กุ้งก้ามกรามมีความยาวประมาณ 13 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1 ฟุต น้ำหนักราว 1 กิโลกรัม เป็นกุ้งที่ถูกใช้ปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ต้มยำ เผา หรือทอด เป็นต้น เพราะเนื้อมีมาก เนื้อแน่น มัน อร่อย ทำให้มีราคาที่ขายสูง ปัจจุบันยังนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์น้ำสวยงามด้วย มีเปลือกสีเขียวอมสีฟ้าหรือม่วง ก้ามยาวมีสีครามหรือม่วงเข้ม ตลอดทั้งก้ามมีปุ่มตะปุ่มตะป่ำ โดยธรรมชาติจะอยู่ในแม่น้ำลำคลอง ในประเทศไทยพบแทบทุกจังหวัดในภาคกลางและภาคใต้ โดยพบทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย วางไข่ในน้ำกร่อยที่เค็มจัด อาหารได้แก่ ไส้เดือน, ตัวอ่อนของลูกน้ำ, ลูกไร, ลูกปลาขนาดเล็ก, ซากของสัตว์ต่าง ๆ และในบางโอกาสก็กินพวกเดียวกันเอง พบชุกชุมทำให้จับง่าย โดยเฉพาะในฤดูหนาว ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทำให้ปริมาณในธรรมชาติลดน้อยลง ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในจังหวัดต่าง ๆ แถบภาคกลางของไทย เช่น สุพรรณบุรี, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา เป็นต้น วิธีการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในรูปแบบต่าง ๆ การเลี้ยงกุ้งแม่น้ำในบ่อปูนซีเมนต์ การเลี้ยงกุ้งแม่น้ำในบ่อปูนขนาดใหญ่นั้น เป็นการเลี้ยงกุ้งที่ได้รับความนิยมมากกว่าบ่อขนาดเล็ก เพราะ สามารถเลี้ยงได้ทีละมาก ๆ ไม่ต้องสร้างบ่อหลายบ่อ ช่วยลดต้นทุนในการผลิต เหมาะสำหรับเลี้ยงไว้เพื่อจำหน่ายในปริมาณมาก ยิ่งกุ้งแม่น้ำเป็นกุ้งที่มีความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาของกุ้งแม่น้ำนั้นขยับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อน กก.ละ 300-500 บาท แต่เดียวนี้สามารถขายได้ถึง กก.ละ 600-800 บาท หรือถ้าใครทำการตลาดดีหน่อย เลี้ยงแล้วเปิดร้านขายปลีกส่งเข้าหน้าร้านตัวเอง สามารถขายได้ถึง กก.ละ 800-1,400 บาทเลยทีเดียว สำหรับการเลี้ยงก็ทำได้ไม่ยาก
ความต้องการบริโภคอาหารกุ้ง ปลา มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มสูงขึ้น การเพาะเลี้ยงไม่ว่าพื้นที่จะเป็นเช่นไร ขอเพียงแค่มีน้ำ ใช้เลี้ยงได้ตลอดทั้งปี ก็ถือเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่นิยมปลูกพืชสวน โดยเฉพาะมะพร้าว ที่เป็นพืชเศรษฐกิจประจำท้องถิ่น สวนต่าง ๆ เหล่านี้มักมีร่องสวนเป็นระยะ คุณสุชล สุขเกษมเจ้าของสวนมะพร้าว แห่งศูนย์การเรียนรู้บ้านสารภี จึงคิดใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์จากร่องสวน คุณสุชล เกษตรกรคนเก่ง ได้กล่าวให้ฟังว่า “ตามพื้นเพตนและคนในชุมชนมีอาชีพทำการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกมะพร้าวเพื่อนำมาเคี่ยวเป็นน้ำตาล สร้างรายได้ และของขึ้นชื่อในจังหวัดสมุทรสงคราม