Show
หนึ่งฤทัย กล่ำเงิน การอยู่กับคนอารมณ์ไม่คงที่ เหวี่ยง วีนง่าย หรือไม่รู้ว่าอารมณ์จะดีตอนไหน จะร้ายตอนไหน ก็เหมือนกับการอยู่กับระเบิดเวลาที่เราไม่รู้ว่าโดนถอดสลักเมื่อไหร่ หลังระเบิดจบลงก็คงเหลือซากปรักหักพัง เช่นเดียวกับหลังระเบิดอารมณ์ก็คงระเบิดความสัมพันธ์ให้แย่ลงเช่นกัน จึงอยากแนะนำวิธีการรับมือกับระเบิดเวลานี้อย่างง่ายๆ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ 1. สติมาปัญญาเกิด กฎข้อแรกของการรับมือกับคนขี้เหวี่ยงขี้วีน คือ สติ บางครั้งที่การขาดสติและโต้ตอบเร็วเกินไป ก็ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่กว่าเดิม เพราะฉะนั้น การมีสติ ค่อยๆ คิดอย่างมีเหตุผล และระงับอารมณ์ของเราเองด้วย จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะยับยั้งระเบิดเวลาไม่ให้รุนแรงกว่าเดิม วิธีการง่ายๆ เช่น หายใจเข้า-ออกช้าๆ หรือนับ 1-100 2. แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ความอยากเอาชนะ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำระเบิดเวลาระเบิดได้ทุกเมื่อ ในการโต้เถียงกัน หรือในสถานการณ์ขัดแย้ง บางครั้งเราอาจต้องถามตนเองว่าถ้าชนะแล้วเราได้อะไร ซึ่งหลายครั้งคำตอบ คือ ไม่ได้อะไรเลย และคนที่ต้องการเอาชนะ แค่อยากย้ำว่าตนเองยังสำคัญกับคุณอยู่รึเปล่า ถ้าอย่างนั้นคุณก็แค่ยอมแพ้บ้างเพื่อหยุดระเบิดเวลาไว้ก่อน ระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีใครอยากถูกเกลียดหรือไม่สำคัญในสายตาของคนอื่น 3. ปลดปล่อยอดีตแล้วโฟกัสอนาคตในสถานการณ์อารมณ์คุกรุ่น ไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ของเขายังไง สิ่งแรกที่สมองคิด คือ การหาสาเหตุ ซึ่งบางครั้งสมองก็หลงทางคิดแต่เรื่องราวหรือการกระทำไม่ดีในอดีตของเขา ทำให้บางครั้งก็เผลอพูดในสิ่งที่คิด และยิ่งเป็นชนวนจุดระเบิดให้เร็วขึ้น เทคนิคง่ายๆ ที่แนะนำ คือ ปล่อยอดีตที่ไม่ดีทิ้งไป และโฟกัสที่อนาคต เช่น เขาเป็นเพื่อน เป็นครอบครัว เราอยากเห็นความสัมพันธ์ในอนาคตเป็นอย่างไร ถามเขากลับว่าเราควรจะทำอย่างไรให้สถานการณ์หรือความสัมพันธ์ดีขึ้น 4. กู้ระเบิดไม่ได้ ก็ปล่อยให้ระเบิดเสียเลยบางครั้งถ้าสถานการณ์ดำเนินถึงขีดสุด เราอาจต้องปล่อยให้เขาระบายอารมณ์ออกมาก่อน สิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ รับฟังอย่างสงบ หรือถ้าคุยโทรศัพท์อยู่ พยายามไม่วางสายใส่เขา ที่สำคัญ คือ ไม่ตำหนิหรือพูดจาแง่ลบที่จะบั่นทอนความรู้สึก หลังระเบิดผ่านพ้นไปเราค่อยพูดคุยด้วยเหตุผล และทบทวนสถานการณ์ร่วมกัน ที่สำคัญนอกจากเราจะรับฟังเขา เราต้องบอกความรู้สึกของเราให้เขารับรู้ด้วย เมื่อนั้นคุณอาจได้รับคำขอโทษจากเขา และการปรับปรุงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น คนขี้เหวี่ยงขี้วีน ไม่ใช่บุคคลไม่น่าคบหรือบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยง แต่เราควรมีวิธีรับมือที่ถูกต้อง แค่นี้เราก็สามารถใช้ชีวิตกับระเบิดเวลาได้ โดยไม่ต้องคอยระแวงว่าจะระเบิดเมื่อไหร่
ชีวิตในการทำงานของแต่ละคนอาจไม่ราบรื่นเสมอไป การทำงานส่วนใหญ่มักมีปัญหาให้เราต้องแก้ไขอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้ง ปัญหาจากงานอาจกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เมื่อเทียบกับปัญหาที่เกิดจากคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน เพราะเป็นคนที่เราต้องทำงานด้วยและเจอหน้ากันแทบทุกวัน ยิ่งหากใครเจอ เพื่อนร่วมงานเป็นไบโพลาร์ ด้วยแล้ว ชีวิตในการทำงานอาจยิ่งย่ำแย่ จนส่งผลกระทบกับสุขภาพและลามไปถึงคุณภาพในการทำงานด้วย ใครกำลังประสบปัญหานี้อยู่ Hello คุณหมอ มีวิธีรับมือมาให้คุณแล้ว รับรองว่า… ชีวิตการทำงานของคุณจะง่ายขึ้นอีกเยอะ เพื่อนร่วมงานเป็นแบบนี้ ไบโพลาร์ชัวร์!โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างช่วงซึมเศร้าหรือภาวะซึมเศร้า (Depressive Episode) กับช่วงมาเนีย (Mania) หรือภาวะฟุ้งพล่าน หรือ คุ้มคลั่ง (Manic Episode) โดยอาการในแต่ละช่วง อาจเป็นอยู่หลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน และอาจกลับมาเป็นปกติได้ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะกลับไปมีอาการของโรคไบโพลาร์สลับกันไปมาอีกครั้ง อาการของโรคไบโพลาร์นั้นวินิจฉัยได้ยาก แต่หากคุณสงสัยว่า เพื่อนร่วมงานเป็นไบโพลาร์หรือไม่ ก็สามารถสังเกตเบื้องต้นได้จากอาการและสัญญาณดังต่อไปนี้ สัญญาณของภาวะฟุ้งพล่าน
สัญญาณของภาวะซึมเศร้า
คนเป็นโรคไบโพลาร์ เหมาะกับงานแบบไหนเราคงไม่สามารถเจาะจงได้ว่าคนลักษณะไหนเหมาะสมกับงานอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็มีสิ่งที่คนเป็นไบโพลาร์ควรพิจารณา ก่อนตัดสินใจเลือกทำงาน เพื่อให้ได้งานที่เหมาะกับคุณมากขึ้น ดังนี้ สภาพแวดล้อมในการทำงานลองตั้งข้อสังเกต และพิจารณาว่างานนี้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณไหม ทำแล้วมีโอกาสก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด เช่น งานท้าทายเกินไปหรือไม่ ทำให้เครียดเกินไปหรือเปล่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ สถานที่ทำงานที่เงียบสงบและผ่อนคลายจะช่วยให้คุณสามารถทำงานในแต่ละวันได้อย่างเป็นปกติ และช่วยพัฒนาศักยภาพในการทำงาน และพัฒนาอารมณ์ของคุณได้ด้วย ตารางหรือกำหนดการในการทำงานงานพาร์ทไทม์ที่สามารถปรับตารางการทำงาน หรือเวลาในการทำงานได้สะดวก อาจเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์มากกว่า แต่ควรเป็นงานที่ทำในช่วงกลางวันมากกว่างานแบบควบกะ งานกะกลางคืน หรืองานที่คุณอาจโดนเรียกตัวไปทำงานในตอนกลางคืน เพราะการนอนถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ไม่ควรละเลย การนอนหลับและตื่นนอนให้เป็นเวลา สามารถช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้ เพื่อนร่วมงานการมีเพื่อนร่วมงานที่เข้าใจ และสามารถช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์ตึงเครียดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ คุณควรหางานที่สนับสนุนนโยบาย “เวิร์คไลฟ์บาลานซ์ (Work Life Balance)” คือ การสนับสนุนให้พนักงานมีเวลาทำงาน และเวลาใช้ชีวิตส่วนตัวที่เหมาะสม ไม่ใช่ทำแต่งาน ความสร้างสรรค์ในการทำงานผู้ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ส่วนใหญ่ มักทำงานประเภทต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ดี คุณจึงควรหางานที่สามารถใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของคุณได้เต็มที่ และต้องมีเวลาในการรังสรรค์ผลงานอย่างเพียงพอด้วย ไม่ใช่มีงานเร่งเป็นประจำ หากหางานในองค์กรที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ คุณอาจเริ่มทำธุรกิจของตัวเองก็ได้ เพราะคุณจะได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ แถมยังมีความยืดหยุ่นในด้านต่าง ๆ มากกว่าการทำงานในองค์กรด้วย แต่ก่อนเริ่มประกอบธุรกิจใด ๆ ก็ควรศึกษาข้อมูลในด้านนั้น ๆ ให้ดีเสียก่อน และควรเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไปจะดีที่สุด ความเครียดจากงาน… สิ่งที่ต้องระวังไม่ว่าจะทำงานในองค์กร หรือประกอบธุรกิจส่วนตัว ก็อาจเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด หรือความยากลำบากในการทำงาน จนก่อให้เกิดความเครียดได้ และความเครียดจากงานที่เกิดขึ้น ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ได้ทั้งสิ้น วิธีการรับมือกับความเครียดจากงาน
