำงกฎเกณฑท์ ฤษฎีต่ำง ๆ

นที เทียมศรีจนั ทร์ (2543 : 8) กล่ำววำ่ กำรวิจยั (Research) เป็นเคร่ืองมือและเป็นปัจจยั พ้ืนฐำน
ท่ีสำคญั อย่ำงหน่ึงในกำรสร้ำงองค์ควำมรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อกำรพฒั นำทำงด้ำนกำรศึกษำ
เศรษฐกิจ สังคม กำรเมือง และควำมมน่ั คงของชำติ รวมท้งั ยงั ช่วยในกำรแกไ้ ขปัญหำต่ำง ๆ ของมนุษย์
โดยกำรติดตำมวิทยำกำรควำมกำ้ วหนำ้ ในดำ้ นต่ำง ๆ อยำ่ งต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงคุณภำพและมำตรฐำน
ของกำรวิจยั ใหเ้ กิดผลผลิต ผลลพั ธ์ และผลกระทบท่ีเป็นประโยชน์ต่อกำรดำรงชีวิตอยำ่ งแทจ้ ริง

สมเจตน์ ไวทยำกำรณ์ (2544 : 7) กล่ำวว่ำ กำรวิจยั เป็ นกระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ ควำมจริง
โดยอำศยั วธิ ีที่เช่ือถือได้

บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธ์ิ (2546 : 12) กล่ำววำ่ กำรวิจยั มีควำมหมำยเป็นกระบวนกำรคน้ ควำ้
หำขอ้ เทจ็ จริงหรือคน้ ควำ้ หำปรำกฏกำรณ์ธรรมชำติอยำ่ งมีระบบระเบียบ และมีจุดหมำยท่ีแน่นอน เพ่ือให้
ไดค้ วำมรู้ท่ีเช่ือถือได้

จำกควำมหมำยของผรู้ ู้ดงั กล่ำว สรุปไดว้ ำ่ กำรวิจยั หมำยถึง กระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ ควำม
จริงหรือปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติอย่ำงมีระบบระเบียบและมีจุดหมำยแน่นอน ด้วยวิธีกำรทำง
วิทยำศำสตร์เพอ่ื ใหเ้ กิดผลลพั ธ์ ควำมรู้ใหม่เป็นประโยชนต์ ่อมนุษยแ์ ละสงั คม

1.3 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั

จำกควำมหมำยของกำรวิจยั แลว้ คือ กระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ ควำมจริงเพื่อให้ไดค้ วำมรู้

ใหม่เป็ นประโยชน์ต่อมนุษยแ์ ละสังคม หำกประมวลเอำควำมหมำยวิจยั ดงั กล่ำว จึงเห็นไดว้ ่ำในกำร

ดำเนินกำรวิจยั โดยทว่ั ไปจะมีกำหนดวตั ถุประสงคข์ องกำรวจิ ยั สำคญั ไว้ 5 ประกำร
1. เพ่ือใช้ในการบรรยาย ผลที่ไดจ้ ำกกำรวิจยั สำมำรถท่ีจะบรรยำยลกั ษณะของสิ่งที่ทำกำรศึกษำ

วิจัยน้ัน ว่ำเป็ นเช่นไร อยู่ท่ีใด มีกี่ประเภท มำกน้อยเพียงใด มีสภำพเป็ นอย่ำงไร มีพัฒนำกำรหรือ
เปลี่ยนแปลงไปอยำ่ งไร หรือ มีปัญหำอะไร มีควำมพึงพอใจมำกนอ้ ยเพียงใดเป็นตน้

2. เพ่ือใช้ในการอธิบาย ผลที่ได้จำกกำรวิจยั จะสำมำรถบอกเหตุผลของสิ่งท่ีเกิดข้ึนได้ ว่ำมี
สำเหตุมำจำกส่ิงใดหรือไดร้ ับอิทธิพลจำกตวั แปรใดหรือปัจจยั ใด รวมท้งั ปัจจยั ใดมีอิทธิพลมำกนอ้ ยกว่ำ
กนั ซ่ึงผูว้ ิจยั อำจทดลองใส่ปัจจยั ลงไปในสิ่งท่ีศึกษำ แลว้ สังเกตกำรเปล่ียนแปลงหรือปฏิกิริยำที่เกิดข้ึน
แลว้ จะช่วยอธิบำยได้ว่ำ กำรเปลี่ยนแปลงหรือปฏิกิริยำที่เกิดข้ึนน้ัน เป็ นเพรำะสำเหตุใดหรือได้รับ
อิทธิพลจำกสิ่งใด

6

3. เพ่ือใช้ในการทานาย ในบำงคร้ัง เรำจำเป็นที่จะตอ้ งทรำบอนำคตของสิ่งที่ศึกษำวำ่ เป็นเช่นไร
อนั จะช่วยใหม้ นุษยส์ ำมำรถท่ีเตรียมกำร ปรับตวั ใหท้ นั กำรเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดข้ึนในอนำคตได้ ซ่ึงกำร
วจิ ยั น้ีอำจจะอำศยั ขอ้ มูลที่เกิดข้ึนมำแลว้ ในอดีตจนถึงปัจจุบนั แลว้ ทำกำรวเิ ครำะห์แนวโนม้ ท่ีจะเกิดข้ึนใน
อนำคต ซ่ึงอำจจะอำศยั วิธีกำรทำงสถิติ หรืออำศยั ประสบกำรณ์ของผเู้ ช่ียวชำญหลำย ๆ คน เป็นตน้

4. เพื่อใช้ในการควบคุม ในกำรดำเนินกิจกรรมอยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึง ซ่ึงตอ้ งกำรประสิทธิภำพและ
คุณภำพของงำน จำเป็นที่จะตอ้ งเฝ้ำติดตำมกำรเปลี่ยนแปลง และมีกำรปรับปรุงกำรดำเนินกิจกรรมน้นั ๆ
อยู่เสมอ ซ่ึงเพื่อให้สำมำรถไดข้ อ้ มูลที่ถูกตอ้ งทนั เหตุกำรณ์และเพียงพอต่อกำรตดั สินใจ แกป้ ัญหำและ
ปรับปรุงงำนน้นั ๆ จำเป็นจะตอ้ งอำศยั กระบวนกำรวิจยั ท่ีรอบคอบรัดกมุ ยง่ิ ข้ึน

5.เพ่ือใช้ในการพฒั นา ในกำรวิจยั จะช่วยใหท้ รำบสภำพควำมเป็นอยู่ หรือสภำพกำรดำเนินกำร
ใด ๆ ว่ำมีประสิทธิภำพ หรือมีปัญหำ หรือควำมตอ้ งกำรเพียงใด และสำมำรถทดลองแก้ปัญหำหรือ
ปรับปรุงสภำพกำรดำเนินงำนใด ๆ อยู่เสมอ ก็จะทำให้สภำพควำมเป็ นอยู่ หรือสภำพดำเนินกำรใด ๆ
ไดร้ ับกำรพฒั นำให้มีประสิทธิภำพและส่งผลต่อคุณภำพของงำนน้ัน อนั จะส่งผลต่อควำมสงบสุขของ
มนุษยน์ น่ั เอง

นอกจำกน้ี มนสั สุวรรณ (2549 : 4) ไดก้ ลำ่ วถึงวตั ถุประสงคห์ ลกั 2 ประกำร คือ
1. การวิจัยเพื่อความรู้ทางวิชาการ คือ กำรวิจยั ที่มิไดม้ ุ่งเน้นท่ีจะนำผลไปใชใ้ นกำรแกป้ ัญหำ
หรือเสนอแนะเพ่ือกำรพฒั นำ หำกแต่มุ่งเน้นที่จะตอบสนองควำมตอ้ งกำรทำงวิชำกำรมำกกว่ำกำรวิจยั
เพ่ือวตั ถุประสงคน์ ้ีตอ้ งกำรแสวงหำขอ้ เท็จจริง หรือองคแ์ ห่งควำมรู้เพื่อกำหนดเป็นกฎเกณฑแ์ บบจำลอง
และ/หรือทฤษฎี ซ่ึงสำมำรถท่ีจะใชเ้ ป็นพ้นื ฐำนในกำรศึกษำวจิ ยั ข้นั ต่อไป ตวั อยำ่ งของกำรวิจยั เพื่อควำมรู้
ทำงวิชำกำร เช่น กำรศึกษำหำควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งปริมำณน้ำฝนกบั ผลผลิตขำ้ ว และกำรศึกษำจำนวนผู้
ยำ้ ยถ่ินจำกจงั หวดั ต่ำง ๆ ไปยงั กรุงเทพมหำนครเป็นตน้
2.การวิจัยเพ่ือผลสาหรับการปฏิบัติ คือ กำรวิจยั ที่มิได้มุ่งเน้นเพียงเพื่อจะรู้กำรปรำกฏของ
เหตุกำรณ์หรือสภำพกำรณ์เท่ำน้นั หำกยงั มุ่งเนน้ ท่ีจะนำผลพร้อมขอ้ เสนอแนะ และปัญหำที่ไดจ้ ำกกำร
ศึกษำวิจยั ไปใชเ้ พื่อประกอบกำรตดั สินใจ วำงแผน และดำเนินโครงกำรพฒั นำต่ำง ๆ ท้งั น้ีเพื่อให้เกิด
ประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวมและต่อประเทศชำติมำกท่ีสุด ตวั อย่ำงของกำรวิจยั เพ่อผลสำหรับกำร
ปฏิบตั ิ เช่น กำรศึกษำศกั ยภำพของกำรใชท้ ่ีนำเพ่ือทำกำรเล้ียงกุง้ แทนกำรปลูกขำ้ วและกำรศึกษำปัญหำ
ของแรงงำนไทยในต่ำงประเทศ เป็นตน้
จำกวตั ถุประสงค์ดังกล่ำว สรุปได้ว่ำ วตั ถุประสงค์ของกำรวิจยั เพ่ือควำมรู้ทำงวิชำกำรเพื่อ
บรรยำย อธิบำย และทำนำยและเพื่อผลสำหรับกำรปฏิบตั ิโดยกำรควบคุมและกำรพฒั นำ