ด้วยความที่ชอบศึกษาเรียนรู้ และได้รับการสนับสนุนจากภาคส่วนราชการ และสถานศึกษา เมื่อปี 2547 จึงเกิด ศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงบ้านสารภี ขึ้นมา เพื่อประโยชน์ด้านการเรียนรู้ เมื่อก่อนนี้ ตนมองว่าร่องน้ำในสวนมะพร้าวมีประโยชน์ จึงนำกุ้งก้ามกราม หรือที่เรียกว่า กุ้งหลวง หรือกุ้งแม่น้ำ กุ้งน้ำจืด ที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว มาทดลองเลี้ยงในกระชัง ในร่องสวน กุ้งน้ำจืดชนิดหนึ่งมีลำตัวยาวประมาณ 11-13 เซนติเมตร เปลือกสีเขียวอมฟ้า หรือม่วง ก้ามยาว มีสีม่วงเข้ม ตลอดทั้งก้ามมีตะปุ่มตะป่ำ ส่วนมากจะอาศัยอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง ทั้งที่เป็นในน้ำจืด และน้ำกร่อย ตอนนั้นจะรับซื้อลูกพันธุ์มาปล่อยกระชังละ 700-1,000 ตัว อาหารที่ให้เป็นไข่ ชงกับน้ำร้อน ให้กินในช่วงแรกได้ผลดี กุ้งก้ามกรามเจริญเติบโตดีมาก แต่เมื่อเลี้ยงได้ขนาด ปริมาณลดน้อย เพราะปัญหาการกินกันเอง หลังการลอกคราบ ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงมาเป็นการเลี้ยงในกุ้งตะกร้า ร่องสวนมะพร้าวที่มีอยู่จะมีขนาดความกว้างประมาณ 1.5 เมตร มีความลึกประมาณ 1.5-2 เมตร ปล่อยน้ำขึ้น-ลงตามธรรมชาติ แต่ต้องมีการไหลเวียนตลอดเวลา เพราะกุ้งก้ามกรามที่เลี้ยงต้องใช้ออกซิเจนเพื่อการดำรงชีพ ในช่วงที่น้ำหยุดการเคลื่อนไหว การเพิ่มออกซิเจนให้กับกุ้ง คุณสุชลจะใช้การปั่นจักรยานน้ำเพื่อให้น้ำเคลื่อนตัว และการปล่อยปลากินพืชลงไปแหวกว่ายให้เกิดออกซิเจน จากนั้นจะใช้ไม้ปักกลางร่องสวนเป็นแนวยาว เพื่อแขวนตะกร้าเป็นที่อยู่ของกุ้ง แล้วปล่อยน้ำเข้าในร่องสวน เมื่อน้ำเต็มร่องสวนแล้วนำตะกร้าที่ใส่กุ้งก้ามกรามมาแขวนติดไว้กับไม้ที่ปักอยู่กลางร่องสวน โดยกุ้งก้ามกรามที่เลี้ยงนั้นจะได้จากการไปตกจากเขื่อน หรือจากแหล่งน้ำธรรมชาติ กุ้งที่ได้จะนำมาปล่อยรวมไว้ในกระชังเพื่อให้เกิดการรับสภาพ 2-3 วัน จากนั้นจึงแยกกุ้งไว้ในตะกร้า ตะกร้าละ 1 ตัว ซึ่งตะกร้าที่ใช้เลี้ยงกุ้งจะใช้ตะกร้าพลาสติกที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ราคาใบละ 20-30 บาท จำนวน 2 ใบ โดยทั้งสองข้างของตะกร้าจะต้องติดขวดน้ำพลาสติกไว้เพื่อพยุงให้ตะกร้าลอยในน้ำ หลังจากที่นำกุ้งใส่ลงไปในตะกร้าใดตะกร้าหนึ่งแล้ว จะใช้ตะกร้าอีกอันประกบทับแล้วมัดตะกร้าทั้ง 2 ให้ติดกัน ลักษณะเป็นกรงขังไม่ให้กุ้งหลุดรอดออกมาได้ และจะต้องเจาะช่องขนาดไม่ใหญ่ไว้ที่ตะกร้า เพื่อไว้สำหรับหย่อนอาหารให้กุ้งกินได้ จากนั้นนำตะกร้าไปแขวนกับไม้ที่ปักไว้ การให้อาหารกุ้งก้ามกราม อาหารกุ้งแบบลดต้นทุน คือ มะพร้าวทึนทึก ซึ่งเป็นผลผลิตจากสวน นำไปฉีกเป็นชิ้น ๆ ให้กุ้งกิน 1 ชิ้น จะเป็นอาหารกุ้งได้ 2-3 วัน และสลับด้วยการให้อาหารกุ้งเสริมเข้าไปด้วย การจำหน่ายกุ้งก้ามกราม