เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

 

เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

เว็บไซต์ที่ดี มีลักษณะเป็นอย่างไร?

เมื่อการธุรกิจออนไลน์สมัยนี้จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางในการเข้าถึงลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับบริการและผลิตภัณฑ์ของเราได้ ดังนั้นการมีเว็บไซต์ที่สามารถช่วยในบริการตรงนี้ให้ได้เป็นอย่างดี แล้ว เว็บไซต์ที่ดี นั้น มีลักษณะเป็นอย่างไร?

4 ลักษณะ เว็บไซต์ที่ดี

ก่อนที่จะสร้าง เว็บไซต์ที่ดี เราควรมาดูลักษณะและองค์ประกอบกันก่อนว่าควรเป็นอย่างไร?

เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่ดี
ผู้ใช้งานส่วนมากเข้ามายังเว็บไซต์เพื่อต้องการข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์เมื่อพวกเขากลับออกไป ดังนั้นหากเว็บไซต์มีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่ดีก็จะช่วยให้เกิดความประทับใจเพื่อที่จะใช้บริการต่อๆ ไปได้ โดยสิ่งที่ต้องคำนึงมีดังต่อไปนี้

  • รองรับการใช้งานได้ทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต
  • แสดงผลได้ทุกๆ Browser ไม่ว่าจะเป็น Firefox, Chrome, Safari
  • ควรใช้ Font มาตรฐาน เพราะหากใช้ Font พิเศษที่ Browser ไม่ได้ทำการติดตั้ง อาจทำไม่สามารถอ่านข้อมูลได้

ความเร็วในการแสดงผลข้อมูล
เว็บไซต์ที่ดีนั้นไม่ควรมีการประมวลผลข้อมูลหน้าเว็บไซต์ที่ช้าเกินไป เพราะถ้าข้อมูลเว็บไซต์ของคุณนั้นประมวลผลช้า อาจส่งผลเสียทำให้ผู้ใช้งานปิดหน้าเว็บของคุณไปได้ในทันที โดยวิธีแก้ไขมีง่ายๆ ดังนี้

  • ขนาดภาพที่ใช้ หากขนาดของไฟล์รูปใหญ่เกินไปและมีรูปภาพขนาดใหญ่ จะส่งผลต่อความเร็ว ควรเลือกใช้การ “Save for Web” และบันทึกนามสกุลเป็นไฟล์ .JPG หรือ .GIF
  • ตรวจสอบการแสดงผลภาพเคลื่อนไหวแบบ Flash การใช้ภาพเคลื่อนไหวมีการส่งผลต่อความเร็วเว็บไซต์เช่นกันและอาจไม่แสดงผลในบางอุปกรณ์ จึงควรทดสอบความเร็วและการแสดงผลหน้าเว็บก่อนเสมอ

ความง่ายในการใช้งาน
ควรมีการแบ่งหมวดหมู่ของข้อมูลอย่างชัดเจน เพื่อลดเวลาในการค้นหาข้อมูล พร้อมเพิ่มความสะดวกโดยการมี Footer Menu เพื่อคลิกไปยังหน้าอื่นๆ ได้โดยไม่ต้อง Scroll หน้าขึ้นไปด้านบน

ความน่าเชื่อของเว็บไซต์
ความน่าเชื่อเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในธุรกิจออนไลน์ เนื่องจากว่าลูกค้าไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสินค้าที่ได้เลือกซื้อไปนั้น มีคุณภาพและน่าเชื่อถือหรือไม่ ดังนั้นความน่าเชื่อถือเหล่านี้สามารถสร้างได้จากหน้าเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางการขายของธุรกิจ 

ที่มา : [1]

Supattra Ammaranon x Digital Marketing Wow

Post Views: 1,845

Recommended Posts

บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการเช็คความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เพื่อความปลอดภัยในการเข้าใช้ นอกจากข้อควรระวังเบื้องต้นเวลาท่องเว็บแล้ว คุณยังใช้ Transparency Report ของ Google หรือเว็บ Better Business Bureau ตรวจสอบเว็บไซต์ต้องสงสัยได้ด้วย

  1. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    1

    เอาชื่อเว็บไปค้นใน search engine แล้วดูผล. ถ้าเว็บต้องสงสัยนั้นอันตรายจริง (หรือเป็นเว็บที่โดน report บ่อยๆ) แค่เช็คใน Google ก็พอจะบอกได้แล้ว

    • ปกติ Google จะรวมรีวิวผู้ใช้ของเว็บที่คนเข้าเยอะๆ ไว้ที่ด้านบนของผลการค้นหา เพราะงั้นลองสังเกตดู
    • แต่ต้องดูดีๆ ว่ารีวิวกับ feedback นั้นไม่ใช่โฆษณาของ Google นะ

  2. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    2

    เช็คประเภทการเชื่อมต่อของเว็บนั้น. เว็บที่ใช้ "https" นั้นมักปลอดภัยกว่า (เลยน่าเชื่อถือกว่า) เว็บที่ใช้ "http" ธรรมดา เพราะ security certification ของเว็บแบบ "https" พวกเว็บหลอกลวงทั้งหลายไม่เสียเวลามาใช้กัน [1]