1.4 ประเภทของการวจิ ยั

7

ประเภทของงำนวิจยั น้ี จะนำเสนอเน้ือหำให้นักศึกษำไดศ้ ึกษำของกำรจดั แบ่งประเภทของ
งำนวิจยั อย่ำงกวำ้ ง ๆ ว่ำนักวิชำกำรท่ำนใช้เกณฑ์อะไรในกำรจดั แบ่ง คำอธิบำยของวิจยั ประเภทต่ำง ๆ
และประเภทของงำนวจิ ยั ท่ีนิยมใชใ้ นทำงสังคมศำสตร์ ซ่ึงมีรำยละเอียดดงั น้ี

มนัส สุวรรณ (2549 : 4-7) ไดแ้ บ่งประเภทงำนวิจยั ออกเป็ น 3 ประเภท โดยแบ่งตำมลกั ษณะ
วิธีกำร ตำมวธิ ีกำรวิเครำะห์ขอ้ มูลและกำรอธิบำยเหตุผล และแบ่งตำมวตั ถุประสงค์ ซ่ึงมีรำยละเอียดดงั น้ี

1. แบ่งตำมลกั ษณะวิธีกำร สำมำรถแบ่งเป็นประเภทยอ่ ยได้ 4 ประเภท คือ
1.1 การวจิ ยั เชิงประวัตศิ าสตร์ (Historical Research)
กำรวิจยั เชิงประวตั ิศำสตร์ เป็ นกำรใช้วิธีกำรทำงวิธีทำงวิทยำศำสตร์เพ่ือแสวงหำควำมรู้

หรือขอ้ เทจ็ จริงของเหตุกำรณ์ที่เกิดข้ึนในอดีต จุดมุ่งหมำยที่สำคญั ของกำรวิจยั ประเภทน้ีคือ ตอ้ งกำรที่จะ
ประมวลและประเมินวำ่ เหตุกำรณ์ต่ำง ๆ ท่ีเกิดข้ึนแลว้ น้นั มนุษยเ์ ขำ้ ไปมีส่วนเก่ียวพนั อยบู่ ำ้ งอยำ่ งไรบำ้ ง
ควำมถูกตอ้ งและเชื่อถือไดข้ องผลจำกกำรวิจยั ประเภทน้ีข้ึนอยู่กบั แหล่งของขอ้ มูลเป็ นสำคญั ขอ้ มูลข้นั
ปฐมภูมิ (Primary data) มีควำมสำคญั ท่ีสุดสำหรับกำรวิจยั ประเภทน้ี แต่ก็เป็ นที่น่ำสังเกตว่ำ ขอ้ มูลและ
แหล่งของขอ้ มูลสำหรับกำรวิจยั เชิงประวตั ิศำสตร์ส่วนมำก คือ เอกสำร (Documentary data) มีบำ้ งเป็ น
กรณีท่ีไดข้ อ้ มูลจำกแหลง่ ปฐมภูมิเช่น กำรขดุ พบวตั ถุโบรำณ เป็นตน้

1.2 การวจิ ยั เชิงพรรณนา (Descriptive Research)
กำรวิจยั เชิงพรรณนำเป็นกำรวิจยั ที่มุ่งแสวงหำควำมรู้หรือขอ้ เทจ็ จริงของสภำพกำรณ์ท่ีเกิดข้ึน
ในปัจจุบนั จุดมุ่งหมำยของกำรวิจยั ประเภทน้ีมิไดเ้ นน้ เพียงกำรหำสำเหตุของสภำพกำรณ์ แต่ยงั เนน้ กำร
พรรณนำใหเ้ ห็นดว้ ยวำ่ สภำพกำรณ์น้นั มีลกั ษณะอยำ่ งไร เป็นตน้ วำ่ เกิดข้ึนบ่อยเพียงใด มีกำรกระจำยตำม
กลุม่ ของประชำกรหรือไม่ และมีลกั ษณะที่สำคญั อะไรบำ้ ง
1.3 การวิจัยเชิงสังเคราะห์ (Analytical Research)
กำรวิจยั เชิงสังเครำะห์มีลกั ษณะเฉพำะท่ีแตกต่ำงไปจำกกำรวิจยั สองประเภทที่กล่ำวแลว้
กล่ำวคือ กำรวิจยั ประเภทน้ีเน้นกำรตีควำมและสรุปผลจำกกำรวิเครำะห์ขอ้ มูลดว้ ยเครื่องมือทำงสถิติ
ในขณะที่สองประเภทแรกเนน้ กำรตีควำมจำกขอ้ มูลท่ีรวบรวมไดโ้ ดยไม่ผ่ำนกระบวนกำรวิเครำะห์ดว้ ย
เครื่องมือทำงสถิติ ขอ้ มูลเชิงปริมำณ (Quatitative data) ท่ีไดม้ ำจำกกำรวดั หรือนบั (Measured or counted
data) มีควำมสำคญั มำกสำหรับกำรวิจยั ประเภทน้ี ศกั ยภำพและสิ่งต่ำง ๆ ที่แฝงอยใู่ นขอ้ มูลเชิงปริมำณเมื่อ
ถูกวิเครำะห์ดว้ ยวิธีกำรหรือเคร่ืองมือทำงสถิติสำมำรถจะให้คำตอบแก่ปัญหำที่น่ำสนใจศึกษำ โดยผ่ำน
กระบวนกำรที่เรียกวำ่ กำรทดสอบสมมติฐำน (Hypothesis testing) นอกเหนือจำกคำตอบดงั กลำ่ วแลว้ ผล
จำกกำรวิเครำะห์ขอ้ มูลเชิงปริมำณสำหรับกำรวิจยั ประเภทน้ียงั สำมำรถที่จะบ่งบอกทิศทำงและควำม
เป็นไปของกำรศึกษำวิจยั ต่อไปในอนำคตของงำนลกั ษณะเดียวกนั ดว้ ย

1.4 การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experimental Research)

8

กำรวิจยั เชิงทดลองเป็นกำรวิจยั ท่ีมีวตั ถุประสงคส์ ำคญั คือ เพื่อหำอิทธิพลของตวั แปร (หรือ
กลุ่มของตวั แปร) ท่ีมีส่วนทำให้เกิดควำมเปลี่ยนแปลงของสภำพกำรณ์หรือปรำกฏกำรณ์ โดยปกติกำร
วิจยั ประเภทน้ีมีควำมสำคญั มำกในสำขำวิทยำศำสตร์ โดยเฉพำะอยำ่ งยง่ิ สำขำชีววิทยำและสำขำวิชำเคมี
กำรจะได้มำซ่ึงคำตอบว่ำตัวแปรใดบ้ำงที่มีอิทธิพลต่อควำมเปล่ียนแปลงของสภำพกำรณ์หรื อ
ปรำกฏกำรณ์ ผูว้ ิจยั จำเป็ นตอ้ งแบ่งกลุ่มออกเป็ นสองกลุ่มเพ่ือกำรทดลอง โดยกำหนดให้กลุ่มหน่ึงเป็ น
กลุ่มควบคุม (Control group) และอีกกลุ่มหน่ึงเป็ นกลุ่มทดลอง (Experimental group) ท้งั สองกลุ่มตอ้ งมี
ลกั ษณะต่ำง ๆ ท่ีคลำ้ ยคลึงกนั มำกท่ีสุด ตวั แปรท่ีตอ้ งกำรศึกษำหำอิทธิพลจะถูกนำมำใชก้ บั กลุ่มทดลอง
เท่ำน้นั ท้งั น้ีเพื่อดูวำ่ มีอะไรเปล่ียนแปลงหรือแตกต่ำงไปจำกกลุ่มควบคุมบำ้ งเมื่อถึงเวลำตำมที่กำหนดไว้
ส่ิงที่น่ำสังเกตสำหรับกำรวิจยั เชิงทดลองคือ ตอ้ งมีกำรวำงแผนเป็ นอย่ำงดี และอำจมีกำรคำดผลกำร
ทดลองไวล้ ่วงหนำ้