การเลี้ยงกุ้งวิธีการนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 6-8 เดือน ถ้ากุ้งโตได้ขนาดแล้ว ก็สามารถจับกุ้งที่เลี้ยงในตะกร้าออกจำหน่ายได้ นอกจากนี้ยังมีผลผลิตจากการเลี้ยงปลาน้ำจืด ไม่ว่าจะเป็นปลานิล ปลาทับทิม ปลาตะเพียน และปลาแรด นอกจากเป็นตัวช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำให้แก่กุ้งก้ามกรามแล้ว ยังสามารถสร้างรายได้ อาหารกุ้งหว่านให้กุ้งก็เป็นอาหารปลา ส่วนของขับถ่ายจากปลาก็เป็นอาหารธรรมชาติให้กับกุ้งก้ามกรามอีกทางหนึ่ง ถือเป็นแนวทางการเลี้ยงกุ้งแบบใหม่ ที่ใช้พื้นที่ไม่มาก ต้นทุนต่ำ แต่ได้ผลตอบแทนสูง และเป็นรายได้เสริมที่คุ้มค่าให้เกษตรกร บนแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำรัสของในหลวง สำหรับเกษตรกรหรือผู้สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ เลี้ยงกุ้งก้ามกรามในตะกร้า สามารถติดต่อได้ที่ คุณสุชล สุขเกษม หมู่ที่ 7 ตำบลจอมปลวก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม 75120 โทร.08-6178-4157 การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแบบคอนโด พฤติกรรมของกุ้งก้ามกรามที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติมักจะชอบอาศัยอยู่ตามซอกหิน หรือโขดหินซึ่งใช้พื้นที่ไม่มากนัก กุ้งแต่ละตัวจะมีอาณาเขตของตัวเองอีกทั้งกุ้งก้ามกรามไม่ต้องการพื้นที่ในการดำรงชีวิตมากนัก จากแนวคิดนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำกุ้งก้ามกรามมาทดลองในขวดพลาสติกได้ แต่จะต้องยึดหลักการที่สำคัญว่าน้ำที่ใช้เลี้ยงและอาหารจะต้องดี โดยใช้กุ้งก้ามกรามขนาด 20-30 ต่อกิโลกรัมมาเลี้ยงในขวดพลาสติกขนาดบรรจุ 5 ลิตร โดยเลี้ยงขวดละ 1 ตัวใช้ระบบการเลี้ยงในระบบปิด น้ำที่ใช้เลี้ยงจะต้องหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ กุ้งที่คัดมาเลี้ยงจะต้องมีความสมบูรณ์ ขาและก้ามอยู่ครบและไม่มีแผลตามลำตัว ใช้อาหารกุ้งกุลาดำเลี้ยงวันละ 2 ครั้งคือ เช้า-เย็น อัตราประมาณ 5% ของน้ำหนักตัวกุ้ง
สำหรับเกษตรกรที่คิดจะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแบบคอนโดในเชิงพาณิชย์ ควรจะเลี้ยงในแม่น้ำและสร้างกระชังเลี้ยง เนื่องจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าไฟฟ้าและการจัดการในเรื่องระบบการหมุนเวียนของน้ำ ขนาดของกระชังที่แนะนำคือ 25 ตารางเมตร วางตะกร้าเลี้ยงกุ้งได้ 120 ตะกร้า ที่ใช้เลี้ยงจะต้องใช้ตะกร้าพลาสติก ที่มีฝาปิดเพื่อป้องกันกุ้งหลบหนี ในการแขวนตะกร้าควรจะแขวนเป็นแถวและจะต้องแขวนให้สามารถเคลื่อนไหวได้ อย่ามัดตะกร้าติดกับคานจนแน่น เพราะถ้าตะกร้าไม่มีการเคลื่อนไหวตะกอนในน้ำจะตกค้างที่ก้นตะกร้ามากและการถ่ายเทน้ำจะไม่ดีกุ้งจะตายได้ง่าย เลี้ยงกุ้งก้ามกรามในนา สมบูรณ์ ลาภเกิด เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง อ.