อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในประเทศไทย

จากเหตุระเบิดโรงงานของบริษัทหมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ในจังหวัดสมุทปราการ ส่งให้มีผู้บาดเจ็บหลายคน ทั้งยังนำไปสู่การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่อาสาดับเพลิงอีกหนึ่งราย ประชาชนจำนวนมากวิจารณ์รัฐบาลที่ไร้ศักยภาพในการจัดการสถานการณ์อย่างทันท่วงที 

มากไปกว่านั้น คือการตั้งข้อสังเกตถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการบังคับใช้ ทั้งประเด็นผังเมือง ไปจนถึง พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2562 ที่เป็นการแก้ไขจากฉบับเดิม ปี 2535 โดยมีการปลดล็อคให้โรงงานขนาดเล็กออกจากการควบคุม, ตัดอำนาจจากกรมโรงงานเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ทั้งยังเปิดช่องให้เอกชนตรวจสอบกันเอง 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บทความนี้ต้องการสะท้อนเป็นอีกด้านหนึ่งของสมการหลายตัวแปรนี้ ว่าด้วยการผูกขาดในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย ซึ่งแม้ ‘หมิงตี้’ จะเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายสำคัญ แต่ไม่ใกล้เคียงการเป็นรายใหญ่ - บทบาทที่ กลุ่ม ปตท.และซีเมนต์ไทย เป็นผู้ครอบครอง 

ศูนย์วิจัยกรุงศรีชี้ข้อมูลว่า ในปี 2561 ประเทศไทยมีกำลังผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั้งสิ้น 32 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในอาเซียน และรั้งอันดับที่ 16 ของโลก  

ในจำนวนผู้ผลิตนั้น พบว่า กลุ่มปตท. (PTT group) ครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 54% โดยมีกลุ่มซีเมนต์ไทย (SCG group) เป็นรายใหญ่เจ้าที่สองด้วยสัดส่วน 29% หรือหมายความว่าผู้เล่นเพียงสองรายนี้ครองตลาดไปแล้วกว่า 83% 

  • ‘มีอำนาจเหนือตลาด’ ไม่นับว่าผิดกฎหมาย

ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 ให้นิยายของ ‘ผู้มีอำนาจเหนือตลาด’ ไว้อย่างชัดเจน แบ่งเป็นสองกรณี 

กรณีที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจรายเดียว มีส่วนแบ่งตลาดในปีที่ผ่านมาของสินค้าหรือบริการหนึ่งตั้งแต่ 50% ขึ้นไป และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป

กรณีที่ 2 ผู้ประกอบธุรกิจ 3 รายแรกของตลาดสินค้าหรือบริการหนึ่ง มีส่วนแบ่งตลาดในปีที่ผ่านมารวมกันกัน 75% และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป

สำหรับ ปตท.นั้น เข้าข่ายผู้มีอำนาจเหนือตลาดตั้งแต่ส่วนแบ่งที่เกิน 50% อีกทั้ง รายได้ของปี 2563 ยังสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท - ซึ่งต้องบอกว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำลงมามากแล้วจากช่วงปี 2561-2562 ที่รายได้ ปตท.ขึ้นไปแตะถึง 2.2-2.3 ล้านล้านบาท 

อย่างไรก็ดี ประชาชนต้องไม่ลืมว่าแม้ ปตท.จะเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด แต่ตามกฎหมายนั้นไม่ได้มีความผิด ตราบใดที่ไม่ใช่อำนาจตามเงื่อนไขด้านล่่าง

1.กำหนดหรือรักษาระดับราคาซื้อหรือราคาขายหรือค่าบริการอย่างไม่เป็นธรรม

2.กำหนดเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมให้คู่ค้าของตนต้องจำกัด การบริการ การผลิต การซื้อ หรือการขายสินค้า หรือจำกัดโอกาสในการเลือกซื้อสินค้า การได้รับหรือให้บริการ หรือในการจัดหาสินเชื่อจากผู้ประกอบธุรกิจอื่น

3.ระงับ ลด หรือจำกัดการบริการ การผลิต การซื้อ การขาย การส่งมอบ การนำเข้า โดยไม่มีเหตุผลสมควร รวมถึงการทำลายหรือทำให้สินค้าเสียหายเพื่อลดปริมาณสินค้าให้ต่ำกว่าความต้องการของตลาด 

4.แทรกแซงธุรกิจผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร 

ส่วนแบ่งในตลาดปิโตรเคมี 

หากกลับมาพิจารณาที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี จะพบว่า ทั้งสองกลุ่มผู้ครองตลาดเน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยกลุ่มปตท.เน้นในฝั่งอุตสาหกรรมต้นน้ำเป็นหลัก เช่น การขุดเจาะและผลิตก๊าซ, โรงกลั่นน้ำมัน และมีการผลิตผลติภัณฑ์ปิโตรเคมีหลายประเภท ขณะที่กลุ่มซีเมนต์ไทยเน้นทำธุรกิจต่อเนื่องจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภคและวัสดุก่อสร้าง  