2. แบ่งตำมวิธีกำรวิเครำะห์ขอ้ มูลและกำรอธิบำยเหตุผล สำมำรถแบ่งเป็ นประเภทย่อยได้ 2
ประเภท

2.1 การวจิ ัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)
กำรวิจัยเชิงคุณภำพมีคุณลักษณะคล้ำยกับกำรวิจัยเชิงพรรณนำดังท่ีกล่ำวแล้วข้ำงต้น
จุดมุ่งหมำยของกำรวจิ ยั ประเภทน้ีคือ ตอ้ งกำรอธิบำยสภำพกำรณ์หรือปรำกฏกำรณ์อำศยั กำรสรุปขอ้ มูลที่
รวบรวมไดด้ ว้ ยสถิติเชิงพรรณนำ (Descriptive Statistics) เช่นกำรหำควำมถี่กำรกระจำยประชำกรและ
ตวั อยำ่ ง กำรวดั แนวโนม้ เขำ้ สู่ส่วนกลำง และกำรหำค่ำควำมเบี่ยงเบนมำตรฐำน รวมถึงวิธีกำรวิเครำะห์
เน้ือหำ (content analysis)
2.2 การวจิ ัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research)
กำรวิจยั เชิงปริมำณมีลกั ษณะคลำ้ ยกบั กำรวิจยั เชิงวเิ ครำะห์ดงั ที่กลำ่ วแลว้ ขำ้ งตน้ จุดมุ่งหมำย
ของกำรวิจัยประเภทน้ีมิได้เน้นท่ีกำรอธิบำยสภำพกำรณ์หรือปรำกฏกำรณ์ที่เกิดข้ึน แต่สนใจใน
ควำมสัมพนั ธข์ องเหตุและผลของสภำพกำรณ์หรือปรำกฏกำรณ์เกิดข้ึนมำกกวำ่ สิ่งที่มกั พบในกำรวจิ ยั เชิง
ปริมำณคือ ผูว้ ิจยั ส่วนมำกสนใจศึกษำควำมสำคญั และอิทธิพลของตวั แปรหรือปัจจยั ท่ีทำให้เกิดควำม
แตกต่ำง และ/หรือควำมสัมพนั ธ์ของสภำพกำรณ์หรือปรำกฏกำรณ์ กำรสรุปผลจำกกำรวิจยั ประเภทน้ี
ส่วนมำกตอ้ งผำ่ นกระบวนกำรทดสอบสมมุติฐำนดว้ ยสถิติเชิงวิเครำะห์ (Inferential statistics) มำก่อน
3. แบ่งตำมวตั ถุประสงค์ สำมำรถแบ่งเป็นประเภทยอ่ ยได้ 2 ประเภท
3.1 การวิจัยพืน้ ฐาน (Basic Research)
กำรวิจัยพ้ืนฐำน คือกำรวิจัยท่ีมุ่งแสวงหำควำมรู้หรือข้อเท็จจริงของสภำพกำรณ์หรือ
ปรำกฏกำรณ์ที่สนใจศึกษำ ควำมรู้หรือขอ้ เทจ็ จริงท่ีไดร้ ับอำจเป็นผลมำจำกกำรทดสอบแบบจำลองหรือ
ทฤษฎีทำงวิชำกำรของผวู้ ิจยั หรืออำจนำไปสร้ำงแบบจำลองหรือทฤษฎีทำงวิชำกำรข้ึนมำใหม่ในกรณีที่
ยงั ไม่มีผใู้ ดศึกษำและคน้ พบควำมรู้และขอ้ เทจ็ จริงน้ีมำก่อน คุณลกั ษณะท่ีสำคญั อีกประกำรหน่ึงของกำร

9

วิจยั พ้ืนฐำน คือ มิได้มีจุดมุ่งหมำย ที่จะนำควำมรู้หรือขอ้ เท็จจริงที่ได้รับไปใช้ประโยชน์โดยตรงใน
ชีวติ ประจำวนั หำกแต่ประสงคจ์ ะใหเ้ ป็นควำมรู้พ้ืนฐำนที่จะสำมำรถนำไปใชใ้ นกำรวจิ ยั ข้นั ต่อไป

3.2 การวจิ ัยประยกุ ต์ (Applied Research)
กำรวิจยั ประยกุ ต์ มีลกั ษณะคลำ้ ยกบั กำรวิจยั พ้ืนฐำนตรงท่ีวำ่ มุ่งแสวงควำมรู้และขอ้ เทจ็ จริง
ของสภำพกำรณ์หรือปรำกฏกำรณ์ที่สนใจศึกษำเหมือนกนั แต่ต่ำงกนั ตรงท่ีวำ่ กำรวิจยั ประยกุ ตย์ งั มุ่งที่จะ
นำผล ปัญหำ และขอ้ เสนอแนะที่ไดร้ ับจำกกำรวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตจริง โดยปกติ ผล ปัญหำและ
ข้อเสนอแนะจำกกำรวิจยั ส่วนประเภทน้ีจะถูกนำไปใช้เพื่อกำรแก้ปัญหำ วำงแผนโครงกำรพัฒนำ
ประกอบกำรพิจำรณำตดั สินใจดำเนินโครงกำรหรื อเพ่ือประเมินโครงกำร งำนวิจยั ทำงสังคมศำสตร์
ส่วนมำกจะเป็นกำรวจิ ยั ประเภทน้ี
บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธ์ิ (2554 : 23-25) ไดจ้ ดั แบ่งงำนวิจยั ออกเป็ น 6 ประเภทใหญ่ คือ 1)
แบ่งตำมสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรวิจยั แห่งชำติ 2) แบ่งตำมระยะเวลำและระเบียบวิธี 3) แบ่งตำม
ลกั ษณะขอ้ มูล 4) แบ่งตำมกำรจดั กำรตวั แปร 5) แบ่งตำมกำรควบคุมตวั แปร และ 6) แบ่งตำมรูปแบบกำร
วิจยั ซ่ึงมีรำยละเอียดดงั น้ี
1. แบ่งตำมสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรวิจัยแห่ งชำติ ประเภทกำรวิจัยที่สำนักงำน
คณะกรรมกำรวิจยั แห่งชำติแบ่งมี 3 ประเภทไดแ้ ก่
1.1 กำรวจิ ยั พ้นื ฐำน (Basic Research) หรือกำรวิจยั บริสุทธ์ิ (Pure Research)
1.2 กำรวิจยั ประยกุ ต์ (Applied Research)
1.3 กำรวจิ ยั และพฒั นำ (Research and Development)
2. แบ่งตำมระยะเวลำและระเบียบวิธี สำมำรถแบ่งออกเป็นประเภทยอ่ ยอีก 3 ดงั น้ี
2.1 กำรวจิ ยั เชิงประวตั ิศำสตร์ (Historical Research)
2.2 กำรวิจยั เชิงบรรยำย (Descriptive Research)
2.3 กำรวิจยั เชิงทดลอง (Experimental Research)
3. แบ่งตำมลกั ษณะขอ้ มูล สำมำรถแบ่งออกเป็นประเภทยอ่ ยอีก 2 ดงั น้ี
3.1 กำรวิจยั เชิงคุณภำพ (Qualitative Research)
3.2 กำรวิจยั เชิงปริมำณ (Quantitative Research)
4. แบ่งตำมกำรจดั กำรตวั แปร สำมำรถแบ่งออกเป็นประเภทยอ่ ยอีก 2 ดงั น้ี
4.1 กำรวิจยั เชิงสงั เกต (Observation Studies)

4.1.1 กำรวิจยั เชิงบรรยำยหรือรำยกรณี (Descriptive or Case-Series Studies)
4.1.2 กำรศึกษำแบบกลุ่มควบคุม (Case Control or Retrospective Studies)
4.1.3 กำรศึกษำเชิงสำรวจ (Cross-Sectional Studies or Survey)
4.1.4 กำรศึกษำติดตำมผล (Cohort or Prospective Studies)

10

4.2 กำรวิจยั เชิงทดลอง (Experimental Studies)
4.2.1 กำรทดลองไม่ควบคุมตวั แปร (Studies without Control)
4.2.2 กำรทดลองมีกลุ่มควบคุม (Control Trials)

5. แบ่งตำมกำรควบคุมตวั แปร สำมำรถแบ่งออกเป็นประเภทยอ่ ยอีก 3 ดงั น้ี
5.1 กำรวจิ ยั เชิงธรรมชำติ (Naturalistic Research)
5.2 กำรวิจยั ก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Research)
5.3 กำรวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental Research)

6. แบ่งตำมรูปแบบกำรวิจยั สำมำรถแบ่งออกเป็นประเภทยอ่ ยอีก 9 ดงั น้ี
6.1 กำรวจิ ยั เชิงประวตั ิศำสตร์ (Historical Design)
6.2 กำรวจิ ยั เชิงสำรวจ (Survey Design)
6.3 กำรวจิ ยั เชิงพฒั นำกำร (Developmental Design)
6.4 กำรวิจยั เชิงกรณี (Case Study Design)
6.5 กำรวิจยั เชิงสหสมั พนั ธ์ (Correlational Design)
6.6 กำรวจิ ยั เชิงเปรียบเทียบเหตุผล (Caual-Comparative Design)
6.7 กำรวิจยั เชิงทดลองแท้ (True Experimental Design)
6.8 กำรวจิ ยั เชิงก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Research)
6.9 กำรวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิกำร (Action Research)

จำกกำรจดั แบ่งประเภทของงำนวิจยั ดงั กล่ำว จะเห็นว่ำผูร้ ู้ใชเ้ กณฑท์ ่ีคลำ้ ยคลึงกนั หรือตรงกนั
ในบำงเกณฑ์ เช่น เกณฑ์กำรแบ่งโดยใชว้ ิธีวิเครำะห์ขอ้ มูล ลกั ษณะของขอ้ มูล จึงไดป้ ระเภทงำนวิจยั ที่
ตรงกนั คือ กำรวิจยั เชิงปริมำณและกำรวิจยั เชิงคุณภำพ แต่อย่ำงไรก็ตำม กำรแบ่งประเภทของกำรวิจยั
สำมำรถแบ่งไดห้ ลำยประเภทตำมเกณฑ์ท่ีใชแ้ บ่งดงั กล่ำวแลว้ ขำ้ งตน้ และอำจจะมีกำรแบ่งแตกต่ำงกนั
ออกไปไดอ้ ีก กำรวิจยั เรื่องหน่ึงอำจมีชื่อไดห้ ลำยประเภทข้ึนอยกู่ บั ผวู้ ิจยั จะยดึ เกณฑใ์ ด เช่น กำรวจิ ยั เรื่อง
“ผลของกำรให้คำแนะนำร่วมกับกำรใช้หนังสือกำร์ตูนเร่ืองกำรบวกเลข ต่อควำมรู้ เจตคติ และ
ควำมสำมำรถในกำรบวกเลขของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษำปี ท่ี 1” อำจจดั ประเภทกำรวิจยั ไวเ้ ป็นกำรวิจยั
ไวเ้ ป็ นกำรวิจยั ก่ึงทดลอง กำรวิจยั ทำงกำรศึกษำ หรือกำรวิจยั เชิงประยุกต์ เป็ นตน้ ผูว้ ิจยั อำจจะเขียน
ประเภทกำรวิจยั เป็นกำรวิจยั ก่ึงทดลองเพยี งอยำ่ งเดียวกไ็ ด้

สำหรับในรำยวิชำกำรวิจัยเพื่อพัฒนำกำรเรียนรู้น้ี มิใช่เป็ นช่ือประเภทหน่ึงของกำรวิจัย
ดงั กล่ำวขำ้ งตน้ แต่จะเก่ียวเนื่องกบั กำรวิจยั ทำงกำรศึกษำและกำรวิจยั ในช้นั เรียนซ่ึงจะไดก้ ำรอธิบำยใน
บทต่อไป

1.5 วธิ ีการศึกษาหาความรู้

11

วิธีกำรศึกษำหำควำมรู้ของมนุษย์ โดยมนุษยแ์ ละเพ่ือมนุษยน์ ้ัน โดยมีเป้ำหมำยเพื่อเขำ้ ใจใน
พฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ท่ีมีควำมซับซ้อนและยุ่งยำก เป็ นเร่ื องที่ไม่ง่ำยนักท่ีมนุษย์จะมี
ควำมสำมำรถล่วงรู้ทุกอย่ำงเก่ียวกบั มนุษยแ์ ละสัตวจ์ นกว่ำจะแสวงหำคำตอบไดต้ รงประเด็นเพ่ือนำมำ
สำธยำยหรือควบคุมมนุษยห์ รือสัตวใ์ ห้เกิดพฤติกรรมตำมที่ตอ้ งกำร ควำมยำกของกำรแสวงหำคำตอบ
ของมนุษย์ผ่ำนมำหลำยช่ัวอำยุคนต้ังแต่ กำรเชื่อส่ิงเหนือธรรมชำติ กำรลองผิดลองถูก หมอผีหรือ
แมก้ ระทง่ั โดยควำมบงั เอิญเป็ นตน้ แต่ควำมรู้เหล่ำน้ันประจกั ษ์ชัดในปัจจุบนั ว่ำเชื่อถือไม่ไดท้ ้งั หมด
เพรำะไม่ผำ่ นวิธีกำรอนั ชำญฉลำดแยบยลซ่ึงวิธีกำรดงั กล่ำวน้นั ซ่ึงบุญชม ศรีสะอำด (2539 : 9 – 10) ได้
จำแนกไวด้ งั น้ี

1. วธิ ีในสมยั โบราณ (Traditional Method)
ในยคุ น้ีมนุษยแ์ สวงหำควำมรู้อยำ่ งหยำบๆง่ำยๆไม่มีระบบในกำรศึกษำวธิ ีแสวงหำควำมรู้ในยคุ
น้ีสรุปไดด้ งั น้ี

1.1 โดยบงั เอิญเป็ นกำรคน้ พบโดยไม่ต้งั ใจเช่นกำรคน้ พบวิธีคำนวณปริมำณของของแข็ง
โดยกำรแทนท่ีน้ำของนกั วทิ ยำศำสตร์โดยบงั เอิญในขณะท่ีอำบน้ำในอำ่ ง

1.2 โดยกำรลองผดิ ลองถูกเป็นกำรคน้ พบควำมรู้โดยกำรทดลองทำหลำยๆวิธีถูกบำ้ งผดิ บำ้ ง
วิธีใดไดผ้ ลตำมควำมมุ่งหมำยกจ็ ดจำและนำไปใชใ้ นโอกำสต่อๆไปส่วนวิธีท่ีไม่ไดผ้ ลดีกย็ กเลิกไป

1.3 โดยผมู้ ีอำนำจเป็ นกำรคน้ พบควำมรู้จำกผูม้ ีอำนำจในทอ้ งถ่ินเช่นผนู้ ำหรือผอู้ ำวุโสและ
หมอผฯี ลฯโดยกำรไปสอบถำมบุคคลเหล่ำน้นั

1.4 โดยขนบธรรมเนียมประเพณีเป็ นกำรไดร้ ับควำมรู้จำกประเพณีวฒั นธรรมในสังคมท่ี
ปฏิบตั ิสืบทอดต่อๆกนั มำ

1.5 โดยผเู้ ช่ียวชำญเป็นกำรคน้ พบควำมรู้โดยกำรสอบถำมจำกผเู้ ชี่ยวชำญเฉพำะสำขำน้นั ๆ
1.6 โดยประสบกำรณ์ส่วนตวั เป็นกำรไดร้ ับควำมรู้จำกประสบกำรณ์ส่วนตวั ท่ีผำ่ นมำ
จำกที่กล่ำวมำจะเห็นไดว้ ่ำกำรแสวงหำควำมรู้ดว้ ยวิธีน้ีเป็ นวิธีท่ีง่ำยที่สุดและนิยมใชใ้ นสังคมที่ยงั ไม่ได้
รับกำรพฒั นำไม่มีเทคโนโลยที ี่ทนั สมยั

2. วธิ ีอนุมาน (Deductive Method)
อริสโตเติล (Aristotle) (บุญชม ศรีสะอำด, 2539 : 9) เป็ นผูค้ น้ พบวิธีกำรแสวงหำควำมรู้วิธีน้ี
โดยใช้หลกั ของเหตุผลและขอ้ เท็จจริงเป็ นวิธีกำรหำควำมรู้โดยใช้ควำมสัมพนั ธ์เชิงเหตุผลระหว่ำง
ขอ้ เทจ็ จริงใหญ่กบั ขอ้ เทจ็ จริงยอ่ ยแลว้ จึงสรุปตวั อยำ่ งเช่น
ขอ้ เทจ็ จริงใหญ่ : นกทุกชนิดมีปี ก
ขอ้ เทจ็ จริงยอ่ ย : กำเป็นนกชนิดหน่ึง