บางแพ จ.ราชบุรี เล่าถึงที่มาของการเลี้ยงกุ้ง 5 ปี ไม่เปลี่ยนน้ำ มาจากแนวคิดนำน้ำใช้แล้วมาใช้ใหม่ น่าจะดีกว่านำน้ำใหม่มาบำบัดเพราะน้ำใหม่เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า ผ่านการชะล้างมาอย่างไร มีสารเคมีอะไรปนเปื้อนมาบ้าง แต่น้ำที่ใช้แล้ว เราจะรู้หมดเลยว่า เราทำอะไรไปบ้าง จึงน่าจะดีกว่าน้ำใหม่ สำหรับวิธีการจัดการ ฟาร์มแห่งนี้มีบ่อเลี้ยงขนาด 4 ไร่ 4 บ่อ รอบบ่อเลี้ยงขุดเป็นคลองขนาดกว้าง 6-8 เมตร ยาวขนานไปกับบ่อเลี้ยงทั้งหมด อีกราว 4 ไร่ ใช้เป็นคลองรับน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เสมือนคลองบำบัดน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้เมื่อต้องการเติมน้ำในบ่อเลี้ยง หรือดึงน้ำมาใช้ในยามน้ำน้อย
ส่วนใครจะปล่อยกุ้งขาว กุ้งก้ามกราม ปลานิล พร้อมกันหรือปล่อยตัวไหนก่อนหลังยังไงก็ได้ ที่สำคัญ สัตว์น้ำทั้ง 3 ชนิดต้องปล่อยห่างกันไม่เกิน 7 วัน เพื่อให้ได้ขนาดไม่ต่างกันมาก จะได้จับขาย ได้พร้อมกัน เคล็ดลับที่ขาดไม่ได้คือ ต้องให้จุลินทรีย์บำบัดพื้นบ่อและรักษาสมดุลในบ่อ บ่อละ 0.5 กก. ทุกสัปดาห์ การเลี้ยงวิธีนี้ ไม่เพียงช่วยลดปัญหาสังคม ลดความขัดแย้งกับนาข้าว ยังช่วยกระจายความเสี่ยงเรื่องราคาตกต่ำได้ดีกว่าเลี้ยงกุ้งขาวอย่างเดียว เพราะเกิดกุ้งขาวราคาตก ยังมีปลานิล และกุ้งก้ามกรามมาชดเชยความเสียหายได้ การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในกระชัง การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามเป็นอาชีพหนึ่ง ซึ่งทำรายได้ดีให้แก่ผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงให้ประสบผลสำเร็จนั้น ต้องอาศัยความรู้ความเอาใจใส่ พร้อมทั้งได้พันธุ์กุ้งก้ามกรามที่ดีและแข็งแรง ดังนั้นเกษตรกรควรจะมีทักษะและความรู้ความเข้าใจ เพื่อเป็นแนวทางในการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามให้ได้ผลสำเร็จสูง การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามนั้นจะมาไม่นิยมเลี้ยงในกระชัง เพราะการเลี้ยงกุ้งจะเกิดของเสียจากาอาหารกุ้งจำนวนมาก จะต้องมีการใช้จุลินทรีย์ช่วยในการบำบัดน้ำเสียดังนั้นจึงไม่มีใครเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในกระชัง ปัจจัยจำเป็นที่ต้องใช้
การออกแบบบ่อและการก่อสร้าง ต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ คือ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ความสะดวกในการดูแลรักษาและการจัดการรูปทรงควรเป็นสี่เหลี่ยม ผืนผ้า เพื่อสะดวกในการจัดการและการจับผลผลิต บ่อกว้างประมาณ 25 เมตร แต่ไม่ควรเกิน 50 เมตร การเตรียมบ่อเลี้ยง(เลี้ยงในกระชังไม่ได้) ควรสูบน้ำออกจากปอให้แห้งเพื่อกำจัดศัตรูกุ้งที่เหลือ หว่านปูนขาวทันทีในขณะดินเปียกในอัตรา60 – 100 กิโลกรัมต่อไร่ ศัตรูกุ้ง