สำหรับผู้ผลิตปิโตรเคมีรายอื่นๆ จะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางและปลาย ซึ่งมีทั้งที่เป็นบริษัทข้ามชาติหรือร่วมลงทุนกับต่างชาติ เช่น อินโดรามา (Indorama) Exxon และ Ming Dih รวมถึงผู้ผลิตสัญชาติไทย เช่น วีนิไทย

  • ตารางแสดงผู้เล่นและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย ที่มา; ศูนย์วิจัยกรุงศรี

ตามปกตินั้น การผลิตปิโตรเคมีจะแบ่งเป็น 4 ขั้น ซึ่งแต่ละขั้นก็จะมีผู้เล่นซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ดังที่จะเห็นได้จากรูปแบบการทำธุรกิจข้างต้น ซึ่งฝั่ง ปตท.เน้นไปที่การผลิตขึ้นต้น ขณะผู้ผลิตอื่นๆ เน้นไปที่ปลายน้ำ 

ปิโตรเลียม เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอันสลับซับซ้อน ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในชั้นหินใต้พื้นผิวโลก มีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักคือ ไฮโดรเจน และคาร์บอน

ปิโตรเลียม ได้จากการสลายตัวของอินทรีย์สารจำนวนมาก ทับถมกันในหินตะกอน ภายใต้ความร้อนและความดันมหาศาล เมื่อนำมากลั่นจะได้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา ยางมะตอย รวมทั้งเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช พลาสติก และยางสังเคราะห์ เป็นต้น

น้ำมันดิบ ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด

  • น้ำมันดิบชนิดที่ไม่มีไขมาก (paraffin base)
  • น้ำมันดิบชนิดที่มียางมะตอยมาก (asphalt/naphthenic base)
  • น้ำมันดิบชนิดผสม (mixed base) น้ำมันดิบโดยทั่วไปจะมีสีดำหรือสีน้ำตาล มีกลิ่นคล้ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป

การสำรวจพบปิโตรเลียมครั้งแรกในประเทศไทยเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในปี

  • พ.ศ.2461 เมื่อชาวบ้านฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบน้ำมันไหลซึมขึ้นมาบนพื้นดิน
  • พ.ศ. 2491 กรมโลหกิจ (กรมทรัพยากรธรณีในปัจจุบัน) จึงเข้าไปสำรวจที่แอ่งฝางอีกครั้ง โดยใช้วิธีการสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนเพื่อกำหนดตำแหน่งของหลุมเจาะ ทำให้สามารถผลิตน้ำมันได้วันละประมาณ 20 บาเรล ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 พื้นที่นี้ก็ถูกโอนให้ไปอยู่ใต้การดำเนินงานของกระทรวงกลาโหมอีกครั้งหนึ่ง และสามารถทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นเป็นวันละประมาณ 1,000 บาเรล
  • พ.ศ.2514 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติปิโตรเลียม ทำให้เอกชนสนใจแหล่งปิโตรเลียมกันอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งปีพ.ศ.2516 ได้พบก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมากครั้งแรกในอ่าวไทยในหลุมผลิตของ บริษัทยูโนแคลไทยแลนด์ จำกัด ชื่อว่า “แหล่งเอราวัณ” ซึ่งสามารถพัฒนาขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้

โดยจำแนกตามปริมาณของกำมะถันเนื่องจากในน้ำมันดิบแต่ละแห่งมีปริมาณกำมะถันต่างกัน ซึ่งปริมาณกำมะถันที่มากทำให้น้ำมันมีฤทิธิ์เป็นกรด จึงจำแนกน้ำมันดิบเป็น 2 อย่างคือ

  • Sour Crude Oil น้ำมันดิบที่มีกำมะถันเจือปนอยู่ในสัดส่วนมากกว่า 0.5%
  • Sweet Crude Oil น้ำมันดิบที่มีกำมะถันเจือปนอยู่ในสัดส่วนต่ำกว่า 0.5%

Dry gas

หมายถึงแก๊สธรรมชาติที่ไม่มีส่วนผสมของแก๊สธรรมชาติเหลว (condensate) มีแต่แก๊สมีเทนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้มีราคาสูงกว่าแก๊สธรรมชาติชนิดอื่นๆ

ก๊าซมีเทน

ใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตปุ๋ย และอัดใส่ถังใช้เป็นเชื้อเพลิงรถโดยสาร เอ็นจีวี ( Natural gas for vehicles - NGV)