สรุป : กำมีปี ก

12

กำรแสวงหำควำมรู้โดยวิธีน้ีมีขอ้ บกพร่องหลำยประกำรในปัจจุบนั น้ีจึงไม่นิยมใชท้ ้งั น้ีเพรำะ
ขอ้ สรุปท่ีไดจ้ ะถูกตอ้ งเพียงใดข้ึนอยู่กบั ควำมเที่ยงตรงของขอ้ เท็จจริงใหญ่และขอ้ เท็จจริงย่อยดว้ ยแต่
อยำ่ งไรกต็ ำมวธิ ีน้ีถือเป็นจุดเร่ิมตน้ กำรแสวงหำควำมรู้อยำ่ งเป็นระบบ

3. วธิ ีอุปมาน (Inductive Method)
วิธีน้ีค้นพบโดยฟรำนซิล เบคอน (Fransis Bacan) (บุญเรียง ขจรศิลป์ , 2534 : 3) โดยใช้
จุดบกพร่องจำกวิธีอนุมำนมำแกไ้ ขใหม่โดยเรียกวำ่ วธิ ีอปุ มำนเบคอนเนียน (Baconian Induction) โดยกำร
เก็บขอ้ มูลยอ่ ยๆหรือขอ้ เท็จจริงยอ่ ยหลำยๆกรณีแลว้ นำขอ้ มูลยอ่ ยๆเหล่ำน้นั มำวิเครำะห์และสรุปผลเป็ น
ควำมรู้ซ่ึงสำมำรถสรุปเป็นหลกั กำรหำควำมรู้ได้ 3 ข้นั ตอน
1. เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลหรือขอ้ เทจ็ จริงยอ่ ย
2. วเิ ครำะห์ขอ้ มูลเพอ่ื หำควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งขอ้ เทจ็ จริงเหล่ำน้นั
3. สรุปผล
ตวั อยำ่ งเช่น
1. เกบ็ ขอ้ มูล : นกแต่ละชนิดมีปี ก
2. วเิ ครำะห์ขอ้ มูล : พิจำรณำแลว้ พบวำ่ นกหลำยชนิดมีปี ก
3. ขอ้ สรุป : นกทุกชนิดมีปี ก
วิธีกำรน้ีใช้หลกั กำรที่สูงข้ึนโดยมีกำรวิเครำะห์ขอ้ มูลท่ีไดร้ ับวิธีกำรน้ีในปัจจุบนั ยงั คงใช้ได้
ขอ้ สรุปที่ถูกตอ้ งและก่อใหเ้ กิดประโยชน์ต่อสงั คมเป็นอนั มำก
4. วธิ ีทำงวทิ ยำศำสตร์ (Scientific Method)
วิธีทำงวิทยำศำสตร์น้ีเป็ นวิธีท่ีไดร้ ับกำรยอมรับในปัจจุบนั ว่ำช่วยให้ไดค้ วำมรู้ที่ถูกตอ้ งและ
เช่ือถือไดแ้ ละเป็นหลกั ในกำรวจิ ยั ข้นั ตอนของวิธีทำงวิทยำศำสตร์มีดงั น้ี
1.ข้นั ปัญหำ (Problem)
2.ข้นั ต้งั สมมุติฐำน (Hypothesis)
3.ข้นั รวบรวมขอ้ มูล (Collection data)
4.ข้นั วิเครำะห์ขอ้ มูล (Analysis)
5.ข้นั สรุป (Conclusion)
วิธีทำงวิทยำศำสตร์น้ีเป็นวธิ ีที่มีกระบวนกำรศึกษำกำรหำคำตอบอยำ่ งต่อเนื่องและมีระบบแบบ
แผนท่ีแน่นอนและชัดเจนมีกำรใช้เหตุผลข้นั สูงผ่ำนกำรวิเครำะห์สังเครำะห์ ประเมินค่ำ หำข้อสรุป
กระทง่ั กลำยเป็นองคค์ วำมรู้ (Body Knoweledge)น้นั เรียกวำ่ วิธีกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ (Scientific Method)
ซ่ึงปัจจุบนั ใชเ้ ป็ นแนวทำงในกำรดำเนินกำรท่ีสำมำรถตรวจสอบควำมถูกตอ้ งไดท้ ุกข้นั ตอนโดยที่เรียก
วิธีกำรน้ีวำ่ กำรวจิ ยั (Research) วธิ ีน้ีจึงเป็นวิธีแสวงหำควำมรู้ท่ีสมบูรณ์ที่สุด

13

1.6 คุณสมบตั ิของนักวจิ ัย
เน่ืองจำกงำนวิจยั เป็ นงำนหนัก เป็ นกำรคน้ คิดเพื่อแกป้ ัญหำ เป็ นกระบวนกำรสร้ำงสรรคท์ ำง

ปัญญำของมนุษย์ ดังน้ัน นักวิจัย (Researcher) หรือผู้ท่ีประสบควำมสำเร็จในงำนวิจัยจึงมักจะมี
บุคลิกภำพ และควำมสำมำรถตำมท่ีรวบรวมไดด้ งั น้ี คือ

1. ในดำ้ นอำรมณ์หรือทศั นคติ ผูท้ ่ีประสบควำมสำเร็จในกำรวิจยั น้นั มกั จะมีควำมมุ่งหวงั และ
แรงขบั ทำงอำรมณ์ต่ำง ๆ ดงั น้ี คือ

1.1 มีแรงกระตุน้ เตือนภำยในตวั เอง อนั เกิดข้ึนจำกควำมอยำกรู้อยำกเห็นมำกเป็นพิเศษ
1.2 เป็นคนท่ีมีควำมสุข เพลิดเพลินต่อกำรงำนคิดสร้ำงสรรคข์ องใหม่
1.3 เป็ นบุคคลท่ีมีแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธ์ิ (Achievement Motive) หรือเป็ นคนท่ีมุ่งหวงั หรือ
ตอ้ งกำรจะทำอะไรใหส้ ำเร็จมำก เพรำะคิดวำ่ ผลงำนน้นั จะมีประโยชนต์ ่อตนเองและผอู้ ื่น
2.ในทำงควำมรู้ควำมสำมำรถ มกั จะมีลกั ษณะเด่น ๆ ในทำงควำมรู้ที่มีประสิทธิภำพ คือ เป็ น
ควำมรู้ท่ีใชง้ ำนแต่มิใช่ควำมรู้ท่ีเกบ็ สะสมไว้ ไดแ้ ก่
2.1 เป็ นผูท้ ี่มีควำมสำมำรถในกำรคน้ หำ เลือก และใชผ้ ลงำนกำรวิจยั ของคนอื่นไดอ้ ย่ำงดี
และรวดเร็ว
2.2 เป็ นคนที่มีควำมรู้และทกั ษะในกำรใชแ้ บบแผนกำรวิจยั (Research Design) วิธีกำรทำง
วทิ ยำศำสตร์ และทกั ษะในกำรใชห้ ลกั ตรรกวทิ ยำในกำรแกป้ ัญหำ
2.3 เป็นคนที่มีควำมรู้และทกั ษะในกำรใชเ้ ครื่องมือกำรวิจยั ประเภทต่ำง ๆ
2.4 เป็นคนท่ีมีควำมรู้และทกั ษะในวธิ ีกำรวิเครำะห์ขอ้ มูล วิธีกำรทำงสถิติวเิ ครำะห์
2.5 เป็ นคนท่ีมีควำมสำมำรถในกำรสรุปควำมคิดให้เป็นขอ้ ยตุ ิ แลว้ นำไปใชอ้ ำ้ งอิงไดอ้ ยำ่ ง
กวำ้ งขวำง (Generalization)
2.6 เป็นคนที่มีควำมสำมำรถในกำรตรวจสอบ วพิ ำกษว์ จิ ำรณ์และคำดคะเนได้
2.7 เป็ นคนท่ีมีระบบในกำรทำงำน โดยทำงำนมีระเบียบ และสำมำรถจดั หมวดหมู่ของ
ควำมคิด สำมำรถเขียนรำยงำนกำรวิจยั ไดด้ ี
3. ในด้ำนควำมสำมำรถในกำรตัดสิ นใจ ผู้ท่ีประสบควำมสำเร็จในกำรวิจัยมักจะมี
ควำมสำมำรถในกำรเลือกกระทำ หรือสำมำรถตดั สินใจดี เช่น
3.1 เป็นคนท่ีกลำ้ คิด
3.2 เป็นคนที่อดทน
3.3 เป็นคนใจกวำ้ ง รับฟังควำมคิดเห็นของคนอื่น
3.4 เป็ นคนที่ถ่อมตน รอบคอบ สุภำพต่อคนทัว่ ไป ไม่ใช้อำรมณ์ในกำรตดั สินใจ แต่ใช้
ปัญญำที่รอบคอบในกำรตดั สินใจทุก ๆ อยำ่ ง

14

3.5 เป็ นคนที่มีแรงศรัทธำในปัญญำ และมีรสนิยมในทำงวิทยำศำสตร์ นั่นคือ เป็ นผูย้ ึดมน่ั
ในหลกั วิชำท่ีดีงำมและยตุ ิธรรม