ได้แก่ ปลาชนิดต่าง ๆ กบ เขียด ปู นก ชนิดต่าง ๆ การกำจัด อาจใช้ปูนขาว โล่ตื้น กากชา หรือสารเคมีชนิดอื่น ๆ กำจัด พันธุ์ไม้น้ำและวัชพืชซึ่งเป็นแหล่งหลบซ่อนของศัตรูกุ้งและส่วนที่ตาย จะเน่าเสียอันตรายต่อกุ้งที่เลี้ยงได้ วัชพืชต่าง ๆ จะเป็นอุปสรรคต่อ การจับกุ้ง ทำให้การเลี้ยงได้ผลผลิต ไม่แน่นอนการตากปอจะช่วย ให้แก๊สพิษบางตัวที่ผังกันบ่อ ระเหยและถูกทำลายโดยแสงแดดและ ความร้อน ทั้งยังเป็นการฆ่าเชื้อโรคที่อยู่บริเวณกันบ่อเป็นการทำให้ หน้าดินในปอเลี้ยงกุ้งมีคุณภาพดีขึ้น(กระชัง) การปล่อยพันธุ์กุ้งลงเลี้ยง เวลาที่ปล่อยพันธุ์กุ้งเลี้ยงดีที่สุดคือเวลาเช้าหรือเวลาเย็น นำถุงพลาสติกที่บรรจุลูกกุ้งแช่ในปอประมาณ 20 นาทีเพื่อปรับ อุณหภูมิน้ำ ระดับน้ำในปอไม่ควรต่ำกว่า 60 เซนติเมตรพันธุ์กุ้งที่ นำมาปล่อยควรปรับให้อยู่ในสภาพน้ำจืดแล้วไม่ต่ำกว่า 2 – 3 มี ลักษณะการเคลื่อนไหวปราดเปรียวอัตราการปล่อยกุ้งลงเลี้ยงที่ เหมาะสมอยู่ระหว่าง 10 ตัวต่อตารางเมตร อาหารและการให้อาหาร อาหารของกุ้งควรเป็นอาหารจมชนิดเม็ดหรือแท่งสั้นๆ เพื่อ สะดวกในการกัดกินและคงสภาพน้ำได้นานประมาณ 6 – 12 ชั่วโมง โดยไม่ละลายน้ำ อาหารที่ใหม่จะมีกลิ่นหอมช่วยให้กุ้งกินอาหารได้ดี การเพิ่มหรือลดอาหารที่ให้ต่อวันทำได้โดยการตรวจสอบการกินอาหาร ของกุ้งในแต่ละวันเสียก่อนว่าเหลือหรือไม่ วันใดฝนตกหรือมีอากาศ เปลี่ยนแปลงมากๆ หรือมีหมอกลง ไม่สมควรให้อาหารหรืออาจจะ ให้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย ผลผลิต ระยะเวลาการเลียงขึ้นอยู่กับขนาดของกุ้งที่ตลาดต้องการ – โดยทั่วไปหลังจากเลี้ยงแล้ว 6 เดือน จะเริ่มทำการคัดกุ้งขนดใหญ่ – ที่ออกขายหลังจากนั้นในช่วง 1.5 – 2 เดือนจะทำการจับ ถ้ามีกุ้ง น้อยควรวิดบ่อจับกุ้งขายให้หมด ผลผลิตกุ้งอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยประมาณ 200 กก. ต่อไร่ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราการรอดตายของกุ้ง ศัตรูกุ้ง และการดูแลเอาใจใส่ทั้งถึง ตัวผู้ที่มีขายาวและก้ามยาวใหญ่ จะมีราคาถูกกว่ากุ้งตัวผู้ลักษณะธรรมดา การตลาดและผลตอบแทน ถ้าขายส่งคละทั้งตัวผู้และตัวเมียราคา 80 – 100 บาทต่อกิโลกรัม หากคัดขายเฉพาะกุ้งตัวผู้ ราคา 100 – 120 บาทต่อกิโลกรัม ส่วน กุ้งตัวเมียราคา 55 – 70 บาท ต่อกิโลกรัม แม้ว่าว่าจะไม่มีการเลี้ยงกุ้งในกระชัง แต่ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการโฆษณากระชังเท่านั้น ขอบคุณที่คลิกมาอ่านเรื่องกระชังของเรา
ที่มา https://www.palangkaset.com/สัตว์น้ำ/เลี้ยงกุ้งก้ามกรามในตะ/ http://postnoname.com/farm-giant-freshwater-prawn-in-cement-pond/ https://www.otopmidyear.com/page-68.html http://www.tipwarinfarm.com/index.php/news-and-informations/1-เลี้ยงกุ้งในดงนา-5-ปี…ไม่เปลี่ยนน้ำ.html |