Wet gas

แก๊สธรรมชาติที่มีส่วนประกอบหลักเป็นพวกแก๊สธรรมชาติเหลว ได้แก่ โพรเพน บิวเทน เพนเทน และเฮกเซน แก๊สเหล่านี้จะกลายเป็นของเหลวได้ง่ายที่อุณหภูมิต่ำและความดันสูง

อีเทน และโพรเพน

ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied petroleum gas - LPG)

ซึ่งประกอบด้วยโพรเพนและบิวเทน ใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม เชื้อเพลิงสำหรับรถและอุตสาหกรรม

แก๊สโซลีนธรรมชาติ (Natural gas liquid - NGL)

ส่งเข้าโรงกลั่นเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินแก๊สธรรมชาติ

  1. OFFSHORE (แท่นขุดเจาะน้ำมัน)
  2. ลำเลียงก๊าซและน้ำมันเพื่อมาเข้าโรงงานกลั่นน้ำมันบนฝั่ง
  3. โรงกลั่นน้ำมัน , ผลิตภัณท์ปิโตรเคมี
  4. รถขนส่งน้ำมัน , ผลิตภัณท์ปิโตรเคมี
  5. ปั้มน้ำมันและผู้บริโภค

Hydrocarbon Releases , Dermatitis , Respiratory disease , การทำงานในที่สัมผัสเสียงดัง , การทำงานในที่สูง , อุบัติเหตุทางโครงสร้าง , การทำงานในที่อับอากาศ , อุบัติภัยต่างๆ เช่น ไฟไหม้ พายุ , โรคทางกระดูกและกล้ามเนื้อ , ความเครียด , สภาพจิตใจ

  1. Oil distillation กระบวนการกลั่น สิ่งคุกคาม คือ ความร้อน และ เสียงดัง
  2. Hydrocleaning กระบวนการทำความสะอาด
  3. Cracking กระบวนการแยกส่วน สิ่งคุกคาม คือ ความร้อน และ เสียงดัง
  4. Blending กระบวนการผสม

สิ่งคุกคามอื่นๆ ได้แก่ สารเคมีต่างๆ สิ่งที่น่ากลัวมากสุดคือที่ก่อให้เกิดมะเร็งแต่พบว่าความเสี่ยงต่ำเนื่องจากมาตรการการควบคุมที่เข้มงวดมีการสกัด Solvent extraction เพื่อนำ aromatic compound ออก และเติม hydrogen ให้ aromatic เพื่อให้อยู่ในรูปที่อิ่มตัว

พอลิไซคลิกแอโรแมติกไฮโดรคาร์บอน เป็นไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างเป็นวงแหวนมากกว่า 2 วงขึ้นไป และมีวงแหวนเบนซีนอย่างน้อย 1 วง

แหล่งที่มาของ PAHs

  • เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ การเกิดไฟป่าและการเกิดภูเขาไฟระเบิด
  • เกิดจากการกระทำของมนุษย์ที่จงใจให้เกิดขึ้น เช่น จากการผลิตปิโตรเคมี
  • เกิดจากการกระทำของมนุษย์ที่ไม่จงใจให้เกิดขึ้น ได้แก่ ควันจากการจุดธูป การเผาถ่าน การเผาไหม้ที่ไม่สมบรูณ์ของเชื้อเพลิงใน เครื่องยนต์ กระบวนการแปรรูปและปรุงอาหารที่ ทำให้เกิด PAHs ได้แก่ การอบขนม การเคี่ยวน้ำตาลเป็นคาราเมล การคั่วกาแฟ

ผลกระทบต่อสุขภาพ

  • ส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธ์
  • ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ
  • ระคายเคืองผิวหนัง
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อ มะเร็งปอด มะเร็งระบบสืบพันธ์ มะเร็งทางเดินปัสสาวะ และมะเร็งผิวหนัง

การสัมผัส PAH ในอุตสากรรมปิโตรเคมี

PAH มักสัมผัสใน fluid catalytic cracker , coke ,asphalt ซึ่งมักเป็น PAH ที่มี aromatic แค่ 2-3 วงจึงเสี่ยงมะเร็งน้อย

การป้องกัน

  • Close system
  • Personal protective equipment

จัดเป็นสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ไฮโดรคาร์บอนในกลุ่มอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์สำหรับเป็นตัวทำละลายในการผลิตทางอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมผงซักฟอก พลาสติก ยาฆ่าแมลง สีย้อมผ้า สี และหมึกพิมพ์ เป็นต้น

ลักษณะงานและอาชีพที่เสี่ยง

อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสารทำละลายเบนซีน ได้แก่ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมทำสี กาว การผลิตสีย้อม อุตสาหกรรมพลาสติก อุตสาหกรรมสิ่งทอ ผงซักฟอก อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ อุตสาหกรรมทำยางรถยนต์ รองเท้า