��ػ�Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ�� Show
�繨ش������鹢ͧ����֡������ͧ����ʹյ�����ʹ� �������Ƿҧ���й������ä鹤��������鹢����ŵ�ҧ� 2. ����Ǻ�����ѡ�ҹ �繡����鹢����Ũҡ���觵�ҧ� ������������ҧ��ҡ�������ᵡ��ҧ�ѹ ��������Һ����������ǡѺ����ͧ��Ƿ���ͧ����֡�Ҥ鹤��� 3. ����������� ��õդ�����С�û����Թ��ѡ�ҹ �繡�õ�Ǩ�ͺ��ѡ�ҹ ��������������еդ���������������稨�ԧ��������Ͷ��������Ѻ�������Ѻ�ҡ����ش 4. �����ػ���������§����稨�ԧ �繡�û����Ţ����Ũҡ��ѡ�ҹ��ҧ� �������Ǣ�ͧ �������������ŷ��ú��ǹ��������稨�ԧ�������ó� 5. ��ù��ʹԢ���稨�ԧ ���ʹ͢���稨�ԧ�����ҡ����֡�������º���§���Ժ�����ҧ���˵����� �¨е�ͧ�͡����Ңͧ��ѡ�ҹ�������觢��������ҧ�١��ͧ����Դ�� �����������ö��Ǩ�ͺ�� �����ѵ���Թ��������·�����˵ء�ó������ͧ�Ҩҡʹյ�Ҷ֧�Ѩ�غѹ�˵ء�ó����Դ�������¡�˹�ҹ�� �����觼š�з��Ҩ��֧�Ѩ�غѹ ����֡���˵ء�ó��Ӥѭ ����ö�֡�Ҩҡ��ѡ�ҹ������͡��õ�ҧ� �ӹǹ�ҡ����������㨢����������ҧ�١��ͧ�Ѵਹ 2. ทำการสืบค้นและรวบรวมข้อมูล การค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่ต้องการนั้น ต้องอาศัยระยะเวลา และต้องค้นจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น โบราณคดี โบราณวัตถุ หรือเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น จดหมายเหตุ หรือการสืบค้นจากแหล่งออนไลน์ต่างๆ 3. การวิเคราะห์และตีความหมายทางประวัติศาสตร์ โดยการนำข้อมูลที่สืบค้นได้มาเป็นเหตุและผลเพื่อตีความไปสู่การค้นพบข้อเท็จจริง กว่าจะมาเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับ ต้องผ่านกระบวนการหลายๆ อย่าง การศึกษาข้อมูลทางประวัติศาตร์อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เราลืมรากเหง้าของบรรพบุรุษนะครับ ซึ่งใช้ข้อมูลจากส่วนประกอบต่างๆ ทั้งเอกสาร จดหมายเหตุ โบราณวัตถุ โบราณสถาน แหล่งสถานที่ต่างๆ การบอกเล่า การถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง สำหรับการนำมาใช้อ้างอิง เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยง สร้างความสัมพันธ์และการเกี่ยวข้องกันให้ได้มากที่สุด เพื่อสำหรับนำมาประกอบการศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ อธิบาย วิธีการทางประวัติศาสตร์ กับ ประวัติศาสตร์ ได้ว่าอย่างไร
ประวัติศาสตร์ หมายถึง เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยอดีต เป็นเหตุการณ์ที่อาจมีหลักฐานยืนยันการเกิดทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน หรือเป็นเหตุการณ์ที่อาจไม่มีหลักฐานยืนยันการเกิดทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักประวัติศาสตร์แล้วการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องมีขั้นตอนเฉพาะเรื่องราวที่ผ่านกระบวนการวิธีที่เรียกว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์
ขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ สามารถมาเชื่อมโยงกัน อย่างไร
เนื่องจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มีความละเอียดอ่อนต่อข้อมูล ทำให้ผู้ทำงานศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ต้องมีความรอบคอบ มีความรอบรู้ มีความช่างสังเกต และชอบตั้งคำถามอยู่เสมอๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัดหรือชัดเจนมากที่สุด การค้นหาหลักฐานจากหลายๆแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อนำมาประกอบเป็นข้อมูลสำหรับการใช้อ้างอิง เพราะเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลานั้น การดำเนินชีวิต วัฒนธรรมขนมธรรมต่างๆ ตลอดจนอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมการเป็นอยู่มีความแตกต่างกัน