    • แต่บางเว็บที่เชื่อมต่อแบบ "https" ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป เพราะงั้นควรตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่นด้วย[2]
    • ยิ่งหน้าชำระเงินสินค้ายิ่งต้องมี "https"

  3. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    3

    เช็คสถานะเว็บว่าปลอดภัยไหมโดยดูที่แถบ address ของเบราว์เซอร์. เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่จะแสดงเว็บที่ "ปลอดภัย" โดยมีไอคอนรูปแม่กุญแจสีเขียวทางซ้ายของ URL ด้วย

    • คุณคลิกที่ไอคอนแม่กุญแจเพื่อดูรายละเอียดของเว็บได้เลย (เช่น ประเภทการเข้ารหัส)

  4. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    4

    ประเมินจาก URL ของเว็บ. URL ของเว็บจะประกอบไปด้วยประเภทการเชื่อมต่อ ("http" หรือ "https") domain name (เช่น "wikihow") แล้วก็นามสกุลของเว็บหรือ extension (เช่น ".com" หรือ ".net") ถึงประเภทการเชื่อมต่อจะปลอดภัยแล้ว แต่ก็ต้องระวังเรื่องต่อไปนี้ด้วย

    • ใน domain name มีเครื่องหมาย dash (-) หรือสัญลักษณ์อื่นเยอะๆ
    • ใช้ domain name เลียนแบบเว็บอื่น (เช่น "Amaz0n" หรือ "NikeOutlet")
    • เป็นเว็บเลียนแบบที่ copy เทมเพลตของเว็บดังๆ มา (เช่น "visihow")
    • ใช้นามสกุล (extensions) ของเว็บแปลกๆ เช่น ".biz" หรือ ".info" เว็บพวกนี้น่าสงสัยสุดๆ[3]
    • แต่ถึงจะลงท้ายด้วย ".com" หรือ ".net" ตามปกติ ซึ่งปกติจะไว้ใจได้ ก็เป็นนามสกุลเว็บที่ซื้อหามาใช้ได้ง่ายๆ เพราะงั้นก็ไม่น่าไว้ใจ 100% เหมือนพวกเว็บที่ลงท้ายด้วย ".edu" (พวกสถาบันการศึกษาต่างๆ) หรือ ".gov" (หน่วยงานราชการ) [4]

  5. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    5

    ใช้ภาษาผิดๆ. ถ้าสังเกตเห็นว่าเว็บนั้นสะกดผิดเยอะ (หรือมีคำตกหล่น) ใช้ภาษาวิบัติ หรือไม่ค่อยจะเป็นภาษามนุษย์ แสดงว่าเว็บนั้นชักจะยังไงๆ แล้ว

    • ถึงเว็บนั้นจะไม่ได้เป็นเว็บต้องสงสัย ไม่ใช่ scam หลอกลวง แต่ถ้าข้อมูลในเว็บนั้นชอบสะกดผิด ตกหล่น ก็ถือว่าไม่น่าใช้เป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูล

  6. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    6

    ระวังพวกโฆษณาแฝงไวรัส. ถ้าเว็บนั้นมีโฆษณาแออัดยัดเยียดกันเป็นพิเศษ หรือพวกโฆษณาที่เปิดเสียงอัตโนมัติ ก็ท่าทางจะไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ โดยเฉพาะถ้ามีโฆษณาลักษณะต่อไปนี้

    • โฆษณาที่ใหญ่เต็มหน้า
    • โฆษณาที่บังคับตอบแบบสอบถาม (หรือบังคับให้ทำอย่างอื่น) ก่อนถึงจะดูเนื้อหาในเว็บได้
    • โฆษณาที่ redirect คุณไปหน้าหรือเว็บอื่น
    • โฆษณาที่ล่อแหลมหรือไม่เหมาะสม

  7. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    7

    เช็คหน้า "Contact" ของเว็บ. แทบทุกเว็บจะมีหน้า Contact ไว้ให้คุณติดต่อสอบถามหรือส่งข้อความถึงเจ้าของเว็บ ถ้าเป็นไปได้ให้ลองโทรหรือส่งอีเมลไปตามที่ขึ้นในรายละเอียด เพื่อตรวจสอบว่าเว็บนั้นเชื่อถือได้หรือเปล่า

    • เลื่อนลงไปให้ถึงท้ายหน้า น่าจะมีลิงค์เข้าหน้า Contact
    • แต่ถ้าหาแล้วไม่มีหน้า Contact ก็เข้าข่ายเว็บน่าสงสัย

    โฆษณา

  1. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    1

  2. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    2

    คลิกช่อง "Search by URL". ตรงกลางหน้า

  3. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    3

    พิมพ์ URL ของเว็บลงไป. ก็คือชื่อเว็บ (เช่น "wikihow") แล้วก็นามสกุลเว็บ (เช่น ".com")

    • ทางที่ดีให้ copy URL ของเว็บมา paste ในช่องเลย

  4. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    4

    คลิกปุ่มรูปแว่นขยายสีน้ำเงิน.

