19 มี.ค. 2022 กรณีศึกษา “ยุโรป” ทวีปที่เน้นขาย “เรื่องราว และ ยา” /โดย ลงทุนแมน ปี 2021 ยุโรปทั้งทวีป รวมรัสเซีย มี GDP คิดเป็นสัดส่วน 25% ของโลก ทวีปยุโรปที่ประกอบไปด้วยประเทศที่มั่งคั่งร่ำรวย เป็นเจ้าอาณานิคมไปทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
หากสังเกตจากบริษัทในตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรกของทวีปนี้ นั่นก็คือ “เรื่องราว และ ยา” เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ? หันมามองที่ฝั่งเอเชียตะวันออก บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ TSMC, Tencent และ Samsung ซึ่งก็เป็นบริษัทเทคโนโลยี และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หันมามองที่ยุโรป บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก กลับไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยี หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างสหรัฐอเมริกาหรือเอเชีย แต่เป็นบริษัท Nestlé ของสวิตเซอร์แลนด์ ผู้นำด้านอาหารและสินค้าโภชนาการของโลก เรียกได้ว่าบริษัทมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรกของฝั่งยุโรป แล้วสิ่งนี้จะชัดเจนมากขึ้นเมื่อดูมูลค่าของบริษัทอันดับต่อ ๆ มา.. อันดับ
4 เป็นบริษัท Novo Nordisk ของเดนมาร์ก ผู้ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน อันดับ 5 เป็นบริษัทเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้นน้ำของการผลิตชิป อย่าง ASML ของเนเธอร์แลนด์ อันดับ 6 Shell บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ อันดับ 7 คือ L'Oréal บริษัทเครื่องสำอางของฝรั่งเศส ที่ครองตลาดเครื่องสำอาง เวชสำอาง อันดับ 8 AstraZeneca บริษัทยาสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ซึ่งเป็นผู้นำด้านยารักษาโรค และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19 อันดับ 9 Prosus บริษัทจากเนเธอร์แลนด์ ที่ถือครองบริษัทเทคโนโลยี และถือหุ้นบริษัทสตาร์ตอัปเทคโนโลยีมากมายจากทั่วโลก และอันดับ 10 คือ Novartis บริษัทยาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ เรียกได้ว่า ในบริษัทมูลค่าระดับ Top 10 ของยุโรป หากไม่นับ ASML และ Prosus พูดง่าย ๆ ถ้ามองจากมูลค่าของบริษัทระดับ Top 10
ก็บอกได้เลยว่า แล้วการขายแต่ เรื่องราว กับ ยา กำลังบอกอะไรเรา ? เริ่มจากการขาย เรื่องราว.. หากเรามองรอบตัวให้ดี ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส หรือภาษาสเปน ที่ผู้คนใช้กันทั่วโลก งานศิลปะ สถาปัตยกรรม เพลงคลาสสิก ปรัชญา แฟชั่น แม้แต่เรื่องราว ทุกอย่างล้วนมีต้นกำเนิดมาจากยุโรป การมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งและมีวัฒนธรรมที่น่าค้นหา ทำให้ชาวยุโรปสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นจุดขาย สร้างสินค้าทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา เครื่องสำอาง น้ำหอม เพื่อขายให้กับผู้คนทั้งโลก ซึ่งประเทศฝรั่งเศส อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี นอกจากขายสินค้าแล้ว การบริการอย่างการท่องเที่ยว ก็เป็นที่มาของรายได้เป็นกอบเป็นกำ ยุโรปเป็นทวีปที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด มีมรดกโลกทางวัฒนธรรมมากที่สุด และรายได้หลักของหลาย ๆ ประเทศ เช่น สเปน กรีซ และโครเอเชีย ก็ล้วนมาจากภาคการท่องเที่ยว ยุโรปที่เคยเป็นจุดกำเนิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
เป็นที่ตั้งของโรงงานมากมาย ต่อมาคือ ยา.. ยุโรปก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการเภสัชกรรมของโลก เพราะมีองค์ความรู้ด้านเคมี และวิทยาการทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องใช้คนจำนวนมากสำหรับการทำการทดลองทางคลินิก โดยเฉพาะยารักษาโรคเรื้อรัง จะต้องมีผู้ป่วยมากพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป แน่นอนว่า ยุโรป เป็นทวีปที่ “แก่” ที่สุดในโลก ! อายุกลาง หรือ Median Age ของผู้คนในทวีปยุโรปอยู่ที่ 42 ปี ยิ่งในบางประเทศ ตัวเลขอาจเพิ่มสูงกว่านี้ เช่น เยอรมนี มีอายุกลางอยู่ที่ 47 ปี ซึ่งมากกว่าชาวอเมริกันที่มีอายุกลางอยู่ที่ 38 ปี และชาวจีนที่มีอายุกลางอยู่ที่ 37 ปี นอกจากผู้คนส่วนใหญ่จะมีอายุเลยเลข 4 แล้ว ยุโรปกำลังจะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุ และจะเป็นทวีปเดียวที่จะมีประชากรลดลงในปี 2050 หากเทียบกับประชากรในปี 2020 ซึ่งเรื่องนี้อาจจะทำให้การบริโภค และการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้ แล้วอนาคตของทวีปยุโรป จะเป็นอย่างไรต่อไปในวันที่ประชากรลดลง ? อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเอเชีย สหรัฐอเมริกา ไปจนถึงแอฟริกา ก็นับว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจ
สำหรับการเติบโตของเหล่าบริษัทยาในยุโรป ก็เป็นไปได้ว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจของยุโรป จะลดลงเหลือเพียง 1 ใน 4 และอาจน้อยลงไปอีกในอนาคต แต่ในขณะเดียวกัน ประชากรของยุโรปที่ลดลงไปด้วยนั้น ก็จะยังทำให้ผู้คนในยุโรปมีความมั่งคั่งร่ำรวยอยู่ เพราะขนาดของสินทรัพย์ต่อประชากรหนึ่งคนยังอยู่ในระดับที่สูง ถึงแม้ยุโรปจะไม่ได้โฟกัสไปที่การขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เหมือนอย่างสหรัฐอเมริกา หรือเอเชีย แต่ยุโรปก็อาศัยองค์ความรู้ด้านยา การแพทย์ หรือเทคโนโลยีเฉพาะทาง เพื่อสร้างสินค้าคุณภาพสูงอีกมากมาย |