วิธีรับมือเมื่อ เพื่อนร่วมงานเป็นไบโพลาร์เมื่อมีเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานเป็นไบโพลาร์ ย่อมทำให้การทำงานกลายเป็นเรื่องท้าทาย หรืออาจประสบปัญหาในการทำงานได้มากขึ้น เพราะบางครั้งอาการของโรคไบโพลาร์ก็ควบคุมไม่ได้ หรือทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนรอบข้างก็ไม่ได้ใส่ใจกับอาการของโรคมากนัก กว่าจะรู้ตัว ปัญหาในการทำงานก็อาจเกิดไปแล้ว แต่คุณก็สามารถเตรียมตัวรับมือได้ เพื่อให้ชีวิตการทำงานราบรื่นขึ้น เมื่อมีเพื่อนร่วมงานเป็นไบโพลาร์ คุณสามารถรับมือได้ดังต่อไปนี้ ทำความเข้าใจกับอาการของโรคอาการของโรคไบโพลาร์ คือ มีอาการฟุ้งพล่านและอาการซึมเศร้าสลับกันไปมาเป็นช่วงๆ หากอยู่ในช่วงฟุ้งพล่าน หรือช่วงคึก เพื่อนร่วมงานของคุณอาจวางแผนการทำงานที่เกินจริง หรือทำตามได้ยาก รวมถึงอาจตื่นตัวมากจนแทบไม่หลับไม่นอน และส่งผลกระทบกับตารางงานได้ ส่วนในช่วงซึมเศร้า เขาอาจรู้สึกหมดพลัง ทำงานให้สำเร็จไม่ได้แม้จะเป็นแค่งานง่าย ๆ ก็ตาม หรืออาจขาดงานบ่อย ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงาน และไม่ยอมทำตามคำแนะนำใด ๆ ของคุณเลย เมื่อคุณเข้าใจอาการเบื้องต้นของโรคไบโพลาร์แล้ว คุณก็จะรู้สึกโมโหหรือไม่สบอารมณ์น้อยลง หากจู่ ๆ เพื่อนร่วมงานที่เคยมีมารยาทดี คุยง่าย กลายเป็นคนก้าวร้าว หรือฉุนเฉียวง่ายขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย กำหนดขอบเขตการเข้าใจในอาการของโรคไบโพลาร์ ไม่ได้แปลว่า คุณต้องยอมตลอดเวลาที่เพื่อนร่วมงานแสดงอาการออกมา แต่คุณควรกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่า พฤติกรรมไหนที่คุณรับได้หรือรับไม่ได้ เช่น คุณอาจแจ้งเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานที่เป็นไบโพลาร์ไว้เลยว่า หากจะโทรมาหาคุณตอนตีสอง ต้องเป็นเรื่องด่วนจริง ๆ เท่านั้น ไม่ใช่โทรมาเพราะนึกไอเดียงานใหม่ ๆ ออก หรือคุยกับเขาให้เข้าใจเลยว่า หากเขาแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรงหรือหยาบคาย เขาจะต้องเข้าไปสงบสติอารมณ์ในพื้นที่ส่วนตัว และกลับออกมาเมื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว สิ่งสำคัญคือ คุณต้องอธิบายให้เพื่อนร่วมงานที่เป็นไบโพลาร์เข้าใจว่า คุณรู้ว่า เขาควบคุมอารณ์ตัวเองได้ลำบากแค่ไหน แต่เขาก็ต้องเข้าใจด้วยว่าคุณทนได้ถึงขั้นไหน เพราะไม่อย่างนั้น คุณจะต้องมานั่งเครียด และเสียสุขภาพ รวมถึงอาจเสียงานด้วย หลีกเลี่ยงปัญหาหากทำงานด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้ว คุณอาจเริ่มจับทางได้ว่า เมื่อไหร่ที่อาการโรคไบโพลาร์ของเพื่อนร่วมงานจะก่อให้เกิดปัญหาในการทำงาน และสามารถป้องกันไม่ให้ปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ การป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น เมื่อร่วมงานกับคนที่สงสัยว่า… เป็นโรคไบโพลาร์
ขอความช่วยเหลือหากการมีเพื่อนร่วมงานเป็นไบโพลาร์ทำให้คุณเครียด จนส่งผลกระทบกับสุขภาพจิต สุขภาพกาย หรือประสิทธิภาพในการทำงานของคุณ คุณและเพื่อนร่วมงานควรขอความช่วยเหลือจากหัวหน้างาน แจ้งให้หัวหน้างานทราบว่าคุณกังวลเรื่องใด และพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานที่เป็นไบโพลาร์ส่งผลกระทบต่อการทำงานของคุณอย่างไรบ้าง เพื่อให้หัวหน้างานช่วยหาวิธีแก้ปัญหา แต่หากคนที่เป็นไบโพลาร์ คือ หัวหน้างานของคุณ และอาการของโรคส่งผลให้เขาไม่สามารถตัดสินใจเรื่องงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม คุณอาจต้องแจ้งหัวหน้างานในระดับที่สูงขึ้น หรือแจ้งฝ่ายบุคคล เพื่อให้คนเหล่านั้นพูดคุยหรือชี้แนะให้หัวหน้างานของคุณเข้ารับการรักษาต่อไป หากไม่อยากให้พนักงานเป็นโรคไบโพลาร์หากเจ้านายหรือหัวหน้างาน ไม่อยากให้คนในองค์กรป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงที่สืบเนื่องมาจากการทำงานได้ ดังนี้
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด |