การวจิ ยั เพ่ือพฒั นาการเรียนรู้ บทท่ี 1 สาหรับนักศึกษาช้ันปี ท่ี ๔ สาขาวชิ าการสอนภาษาองั กฤษ/การสอนภาษาไทย พระมหาสกลุ มหาวโี ร, ผศ.ดร. 2 บทท่ี 1 หัวข้อเนื้อหาประจาหน่วย จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 กาหนดการสอนประจาหน่วย จานวนช่ัวโมง กิจกรรมการเรียนการ ค ะ แ น น สั ปดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด ทฤษฎี ปฏิบตั ิ สอน ส่ือที่ใช้ เกบ็ - ส่ื อที่ใช้ : โปรแกรม PowerPoint 1.1 ความนา จดั กำรเรียนสอนไวว้ ำ่ กำรจดั กำรศึกษำตอ้ งยึดหลกั กว่ำ ผูเ้ รียนทุกคนมีควำมสำมำรถเรียนรู้ และพฒั นำ กระบวนกำรจดั กำรเรียนกำรสอนท่ีสอดคลอ้ งกบั
เจตนำรมณ์ของพระรำชบญั ญตั ิดงั กล่ำว คือ 4 จดั กิจกรรมกำรเรียนรู้ ใชส้ ื่อ แหล่งกำรเรียนรู้ และประเมินที่หลำกหลำยใหส้ ำมำรถสนองควำมตอ้ งกำร ออกแบบ ผู้เรยี นสำคญั ผเู้ รียนสำคัญ จดั กจิ กรรม วจิ ัย ครู วจิ ัย ประเมนิ ผูเ้ รียนสำคญั ผ้เู รียนสำคัญ แหลง่ เรยี นรู้ แผนภูมิที่ 1.1 องคป์ ระกอบของทกั ษะวชิ ำชีพครู 1.2 ความหมายของการวจิ ยั ศัพท์เดิมว่ำกำรค้นหำซ้ำแล้วซ้ำอีกให้เกิดควำมม่ันใจ
สำหรับควำมหมำยวิจยั มีผูใ้ ห้ควำมหมำยไว้ พจนำนุกรมฉบับรำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ. 2525 ให้ควำมหมำยของกำรวิจยั ว่ำ “กำรคน้ ควำ้ จริยำ เสถบุตร (2526 : 4) ใหค้ วำมหมำยไวว้ ำ่ กำรวิจยั คือกำรคน้ ควำ้ หำควำมรู้อยำ่ งมีระบบและ พจน์ สะเพียรชยั และคณะ (2529 : 10) ใหค้ วำมหมำยไวว้ ำ่ กำรวิจยั คือวธิ
ีกำรคิดคน้ วธิ ีแกป้ ัญหำ บุญเรียง ขจรศิลป์ (2530 : 9) กล่ำวว่ำ กำรวิจยั เป็ นกระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ใหม่ ๆ หรือ นงลกั ษณ์ วิรัชชยั (2537 : 31) กล่ำวว่ำ กำรวิจยั คือกระบวนกำรศึกษำควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำง 5 มีกำรใชเ้ ครื่องมือเชิงประจกั ษ์ มีกำรควบคุม และมีข้นั ตอนดำเนินกำรเป็นข้นั เป็นตอน โดยแต่ละข้นั ตอน พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2538 : 11) ใหค้ วำมหมำยไวว้ ำ่ กำรวิจยั คือกำรคน้ ควำ้ หำควำมรู้ควำมจริงที่ นที เทียมศรีจนั ทร์ (2543 : 8) กล่ำววำ่ กำรวิจยั (Research) เป็นเคร่ืองมือและเป็นปัจจยั พ้ืนฐำน สมเจตน์ ไวทยำกำรณ์ (2544 : 7) กล่ำวว่ำ กำรวิจยั เป็ นกระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ ควำมจริง บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธ์ิ (2546 : 12) กล่ำววำ่ กำรวิจยั มีควำมหมำยเป็นกระบวนกำรคน้ ควำ้ จำกควำมหมำยของผรู้ ู้ดงั กล่ำว สรุปไดว้ ำ่ กำรวิจยั หมำยถึง กระบวนกำรแสวงหำควำมรู้
ควำม 1.3 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั จำกควำมหมำยของกำรวิจยั แลว้ คือ กระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ ควำมจริงเพื่อให้ไดค้ วำมรู้ ใหม่เป็ นประโยชน์ต่อมนุษยแ์ ละสังคม หำกประมวลเอำควำมหมำยวิจยั ดงั กล่ำว จึงเห็นไดว้ ่ำในกำร ดำเนินกำรวิจยั โดยทว่ั ไปจะมีกำหนดวตั ถุประสงคข์ องกำรวจิ ยั สำคญั ไว้ 5 ประกำร วิจัยน้ัน ว่ำเป็ นเช่นไร อยู่ท่ีใด มีกี่ประเภท มำกน้อยเพียงใด มีสภำพเป็ นอย่ำงไร มีพัฒนำกำรหรือ 2. เพ่ือใช้ในการอธิบาย ผลที่ได้จำกกำรวิจยั จะสำมำรถบอกเหตุผลของสิ่งท่ีเกิดข้ึนได้ ว่ำมี 6 3. เพ่ือใช้ในการทานาย ในบำงคร้ัง เรำจำเป็นที่จะตอ้ งทรำบอนำคตของสิ่งที่ศึกษำวำ่ เป็นเช่นไร 4. เพื่อใช้ในการควบคุม ในกำรดำเนินกิจกรรมอยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึง ซ่ึงตอ้ งกำรประสิทธิภำพและ 5.เพ่ือใช้ในการพฒั นา ในกำรวิจยั จะช่วยใหท้ รำบสภำพควำมเป็นอยู่ หรือสภำพกำรดำเนินกำร นอกจำกน้ี มนสั สุวรรณ (2549 : 4) ไดก้ ลำ่ วถึงวตั ถุประสงคห์ ลกั 2 ประกำร คือ 1.4 ประเภทของการวจิ ยั 7 ประเภทของงำนวิจยั น้ี จะนำเสนอเน้ือหำให้นักศึกษำไดศ้ ึกษำของกำรจดั แบ่งประเภทของ มนัส สุวรรณ (2549 : 4-7) ไดแ้ บ่งประเภทงำนวิจยั ออกเป็ น 3 ประเภท โดยแบ่งตำมลกั ษณะ 1. แบ่งตำมลกั ษณะวิธีกำร สำมำรถแบ่งเป็นประเภทยอ่ ยได้ 4 ประเภท คือ หรือขอ้ เทจ็ จริงของเหตุกำรณ์ที่เกิดข้ึนในอดีต
จุดมุ่งหมำยที่สำคญั ของกำรวิจยั ประเภทน้ีคือ ตอ้ งกำรที่จะ 1.2 การวจิ ยั เชิงพรรณนา (Descriptive Research) 1.4 การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experimental Research) 8 กำรวิจยั เชิงทดลองเป็นกำรวิจยั ท่ีมีวตั
ถุประสงคส์ ำคญั คือ เพื่อหำอิทธิพลของตวั แปร (หรือ 2. แบ่งตำมวิธีกำรวิเครำะห์ขอ้ มูลและกำรอธิบำยเหตุผล สำมำรถแบ่งเป็ นประเภทย่อยได้ 2 2.1 การวจิ ัยเชิงคุณภาพ
(Qualitative Research) 9 วิจยั พ้ืนฐำน คือ มิได้มีจุดมุ่งหมำย ที่จะนำควำมรู้หรือขอ้ เท็จจริงที่ได้รับไปใช้ประโยชน์โดยตรงใน 3.2 การวจิ ัยประยกุ ต์ (Applied Research) 4.1.1 กำรวิจยั เชิงบรรยำยหรือรำยกรณี (Descriptive or Case-Series Studies) 10 4.2 กำรวิจยั เชิงทดลอง (Experimental Studies) 5.