วิธีการทางประวัติศาสตร์ 5 ขั้นตอนการศึกษา ค้นคว้า สืบค้น และต่อยอดข้อมูลทางประวัติศาสตร์ สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาและเรียนรู้เรื่องราวในอดีต มีความรักเห็นคุณค่า ชื่นชอบใส่ใจในประวัติศาสตร์ สามารถนำแนวทางวิธีการทางประวัติศาสตร์ 5 ขั้นตอน มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาเรียนรู้ และเป็นขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ ที่นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในสายงานอาชีพนี้ นำขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ มาใช้ทำงานในสายอาชีพของการปฏิบัติงานจริงทั้ง 5 ขั้นตอนดังนี้
การอธิบาย วิธีการทางประวัติศาสตร์ 5 ขั้นตอน เพื่อง่ายต่อการศึกษา สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาความสนใจในทางประวัติศาสตร์มากยิ่งขึ้น เพราะประวัติศาสตร์ คือศาสตร์ที่สนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ หากผู้ศึกษาได้เปิดใจยอมรับและชื่นชอบในประวัติศาสตร์
การกำหนดเรื่องที่ต้องการศึกษาข้อมูลสำหรับเรื่องราวในประวัติศาสตร์มีลักษณะกว้างมาก เนื่องจากหลักฐานในแต่ละยุคสมัยมีมากมายสำหรับการสืบค้นหา และในบางครั้งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ยังเป็นลักษณะข้อมูลที่กระจัดกระจาย ควรเริ่มวิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ ด้วยการกำหนดเป้าหมาย การตั้งจุดประสงค์ให้ตรงกับเป้าหมายที่เลือกเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัด มีความชัดเจน ไม่หลงประเด็นทางประวัติศาสตร์ และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือผู้ศึกษาต้องมีกระบวนการตั้งคำถามเมื่อเกิดความสงสัยและหาความตอบจากการตั้งคำถามนั้น เนื่องจากผู้ศึกษาทางประวัติศาสตร์อาจต้องมีจุดเด่นเสียสักหน่อยในเรื่องของการเป็นคนช่างสังเกต มีทักษะชอบการอ่าน ชอบการสืบค้น และไม่ท้อแท้ต่อการนำข้อมูลมาจากแหล่งต่างๆที่ได้จากการอ่าน การสืบค้น หรือการลงสถานที่จริง เพื่อให้ได้หลักฐานที่มากเพียงพอต่อการตอบคำถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องคือใคร ผลกระทบของเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร ตลอดจนการมีข้อเสนอแนะต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นนั้นๆ\
การนำหลักฐานมารวบรวมเอกสารหลักฐานในวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์เมื่อได้ข้อมูลมา จะเป็นลักษณะของข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏชัดเจนหรือเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้การรวบรวมข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้มานั้น แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ หลักฐานหลัก (หลักฐานชั้นปฐมภูมิ) และหลักฐานรอง (หลักฐานชั้นทุติภูมิ)
ข้อแตกต่างระหว่างหลักฐานหลักและหลักฐานรอง คือ หลักฐานหลักเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการบันทึกเรื่องราวในประวัติศาสตร์จริงจากผู้ที่เห็นเหตุการณ์หรือผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นๆ หรือจากการที่ได้รับฟังโดยตรงจากคนใกล้ชิดกับผู้ที่เผชิญกับเหตุการณ์นั้นๆในทางประวัติศาสตร์ ส่วนหลักฐานรองก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะเป็นตัวสนับสนุนช่วยทำให้หลักฐานหลักมีน้ำหนักครบถ้วนและมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สามารถช่วยในการอธิบายขยายความเพื่อให้ครบองค์ประกอบของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นได้ ตลอดจนหลักฐานทั้งสองประเภทนี้ที่ได้จากการรวบรวมนั้นสามารถนำมาใช้ในทางวิธีการประวัติศาสตร์ได้อย่างมีคุณค่า มีคุณภาพ เป็นประโยชน์ต่อไปสำหรับเยาวชนและคนรุ่นหลัง