3.5 เป็นคนที่มีควำมคิดเป็นอิสระและทำงำนไปในทำงท่ีดีงำม
3.6 เป็นคนท่ีประมำณตวั เองได้ คือ รู้ฐำนะแห่งตน รู้กำลงั ของตน รู้ขอบเขตของตน
3.7 เป็ นคนท่ีมีควำมสำมำรถในกำรควบคุมตัวองให้เป็ นไปตำมหลักวิชำท่ีดีงำมและ
ยตุ ิธรรม
3.8 เป็นผทู้ ่ีมีควำมเชื่อมน่ั ในกฎเกณฑธ์ รรมชำติ เชื่อมน่ั ตำมหลกั เหตุผล
3.9 เป็นคนที่มีควำมหวงั ท่ีจะเห็นผลงำนวจิ ยั อยเู่ สมอ

1.7 จรรยาบรรณของนักวจิ ัย
คณะกรรมกำรบริหำรสภำวิจยั แห่งชำติ ในกำรประชุมเมื่อวนั ท่ี 8 เมษำยน 2541 ได้กำหนด

จรรยำบรรณนกั วิจยั ข้ึน เพ่ือใชเ้ ป็นแนวหลกั เกณฑ์ ควรประพฤติของนกั วิจยั ทว่ั ไป ไม่วำ่ สำขำวิชำกำรใด ๆ
โดยใหม้ ีลกั ษณะเป็นขอ้ พงึ สงั วรคุณธรรม และจริยธรรมในกำรทำงำนวิจยั ของนกั วิจยั ไทย ดงั น้ี

“นักวิจยั ” หมำยถึง ผูท้ ่ีดำเนินกำรคน้ ควำ้ หำควำมรู้อย่ำงเป็ นระบบ เพ่ือตอบประเด็นที่สงสัย
โดยมีระเบียบวิธีอนั เป็นท่ียอมรับในแต่ละศำสตร์ที่เก่ียวขอ้ ง ระเบียบวิธีดงั กล่ำวจึงครอบคลุมท้งั แนวคิด
มโนทศั น์ และวิธีกำรท่ีใชใ้ นกำรรวบรวมและวเิ ครำะห์ขอ้ มูล

“จรรยำบรรณ” หมำยถึง หลกั ควำมประพฤติอนั เหมำะสม แสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมใน
กำรประกอบอำชีพ ท่ีกลุ่มบุคคลแต่ละสำขำวิชำชีพประมวลข้ึนไวเ้ ป็นหลกั เพื่อใหส้ มำชิกในสำขำวชิ ำชีพ
น้นั ๆ ยดึ ถือปฏิบตั ิเพื่อรักษำชื่อเสียงและส่งเสริมเกียรติคุณของสำขำวิชำชีพของตน จรรยำบรรณในกำร
วิจยั จดั เป็นองคป์ ระกอบท่ีสำคญั ของระเบียบวิธีวิจยั เน่ืองดว้ ยในกระบวนกำรค้นควำ้ วจิ ยั นกั วิจยั จะตอ้ ง
เขำ้ ไปเก่ียวขอ้ งใกลช้ ิดกบั ส่ิงท่ีศึกษำ ไม่ว่ำจะเป็ นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต กำรวิจยั จึงอำจส่งผลกระทบ
ในทำงลบต่อสิ่งที่ศึกษำไดห้ ำกผวู้ ิจยั ขำดควำมรอบคอบระมดั ระวงั กำรวิจยั เป็ นกิจกรรมท่ีมีควำมสำคญั
อย่ำงยิ่งต่อกำรวำงแผน และกำหนดนโยบำยในกำรพฒั นำประเทศทุกด้ำน โดยเฉพำะในกำรพฒั นำ
คุณภำพชีวิตของคนในประเทศ ผลงำนวิจยั ที่มีคุณภำพข้ึนอยกู่ บั ควำมรู้ควำมสำมำรถของนกั วิจยั ในเรื่อง
ที่จะศึกษำ และข้ึนอยกู่ บั คุณธรรม จริยธรรมของนกั วิจยั ในกำรทำงำนวิจยั ดว้ ย ผลงำนวิจยั ที่ดอ้ ยคุณภำพ
ดว้ ยสำเหตุใดกต็ ำมหำกเผยแพร่ออกไป อำจเป็นผลเสียต่อวงวิชำกำรและเทศชำติได้

ดว้ ยเหตุน้ีสภำวิจยั แห่งชำติจึงกำหนด “จรรยำบรรณนักวิจยั ” ไวเ้ ป็ นแนวทำงสำหรับนักวิจยั
ยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้กำรดำเนินงำนวิจยั ต้งั อยู่บนพ้ืนฐำนของจริยธรรมและหลกั วิชำกำรท่ีเหมำะสม
ตลอดจนประกนั มำตรฐำนของกำรศึกษำคน้ ควำ้ ใหเ้ ป็นไปอยำ่ งสมศกั ด์ิศรีและเกียรติภูมิของนกั วจิ ยั ไว้ 9
ประกำร ดงั น้ี

15

1. นกั วิจยั ตอ้ งซ่ือสัตยแ์ ละมีคุณธรรมในทำงวิชำกำรและกำรจดั กำร นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมซ่ือสัตย์
ต่อตนเองไม่นำผลงำนของผอู้ ่ืนมำเป็นของตน ไม่ลอกเลียนงำนของผอู้ ่ืน ตอ้ งใหเ้ กียรติและอำ้ งถึงบุคคล
หรือแหล่งที่มำของขอ้ มูลที่นำมำใชใ้ นกำรวิจยั ตอ้ งซ่ือตรงต่อกำรแสวงหำทุนวิจยั และมีควำมเป็ นธรรม
เก่ียวกบั ผลประโยชน์ท่ีไดจ้ ำกกำรวิจยั

1.1 นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมซ่ือสตั ยต์ ่อตนเองและต่อผอู้ ่ืน
1.1.1 นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมซ่ือสตั ยใ์ นทุกข้นั ตอนของกระบวนกำรวจิ ยั ต้งั แต่กำรเลือกเร่ือง

ที่จะทำวิจยั กำรเลือกผเู้ ขำ้ ร่วมทำวจิ ยั กำรดำเนินกำรวิจยั ตลอดจนกำรทำผลงำนวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชน์
1.1.2 นกั วจิ ยั ตอ้ งใหเ้ กียรติผอู้ ื่น โดยกำรอำ้ งถึงบุคคลหรือแหล่งท่ีมำของขอ้ มูลและควำม

คิดเห็นที่นำมำใชใ้ นกำรวิจยั
1.2 นกั วจิ ยั ตอ้ งซ่ือตรงต่อกำรแสวงหำทุนวิจยั
1.2.1 นักวิจยั ตอ้ งเสนอขอ้ มูลและแนวคิดอย่ำงเปิ ดเผยและตรงไปตรงมำในกำรเสนอ

โครงกำรวจิ ยั เพอ่ื ขอรับทุน
1.2.2 นกั วิจยั ตอ้ งเสนอโครงกำรวจิ ยั ดว้ ยควำมซ่ือสตั ยโ์ ดยไม่ขอทุนซ้ำซอ้ น

1.3 นกั วจิ ยั ตอ้ งมีควำมเป็นธรรมเก่ียวกบั ผลประโยชนท์ ่ีไดจ้ ำกกำรวิจยั
1.3.1 นกั วจิ ยั ตอ้ งจดั สรรสดั ส่วนของผลงำนวจิ ยั แก่ผรู้ ่วมวิจยั อยำ่ งยตุ ิธรรม
1.3.2 นกั วจิ ยั ตอ้ งเสนอผลงำนอยำ่ งตรงไปตรงมำโดยไม่นำผลงำนของผอู้ ื่นมำอำ้ งวำ่ เป็น

ของตน
2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในกำรทำวิจัยตำมข้อตกลงที่ทำไวก้ ับหน่วยงำนท่ี

สนบั สนุนกำรวิจยั และต่อหน่วยงำนที่ตนสังกดั นกั วิจยั ตอ้ งปฏิบตั ิตำมพนั ธกรณีและขอ้ ตกลงกำรวิจยั ท่ี
ผเู้ ก่ียวขอ้ งทุกฝ่ ำยยอมรับร่วมกนั อุทิศเวลำทำงำนวิจยั ใหไ้ ดผ้ ลดีท่ีสุดและเป็นไปตำมกำหนดเวลำ มีควำม
รับผดิ ชอบไม่ละทิ้งงำนระหวำ่ งดำเนินกำรโดยใส่ใจเร่ืองดงั ต่อไปน้ี