แบ่งตำมกำรควบคุมตวั แปร สำมำรถแบ่งออกเป็นประเภทยอ่ ยอีก 3 ดงั น้ี 6. แบ่งตำมรูปแบบกำรวิจยั สำมำรถแบ่งออกเป็นประเภทยอ่ ยอีก 9 ดงั น้ี จำกกำรจดั แบ่งประเภทของงำนวิจยั ดงั กล่ำว จะเห็นว่ำผูร้ ู้ใชเ้ กณฑท์ ่ีคลำ้ ยคลึงกนั หรือตรงกนั สำหรับในรำยวิชำกำรวิจัยเพื่อพัฒนำกำรเรียนรู้น้ี มิใช่เป็ นช่ือประเภทหน่ึงของกำรวิจัย 1.5 วธิ ีการศึกษาหาความรู้ 11 วิธีกำรศึกษำหำควำมรู้ของมนุษย์ โดยมนุษยแ์
ละเพ่ือมนุษยน์ ้ัน โดยมีเป้ำหมำยเพื่อเขำ้ ใจใน 1. วธิ ีในสมยั โบราณ (Traditional Method) 1.1 โดยบงั เอิญเป็ นกำรคน้ พบโดยไม่ต้งั ใจเช่นกำรคน้ พบวิธีคำนวณปริมำณของของแข็ง 1.2
โดยกำรลองผดิ ลองถูกเป็นกำรคน้ พบควำมรู้โดยกำรทดลองทำหลำยๆวิธีถูกบำ้ งผดิ บำ้ ง 1.3 โดยผมู้ ีอำนำจเป็ นกำรคน้ พบควำมรู้จำกผูม้ ีอำนำจในทอ้ งถ่ินเช่นผนู้ ำหรือผอู้ ำวุโสและ 1.4 โดยขนบธรรมเนียมประเพณีเป็ นกำรไดร้ ับควำมรู้จำกประเพณีวฒั นธรรมในสังคมท่ี 1.5 โดยผเู้ ช่ียวชำญเป็นกำรคน้ พบควำมรู้โดยกำรสอบถำมจำกผเู้
ชี่ยวชำญเฉพำะสำขำน้นั ๆ 2. วธิ ีอนุมาน (Deductive Method) สรุป : กำมีปี ก 12 กำรแสวงหำควำมรู้โดยวิธีน้ีมีขอ้ บกพร่องหลำยประกำรในปัจจุบนั น้ีจึงไม่นิยมใชท้ ้งั น้ีเพรำะ 3. วธิ ีอุปมาน (Inductive
Method) 13 1.6 คุณสมบตั ิของนักวจิ ัย ปัญญำของมนุษย์ ดังน้ัน นักวิจัย (Researcher) หรือผู้ท่ีประสบควำมสำเร็จในงำนวิจัยจึงมักจะมี 1. ในดำ้ นอำรมณ์หรือทศั นคติ ผูท้ ่ีประสบควำมสำเร็จในกำรวิจยั น้นั มกั จะมีควำมมุ่งหวงั และ 1.1 มีแรงกระตุน้ เตือนภำยในตวั เอง อนั เกิดข้ึนจำกควำมอยำกรู้อยำกเห็นมำกเป็นพิเศษ 14 3.5 เป็ นคนที่มีแรงศรัทธำในปัญญำ และมีรสนิยมในทำงวิทยำศำสตร์ นั่นคือ เป็ นผูย้ ึดมน่ั 3.5
เป็นคนที่มีควำมคิดเป็นอิสระและทำงำนไปในทำงท่ีดีงำม 1.7 จรรยาบรรณของนักวจิ ัย จรรยำบรรณนกั
วิจยั ข้ึน เพ่ือใชเ้ ป็นแนวหลกั เกณฑ์ ควรประพฤติของนกั วิจยั ทว่ั ไป ไม่วำ่ สำขำวิชำกำรใด ๆ “นักวิจยั ” หมำยถึง ผูท้ ่ีดำเนินกำรคน้ ควำ้ หำควำมรู้อย่ำงเป็ นระบบ เพ่ือตอบประเด็นที่สงสัย “จรรยำบรรณ” หมำยถึง หลกั
ควำมประพฤติอนั เหมำะสม แสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมใน ดว้
ยเหตุน้ีสภำวิจยั แห่งชำติจึงกำหนด “จรรยำบรรณนักวิจยั ” ไวเ้ ป็ นแนวทำงสำหรับนักวิจยั 15 1. นกั วิจยั ตอ้ งซ่ือสัตยแ์ ละมีคุณธรรมในทำงวิชำกำรและกำรจดั กำร นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมซ่ือสัตย์ 1.1 นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมซ่ือสตั ยต์ ่อตนเองและต่อผอู้ ่ืน ที่จะทำวิจยั กำรเลือกผเู้ ขำ้ ร่วมทำวจิ ยั กำรดำเนินกำรวิจยั ตลอดจนกำรทำผลงำนวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชน์ คิดเห็นที่นำมำใชใ้ นกำรวิจยั โครงกำรวจิ ยั เพอ่ื ขอรับทุน 1.3 นกั วจิ ยั ตอ้ งมีควำมเป็นธรรมเก่ียวกบั ผลประโยชนท์ ่ีไดจ้ ำกกำรวิจยั ของตน สนบั สนุนกำรวิจยั และต่อหน่วยงำนที่ตนสังกดั นกั วิจยั ตอ้ งปฏิบตั ิตำมพนั ธกรณีและขอ้ ตกลงกำรวิจยั ท่ี 2.1 นักวิจยั