การนำหลักฐานที่ได้มาประเมินคุณค่าเป็นการประเมินคุณค่าของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้มาว่านอกจากความสอดคล้อง ความเชื่อมโยงของหลักฐานหลักและหลักฐานรองที่ปรากฏแล้ว ยังเป็นการเมินด้วยว่า หลักฐานทั้งหมดนั้นเป็นหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นหลักฐานที่เสริมปรุงแต่ง ดัดแปลงจากความเป็นจริงเพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้ข้อมูลที่คาดเคลื่อนหรือเข้าใจในเชิงประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์นั้นๆเปลี่ยนไป หรือการนำมาตัดต่อด้วยวิธีการนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ แม้ว่าหลักการทางประวัติศาสตร์สามารถถูกค้นพบได้เรื่อย ๆ จากหลักฐานใหม่ๆที่เป็นข้อมูลจริงแต่ยังไม่มีนักวิชาการทางประวัติศาสตร์หรือผู้ที่สนใจในศาสตร์นี้ยังไม่ได้ถูกค้นพบ เช่น หลักฐานในทางประวัติศาสตร์บางชิ้นที่อาจยังถูกฝั่งอยู่ใต้พื้นแผ่นดินแต่ยังไม่มีผู้ใดขุดหรือค้นพบเจอหลักฐานชิ้นนั้น อาจจะเป็นด้วยเรื่องของข้อจำกัดของสถานที่ ข้อจำกัดของเวลา ข้อจำกัดของกฎหมาย และข้อจำกัดอื่น ๆ เป็นต้น
การนำหลักฐานข้อมูลมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ จัดหมวดหมู่สำหรับนักวิชาการในทางประวัติศาสตร์หรือผู้ที่มีความสนใจในทางประวัติศาสตร์ การนำหลักฐานที่ผ่านการตรวจสอบว่าเป็นความจริงแล้ว ในขั้นตอนการนำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ โดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวนั้น แม้ว่าหลักๆแล้ววิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง การรวบรวมข้อมูลที่ได้มาศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์แล้วก็ตาม แต่การนำมาจัดเป็นหมวดหมู่นั้น ประโยชน์เพื่อง่ายต่อการค้นหา ต่อการนำไปใช้ และต่อการศึกษาวิจัยต่อยอดเส้นทางของประวัติศาสตร์ ตลอดจนเป็นการอัพเดทข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ใหม่ๆที่ได้จากการค้นคว้าเพิ่มน้ำหนักความน่าเอถือของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาของประวัติศาสตร์นั้นๆ หรือเป็นการเพิ่มข้อมูลหลักฐานใหม่ๆที่ยังไม่เคยถูกค้นพบทำให้เหตุการณ์นั้นๆในประวัติศาสตร์มีความสมจริงและตรงประเด็นมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจุดเด่นๆเลยของนักวิชาการและผู้ที่มีความสนใจในเส้นทางประวัติศาสตร์ต้องมีวางตัวให้มีความเป็นกลาง ไม่เบี่ยงเบนประเด็นหรือข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับมา ใส่ใจในรายละเอียด มีความรอบคอบถี่ถ้วน มีทัศนคติการเปิดใจยอมรับ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์ทางประวัติศาสตร์ มีความกระตือรือร้นสนใจหาความรู้และแหล่งข้อมูลใหม่ๆอยู่เสมอๆ ตลอดจนสามรถนำข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน การจัดเรียงลำดับความสำคัญของเหตุการณ์อย่างเที่ยงธรรม ถูกต้องและสมบูรณ์ให้ได้มากที่สุด
การนำข้อมูลมาเรียบเรียงและการนำเสนอในการนำข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่ได้มาทั้งหมด มาเรียบเรียงเชื่อมโยงทางความสัมพันธ์ของหลักฐานข้อมูลให้เกิดความสอดคล้อง มีเหตุผลหลักฐานในประวัติศาสตร์รองรับมิใช่การอ้างมาลอยๆ นี่คือขั้นตอนประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญมากๆ ในขั้นตอนนี้ผู้เรียบเรียงต้องละความอคติและความรักความชอบส่วนตนออกไป มีความเป็นกลางความเป็นธรรมและความซื่อสัตย์ จริงใจต่อข้อมูล นี่คือสิ่งที่เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญมากในการเรียบเรียบให้ตรงตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในตอนต้น เพื่อสู่การนำเสนอให้ตรงประเด็น เข้าใจง่ายและมีความสมจริงในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สู่ขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์นั้นก็คือ การนำเสนอหลักฐานและข้อมูลในทางประวัติศาสตร์ จากการถ่ายทอดข้อมูลที่ง่ายต่อความเข้าใจของผู้รับฟังหรือผู้อ่าน ข้อมูลใหม่ที่ได้สนับสนุนข้อมูลเดิมที่มีในทางประวัติศาสตร์ เพื่อทำให้มีน้ำหนักและมีความน่าเชื่อถือ สู่การยอมรับในทางประวัติศาสตร์มากยิ่งขึ้น ขั้นตอนของการนำเสนอนี้การอธิบาย การพรรณนา การเปรียบเทียบ การเชื่อมโยงจึงเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้ว่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์จะผ่านมาแล้ว ไม่สามารถย้อนเวลากับไปเพื่อแก้ไขอดีตได้ แต่การศึกษาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นอีกหนึ่งของการสร้างความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษ ในเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เพราะประวัติศาสตร์คือศาสตร์ของอารยประเทศที่มีเสน่ห์ แม้ว่าประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่ตำนานและนิทานหลอกเด็กเหมือนแต่เดิมที่เคยเข้าในกัน เพราะมีวิธีการทางประวัติศาสตร์และมีขั้นตอนในการศึกษามากมาย ประวัติศาสตร์จึงเป็นทั้งศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์ทางศิลปะ ที่ประกอบด้วยหลักเหตุผลรองรับด้วยข้อมูลที่เป็นความจริงที่สามารถสืบค้นได้ มีมนต์เสน่ห์ของกลิ่นไอทางวัฒนธรรม เอกลักษณ์ ความเป็นอยู่ เรื่องราวดีๆและเรื่องราวๆต่างๆที่น่าสนใจในทางประวัติศาสตร์ และที่สำคัญหากได้ศึกษาในเรื่องของประวัติศาสตร์อย่างจริงจังจะค้นพบว่า สนุก ตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อ มีความน่ามหัศจรรย์ในการดำเนินชีวิตในแต่ละยุคแต่ละสมัย จนสามารถมีวิวัฒนาการที่พัฒนาขึ้นเจริญเติบโตมาเรื่อยๆ นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ที่ปรากฏหลักฐานเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนคนรุ่นหลังสำหรับการสืบค้นและการศึกษาเรียนรู้ ตลอดจนเรื่องราวจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นนั้นยังสามารถนำมาเป็นบทเรียน เป็นแบบอย่าง และใช้เป็นเครื่องเตือนสติ สอนใจ ในการดำเนินชีวิตได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่น่าจดจำ ทุกๆเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบเสมอ บางเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อาจส่งผลทำให้เปลี่ยนแปลงหรือสิ้นสุดระบบต่างๆไปและเปลี่ยนนำไปสู่ในสิ่งใหม่ๆที่ดีขึ้น ที่พัฒนาทันสมัยมากยิ่งขึ้นได้ การสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์มีอะไรบ้างในการสืบค้น ค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มีอยู่หลายวิธี เช่น จากหลักฐานทางวัตถุที่ขุดค้นพบ หลักฐานที่เป็นการ บันทึกลายลักษณ์อักษร หลักฐานจากค าบอกเล่า ซึ่งการรวบรวมเรื่องราวต่างๆทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ เรียกว่า วิธีการทาง ประวัติศาสตร์
ข้อใดเป็นขั้นตอนที่สําคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์๑. การกาหนดประเด็นที่จะศึกษา ๒. การสืบค้นและรวบรวมข้อมูล ๓. การวิเคราะห์และตีความข้อมูล ๔. การสังเคราะห์ข้อมูล ขั้นที่๑ การกาหนดประเด็นที่จะศึกษา โดยใช้การตั้งคาถามพื้นฐานหลัก ๕ คาถาม คือ
ประวัติมีความสําคัญอย่างไรประวัติศาสตร์ เป็นปัจจัยหนึ่งในการสร้างคุณค่าแห่งจริยธรรมและปลูกฝัง ให้เกิด พลังความรัก ความสามัคคีต่อท้องถิ่นและประเทศชาติ ในท้ายที่สุด การศึกษาประวัติศาสตร์จะทำให้เราได้รู้และเข้าใจตัวเอง ชุมชน รู้ศักยภาพและ ความสามารถในการที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้แค่ไหนและเพียงไร
นักประวัติศาสตร์มีวิธีการตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้อย่างไรบ้างทางประวัติศาสตร์จะใช้วิธีการประเมินคุณค่าของหลักฐานที่เรียกว่า การวิพากษ์ โดยพิจารณาว่าหลักฐานแต่ละชิ้นน่าเชื่อถือหรือไม่ สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้หรือไม่ ตรวจสอบความแท้-เทียม อายุความเก่าแก่ ซึ่งบางครั้งอาจต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดี หรือใช้การพิสูจน์หลักฐานด้วยวิทยาศาสตร์
|