2.1 นักวิจยั ต้องตระหนักถึงพนั ธกรณีในกำรทำวิจยั โดยนักวิจยั ต้องศึกษำเง่ือนไข และ
กฎเกณฑข์ องเจำ้ ของทุนอยำ่ งละเอียดรอบคอบ เพื่อป้องกนั ควำมขดั แยง้ ท่ีจะเกิดข้ึนภำยหลงั และนกั วิจยั
ตอ้ งปฏิบตั ิตำมเงื่อนไข ระเบียบและกฎเกณฑต์ ำมขอ้ ตกลงอยำ่ งครบถว้ น

2.2 นักวิจยั ตอ้ งอุทิศเวลำทำงำนวิจยั โดยนักวิจยั ตอ้ งทุ่มเทควำมรู้ ควำมสำมำรถและเวลำ
ใหก้ บั กำรทำงำนวจิ ยั เพ่อื ใหไ้ ดม้ ำซ่ึงผลงำนวจิ ยั ที่มีคุณภำพและเป็นประโยชน์

2.3 นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมรับผิดชอบในกำรทำวิจยั โดยนกั วิจยั ตอ้ งมีควำมรับผดิ ชอบ ไม่ละทิ้ง
งำนโดยไม่มีเหตุผลอนั สมควร และส่งงำนตำมกำหนดเวลำ ไม่ทำผิดสัญญำขอ้ ตกลงจนก่อให้เกิดควำม
เสียหำยและนกั วิจยั ตอ้ งมีควำมรับผดิ ชอบในกำรจดั ทำรำยงำนกำรวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ เพือ่ ใหผ้ ลอนั เกิดจำก
กำรวิจยั ไดถ้ ูกนำไปใชป้ ระโยชนต์ ่อเนื่อง

3. นกั วจิ ยั ตอ้ งมีพ้ืนฐำนควำมรู้ในสำขำวชิ ำกำรท่ีทำวจิ ยั

16

นกั วิจยั ตอ้ งมีพ้ืนฐำนควำมรู้ในสำขำวิชำกำรท่ีทำวิจยั อยำ่ งเพียงพอ และมีควำมรู้ควำมชำนำญ
หรือมีประสบกำรณ์เกี่ยวเน่ืองกบั เร่ืองที่ทำวจิ ยั เพอื่ นำไปสู่งำนวิจยั ที่มีคุณภำพ และเพอื่ ป้องกนั ปัญหำกำร
วเิ ครำะห์ กำรตีควำม หรือกำรสรุปที่ผดิ พลำด อนั อำจก่อใหเ้ กิดควำมเสียหำยต่องำนวจิ ยั

3.1 นกั วิจยั ตอ้ งมีพ้ืนฐำนควำมรู้ ควำมชำนำญหรือประสบกำรณ์เก่ียวกบั เรื่องท่ีทำวิจยั อยำ่ ง
เพยี งพอ เพือ่ นำไปสู่งำนวจิ ยั ท่ีมีคุณภำพ

3.2 นกั วิจยั ตอ้ งรักษำมำตรฐำนและคุณภำพของงำนวิจยั ในสำขำวิชำกำรน้นั ๆ เพื่อป้องกนั
ควำมเสียหำยต่อวงกำรวชิ ำกำร

4. นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมรับผดิ ชอบต่อสิ่งที่ศึกษำวจิ ยั ไม่วำ่ จะเป็นส่ิงท่ีมีชีวติ หรือไม่มีชีวิต
นกั วิจยั ตอ้ งดำเนินกำรดว้ ยควำมรอบคอบระมดั ระวงั และเท่ียงตรงในกำรทำวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั
คน สัตว์ พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยำกร และสิ่ งแวดล้อม มีจิตสำนึกและปณิ ธำนที่จะอนุรักษ์
ศิลปวฒั นธรรม ทรัพยำกรและสิ่งแวดลอ้ ม แนวทำงปฏิบตั ิ

4.1 กำรใชค้ นหรือสตั วเ์ ป็นตวั อยำ่ งทดลอง ตอ้ งทำในกรณีท่ีไม่มีทำงเลือกอ่ืนเท่ำน้นั
4.2 นักวิจัยต้องดำเนินกำรวิจัยโดยมีจิตสำนึกที่จะไม่ก่อควำมเสียหำยต่อคน สัตว์ พืช
ศิลปวฒั นธรรม ทรัพยำกร และส่ิงแวดลอ้ ม
4.3 นักวิจยั ตอ้ งมีควำมรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดแก่ตนเอง กลุ่มตวั อย่ำงที่ใชใ้ นกำรศึกษำ
และสงั คม
5. นกั วจิ ยั ตอ้ งเคำรพศกั ด์ิศรี และสิทธิของมนุษยท์ ี่ใชเ้ ป็นตวั อยำ่ ง
นกั วิจยั ตอ้ งไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทำงวิชำกำรจนละเลยและขำดควำมเคำรพในศกั ด์ิศรีของ
เพื่อนมนุษย์ ตอ้ งถือเป็ นภำระหนำ้ ท่ีท่ีจะอธิบำยจุดมุ่งหมำยของกำรวิจยั แก่บุคคลที่เป็นกลุ่มตวั อยำ่ งโดย
ไม่หลอกลวงหรือบีบบงั คบั และไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
5.1 นักวิจยั ตอ้ งมีควำมเคำรพในสิทธิมนุษยท์ ี่ใช้ในกำรทดลองโดยตอ้ งไดร้ ับควำมยินยอม
ก่อนทำกำรวจิ ยั
5.2 นักวิจยั ตอ้ งปฏิบตั ิต่อมนุษยแ์ ละสัตวท์ ่ีใชใ้ นกำรทดลองดว้ ยควำมเมตตำ ไม่คำนึงถึงแต่
ผลประโยชนท์ ำงวิชำกำรจนเกิดควำมเสียหำยที่อำจก่อใหเ้ กิดควำมขดั แยง้
5.3 นักวิจยั ตอ้ งดูแลปกป้องสิทธิประโยชน์และรักษำควำมลบั ของกลุ่มตวั อย่ำง ท่ีใชใ้ นกำร
ทดลอง
6. นกั วจิ ยั ตอ้ งมีอิสระทำงควำมคิด โดยปรำศจำกอคติในทุกข้นั ตอนของกำรทำวจิ ยั
นกั วจิ ยั ตอ้ งมีอิสระทำงควำมคิดตอ้ งตระหนกั วำ่ อคติส่วนตนหรือควำมลำเอียงทำงวิชำกำร อำจ
ส่งผลใหม้ ีกำรบิดเบือนขอ้ มูล และขอ้ คน้ พบทำงวชิ ำกำร อนั เป็นเหตุใหเ้ กิดผลเสียหำยต่องำนวจิ ยั
6.1 นกั วจิ ยั ตอ้ งมีอิสระทำงควำมคิด ไม่ทำงำนวิจยั ดว้ ยควำมเกรงใจ
6.2 นกั วจิ ยั ตอ้ งปฏิบตั ิงำนวจิ ยั โดยใชห้ ลกั วชิ ำกำรเป็นเกณฑแ์ ละไม่มีอคติมำเกี่ยวขอ้ ง

17

6.3 นักวิจยั ตอ้ งเสนอผลงำนวิจยั ตำมควำมเป็ นจริงไม่จงใจบิดเบือนผลกำรวิจยั โดยหวงั
ผลประโยชนส์ ่วนตน หรือตอ้ งกำรสร้ำงควำมเสียหำยแก่ผอู้ ่ืน

7. นกั วจิ ยั พึงนำผลงำนวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ในทำงที่ชอบ
นกั วจิ ยั พึงเผยแพร่ผลงำนวิจยั เพ่ือประโยชน์ทำงวชิ ำกำรและสงั คมไม่ขยำยผลขอ้ คน้ พบจนเกิด
ควำมเป็นจริงและไม่ใชผ้ ลงำนวิจยั ไปในทำงมิชอบ แนวทำงปฏิบตั ิ