ต้องตระหนักถึงพนั ธกรณีในกำรทำวิจยั โดยนักวิจยั ต้องศึกษำเง่ือนไข และ 2.2 นักวิจยั ตอ้ งอุทิศเวลำทำงำนวิจยั โดยนักวิจยั ตอ้ งทุ่มเทควำมรู้ ควำมสำมำรถและเวลำ 2.3 นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมรับผิดชอบในกำรทำวิจยั โดยนกั วิจยั ตอ้
งมีควำมรับผดิ ชอบ ไม่ละทิ้ง 3. นกั วจิ ยั ตอ้ งมีพ้ืนฐำนควำมรู้ในสำขำวชิ ำกำรท่ีทำวจิ ยั 16 นกั วิจยั ตอ้ งมีพ้ืนฐำนควำมรู้ในสำขำวิชำกำรท่ีทำวิจยั อยำ่ งเพียงพอ และมีควำมรู้ควำมชำนำญ 3.1 นกั วิจยั ตอ้ งมีพ้ืนฐำนควำมรู้ ควำมชำนำญหรือประสบกำรณ์เก่ียวกบั เรื่องท่ีทำวิจยั อยำ่ ง 3.2 นกั วิจยั ตอ้ งรักษำมำตรฐำนและคุณภำพของงำนวิจยั ในสำขำวิชำกำรน้นั ๆ เพื่อป้องกนั 4. นกั วิจยั ตอ้ งมีควำมรับผดิ ชอบต่อสิ่งที่ศึกษำวจิ ยั ไม่วำ่
จะเป็นส่ิงท่ีมีชีวติ หรือไม่มีชีวิต 4.1 กำรใชค้ นหรือสตั วเ์ ป็นตวั อยำ่ งทดลอง ตอ้ งทำในกรณีท่ีไม่มีทำงเลือกอ่ืนเท่ำน้นั 17 6.3 นักวิจยั ตอ้ งเสนอผลงำนวิจยั ตำมควำมเป็ นจริงไม่จงใจบิดเบือนผลกำรวิจยั โดยหวงั 7. นกั วจิ ยั พึงนำผลงำนวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ในทำงที่ชอบ 7.1 นกั วจิ ยั พงึ มีควำมรับผดิ ชอบและรอบคอบในกำรเผยแพร่ผลงำนวิจยั 1.8 สรุปท้ายบท 18 กำรวิจยั หมำยถึง กระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ ควำมจริงหรือปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติอยำ่
งมี 1.9 กจิ กรรมท้ายบท จงอธิบำยมำใหเ้ ขำ้ ใจ 1.11 หนังสืออ้างองิ ประจาบท ฝ่ ำยเทคโนโลยที ำงกำรศึกษำ สำนกั วิทยบริกำร.
2539. สังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์. กรุงเทพมหำนคร : ภำควิชำวิจยั กำรศึกษำ คณะครุศำสตร์. 19 นวลอนงค์ บุญฤทธิพงศ.์
ระเบียบวิธีวิจัยทางการศึกษา. พิมพค์ ร้ังท่ี 2, กรุงเทพมหำนคร : บริษทั จุดทอง บุญชม ศรีสะอำด. การวิจัยเบื้องต้น. มหำสำรคำม : ภำควิชำพ้ืนฐำนกำรศึกษำคณะศึกษำศำสตร์ บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธ์ิ. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพค์ ร้ังที่ 11, กรุงเทพมหำนคร : จำมจุรี บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธ์ิ. การเขียนรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์. กรุงเทพมหำนคร : จำมจุรีโปร บุญเรียง
ขจรศิลป์ . วธิ ีวจิ ัยทางการศึกษา. กรุงเทพมหำนคร : ฟิ สิกส์เซ็นเตอร์กำรพิมพ,์ 2530. รวิโรฒ, 2529. ฟิ งเกอร์ปริ้นแอนมีเดีย, 2538. 2549. มหำวิทยำลยั , 2540. |