7.1 นกั วจิ ยั พงึ มีควำมรับผดิ ชอบและรอบคอบในกำรเผยแพร่ผลงำนวิจยั
7.2 นกั วิจยั พึงเผยแพร่ผลงำนวิจยั โดยคำนึงถึงประโยชน์ทำงวิชำกำรและสังคม ไม่เผยแพร่
ผลงำนวิจยั เกินควำมเป็นจริงโดยเห็นแก่ประโยชนส์ ่วนตนเป็นที่ต้งั
7.3 นักวิจยั พึงเสนอผลงำนวิจยั ตำมควำมเป็ นจริงไม่ขยำยผลขอ้ คน้ พบโดยปรำศจำกกำร
ตรวจสอบยนื ยนั ในทำงวชิ ำกำร
8. นกั วจิ ยั ถึงเคำรพควำมคิดเห็นทำงวิชำกำรของผอู้ ื่น
นักวิชำกำรพึงมีใจกวำ้ ง พร้อมจะเปิ ดเผยขอ้ มูลและข้นั ตอนกำรวิจยั ยอมรับฟังควำมคิดเห็น
และเหตุผลทำงวิชำกำรของผอู้ ่ืน และพร้อมที่จะปรับปรุงแกไ้ ขงำนวิจยั ของตนใหถ้ ูกตอ้ ง
8.1 นกั วิจยั พึงมีมนุษยส์ ัมพนั ธท์ ี่ดี ยนิ ดีแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็น และสร้ำงควำมเขำ้ ใจในกำร
ทำงำนและนกั วชิ ำกำรอ่ืน ๆ
8.2 นกั วิจยั พึงยอมรับฟัง แกไ้ ขกำรทำวิจยั และกำรเสนอผลงำนวิจยั ตำมขอ้ แนะนำที่ดี เพื่อ
สร้ำงควำมรู้ท่ีถูกตอ้ งและสำมำรถนำผลงำนวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ได้
9. นกั วจิ ยั พึงมีควำมรับผดิ ชอบต่อสงั คมทุกระดบั พึงมีจิตสำนึกท่ีจะอุทิศกำลงั สติปัญญำในกำร
ทำวิจยั เพ่ือควำมกำ้ วหน้ำทำงวิชำกำร เพื่อควำมเจริญและประโยชน์สุขของสังคมและมวลมนุษยชำติ
แนวทำงปฏิบตั ิ
9.1 นกั วิจยั พึงไตร่ตรองหำหวั ขอ้ กำรวิจยั ดว้ ยควำมรอบคอบและทำกำรวิจยั ดว้ ยจิตสำนึกที่
จะอุทิศกำลงั ปัญญำของตนเพื่อควำมกำ้ วหนำ้ ทำงวิชำกำร เพ่ือควำมเจริญของสถำบนั และประโยชน์สุข
ต่อสงั คม
9.2 นกั วิจยั พึงรับผิดชอบในกำรสร้ำงสรรคผ์ ลงำนวิชำกำรเพ่ือควำมเจริญของสังคม ไม่ทำ
กำรวิจยั ที่ขดั กบั กฎหมำย ควำมสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอนั ดีของประชำชน
9.3 นักวิจยั พึงพฒั นำบทบำทตนให้เกิดประโยชน์ยิ่งข้ึน และอุทิศเวลำ น้ำใจ กระทำกำร
ส่งเสริมพฒั นำควำมรู้ จิตใจ พฤติกรรมของนักวิจยั รุ่นใหม่ให้มีส่วนร่วมสร้ำงสรรค์ควำมรู้แก่สังคม
สืบไป
(สืบคน้ ออนไลน์, http://gotoknow.org/blog/jananey/196303)

1.8 สรุปท้ายบท

18

กำรวิจยั หมำยถึง กระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ ควำมจริงหรือปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติอยำ่ งมี
ระบบระเบียบและมีจุดหมำยแน่นอน ดว้ ยวิธีกำรทำงวิทยำศำสตร์เพ่ือให้เกิดผลลพั ธ์ ควำมรู้ใหม่เป็ น
ประโยชน์ต่อมนุษยแ์ ละสังคม โดยมีวตั ถุประสงคข์ องกำรวิจยั เพ่ือควำมรู้ทำงวชิ ำกำรเพื่อบรรยำย อธิบำย
และทำนำยและเพ่ือผลสำหรับกำรปฏิบัติโดยกำรควบคุมและกำรพฒั นำ ซ่ึงสำมำรถทำกำร วิจยั เชิง
ปริมำณและเชิงคุณภำพดว้ ยวิธีกำรทำงวิทยำศำสตร์ ที่มีข้นั ตอนที่สำคญั ของกำรทำวิจยั เร่ิมตน้ ดว้ ยกำร
กำหนดปัญหำ อธิบำยท่ีมำและควำมสำคญั ของปัญหำท่ีจะทำวิจยั กำรกำหนดวตั ถุประสงคข์ องกำรวิจยั
กำรต้งั สมมุติฐำนกำรวิจัย กำรทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง กำรกำหนดรูปแบบกำรวิจยั กำรเก็บ
รวบรวมข้อมูล กำรจดั กระทำกบั ขอ้ มูล กำรวิเครำะห์ข้อมูล กำรตีควำมจำกผลกำรวิเครำะห์และกำร
รำยงำนผล และกำรวิจยั จะประสบควำมสำเร็จไดด้ ี ผวู้ ิจยั ตอ้ งมีคุณสมบตั ิท่ีดีและมีจรรยำบรรณของควำม
เป็นนกั วจิ ยั คือ ควำมซื่อสัตยแ์ ละซ่ือตรงอีกดว้ ย

1.9 กจิ กรรมท้ายบท
1. กำรวิจยั หมำยควำมวำ่ อยำ่ งไร ? จงอธิบำยมำใหเ้ ขำ้ ใจ
2. กำรวิจยั มีก่ีประเภท อะไรบำ้ ง ? นกั ศึกษำใชเ้ กณฑอ์ ะไรในกำรจดั แบ่งประเภทของงำนวิจยั

จงอธิบำยมำใหเ้ ขำ้ ใจ
3. วธิ ีกำรศึกษำหำควำมรู้มีอะไรบำ้ ง? จงอธิบำยมำใหเ้ ขำ้ ใจ
4. คุณสมบตั ิของนกั วจิ ยั เป็นอยำ่ งไร? ตอ้ งมีจรรยำบรรณอะไรบำ้ ง? จงอธิบำยมำใหเ้ ขำ้ ใจ

1.11 หนังสืออ้างองิ ประจาบท
จริยำ เสถบุตร. ระเบียบวจิ ยั ทางการศึกษา. ขอนแก่น : คณะศึกษำศำสตร์ มหำวิทยำลยั ขอนแก่น, 2526.
ชิดชนก เชิงเชำว.์ วธิ ีวจิ ยั ทางการศึกษา. พมิ พค์ ร้ังที่ 3, มหำวิทยำลยั สงขลำนครินทร์ วทิ ยำเขตปัตตำนี,

ฝ่ ำยเทคโนโลยที ำงกำรศึกษำ สำนกั วิทยบริกำร. 2539.
นงลักษณ์ วิรัชชัย. ความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้ น (Lisrel) : สถิติวิเคราะห์สาหรับการวิจัยทาง

สังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์. กรุงเทพมหำนคร : ภำควิชำวิจยั กำรศึกษำ คณะครุศำสตร์.
จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั , 2537.
นที เทียมศรีจันทร์. การพัฒนาคุณภาพงานวิจัยสายศิลปกรรม. เอกสำรประกอบคำบรรยำยกำร
ประชุมสมั มนำเชิงปฏิบตั ิกำร. 8-10 ธนั วำคม 2543. ชลพฤกษ์ รีสอร์ท จงั หวดั นครนำยก. สถำบนั
เทคโนโลยรี ำชมงคล วิทยำเขตเพำะช่ำง, 2543.

19

นวลอนงค์ บุญฤทธิพงศ.์ ระเบียบวิธีวิจัยทางการศึกษา. พิมพค์ ร้ังท่ี 2, กรุงเทพมหำนคร : บริษทั จุดทอง
จำกดั , 2553.

บุญชม ศรีสะอำด. การวิจัยเบื้องต้น. มหำสำรคำม : ภำควิชำพ้ืนฐำนกำรศึกษำคณะศึกษำศำสตร์
มหำวิทยำลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ มหำสำรคำม, 2539.

บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธ์ิ. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพค์ ร้ังที่ 11, กรุงเทพมหำนคร : จำมจุรี
โปรดกั ท,์ 2554.

บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธ์ิ. การเขียนรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์. กรุงเทพมหำนคร : จำมจุรีโปร
ดกั ท,์ 2546.

บุญเรียง ขจรศิลป์ . วธิ ีวจิ ัยทางการศึกษา. กรุงเทพมหำนคร : ฟิ สิกส์เซ็นเตอร์กำรพิมพ,์ 2530.
บุญเรียง ขจรศิลป์ . วธิ ีวจิ ยั ทางการศึกษา. กรุงเทพมหำนคร : พิชำญพริ้นติ้ง, 2534.
พจน์ สะเพียรชยั และคณะ. การวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์. กรุงเทพมหำนคร : มหำวิทยำลยั ศรีนครินท

รวิโรฒ, 2529.
พวงรัตน์ ทวีรัตน์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ . พิมพค์ ร้ังท่ี 5.กรุงเทพมหำนคร :

ฟิ งเกอร์ปริ้นแอนมีเดีย, 2538.
มนัส สุวรรณ. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์,

2549.
สมเจตน์ ไวทยำกำรณ์. หลกั และการวจิ ยั . นครปฐม : โรงพิมพม์ หำวิทยำลยั ศิลปำกร, 2544.
สุภำงค์ จนั ทวำนิช. วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพค์ ร้ังท่ี 7, กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพแ์ ห่งจุฬำลงกรณ์

มหำวิทยำลยั , 2540.