  5. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    5

    ติดตามผล. เรตติ้งของเว็บจะมีตั้งแต่ "No data available" (ไม่พบข้อมูล) ไปจนถึง "Not dangerous" (ปลอดภัย) และ "Partially dangerous" (อันตรายนิดหน่อย)

    • เช่น เว็บวิกิฮาวของเรากับ YouTube จะเป็น "Not dangerous" (ปลอดภัย) ส่วนเว็บ Reddit นั้นได้ "Partially dangerous" (อันตรายนิดหน่อย) เพราะมี "deceptive content" คือเนื้อหาบางทีก็จริงบางทีก็ปลอม (เช่น โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ)
    • นอกจากนี้ Google Transparency Report ยังยกตัวอย่างด้วย ว่าทำไมถึงให้คะแนนเว็บไปแบบนั้น เพราะงั้นคุณก็พิจารณาเอาตามสะดวก ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อผลการตรวจสอบ

    โฆษณา

  1. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    1

    เข้าเว็บ Better Business Bureau. เว็บ Better Business Bureau จะมีขั้นตอนที่ใช้ตรวจสอบเว็บต้องสงสัยได้

    • แต่ Better Business Bureau จะค่อนไปทางเว็บของธุรกิจต่างๆ ถ้าแค่อยากตรวจสอบว่าเว็บนั้นเข้าได้ปลอดภัยดีไหม ให้ไปเช็คใน Google Transparency Report ดีกว่า

  2. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    2

    คลิก tab Find a Business.

  3. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    3

    คลิกช่อง "Find a" สำหรับพิมพ์ข้อความ.

  4. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    4

    พิมพ์ URL ของเว็บลงไป. ทางที่ดีให้ copy URL ของเว็บมา paste ในช่องเลย

  5. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    5

    คลิกช่อง "Near".

  6. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    6

    พิมพ์สถานที่. ไม่จำเป็น แต่ก็จะช่วยตีวงให้แคบขึ้นได้

    • ถ้าไม่รู้ที่อยู่ของเว็บ/ธุรกิจนั้น ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้

  7. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    7

    คลิก Search.

  8. เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

    8

    ติดตามผล. คุณเช็คความน่าเชื่อถือของเว็บได้ โดยเปรียบเทียบผลการค้นหาของ Better Business Bureau กับข้อมูลที่เว็บนั้นกล่าวอ้าง

    • เช่น ถ้าเว็บนั้นอ้างว่าขายรองเท้า แต่ Better Business Bureau โชว์ว่า URL นั้นลิงค์ไปที่เว็บโฆษณาหาเงิน ก็ชัดเจนว่าเป็นเว็บ scam หลอกลวง
    • แต่ถ้าผลการตรวจสอบของ Better Business Bureau นั้นตรงกันกับเนื้อหาในเว็บ ก็แสดงว่าเชื่อถือได้

    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • Wolfram Alpha ก็เป็นอีกเว็บที่ใช้ตรวจสอบเว็บต้องสงสัยได้

โฆษณา

คำเตือน

  • เว็บที่คนอ่านเป็นคนสร้างเนื้อหาด้วย (อย่าง eBay หรือ Craigslist) นั้นตรวจสอบแล้วจะไม่ค่อยออกมาว่า "ปลอดภัย" เพราะข้อมูลในเว็บเพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ถึงคุณจะไม่ติดไวรัสจากเว็บ eBay แต่ก็ต้องระวังเรื่องผู้ใช้อื่นอาจเป็น scam มาหลอกลวงคุณ

โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 27,854 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

สารานุกรมออนไลน์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคืออะไร

วิกิพีเดีย สารานุกรมดิจิทัลใช้สำหรับอ้างอิงข้อมูลใหญ่ที่สุดในโลกเว็บไซต์หนึ่ง ครบรอบก่อตั้งและเปิดให้บริการ 15 ปี ในวันนี้ พบคนทั่วโลกแห่ใช้ค้นหา-อ้างอิงข้อมูล 374 ล้านคนต่อเดือน ผู้ร่วมเขียนกว่า 70,000 คน สร้าง 35 ล้านบทความ ใน 288 ภาษา

เว็บไซต์ใด มีคนเข้ามากที่สุดในโลก

“Google” เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยเป็นอันดับ 1 ในอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง รวมทั้งบางส่วนของแอฟริกา และเอเชีย ตามมาด้วย “YouTube” รั้งอันดับ 2 และเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง “Facebook” อยู่อันดับ 3.

เสิ ร์ ช เอน จิ้ น มีอะไรบ้าง

รายชื่อ Search Engine Site ที่นิยม Google (www.google.com) – อันดับหนึ่งของโลก ในเกือบทุกๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย Bing (www.bing.com) – เป็นเว็บค้นหา ของบริษัท Microsoft คู่แข่งกับ Google โดยตรง Yahoo (www.yahoo.com) – ตั้งแต่ ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา Yahoo ถูกซื้อกิจการโดย Bing (จาก Microsoft)

เว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเรียกว่าอะไร

เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web หรือ WWW หรือ W3 หรือ Web) คือ บริการค้นหรือเรียกดู ข้อมูลแบบหนึ่ง ในอินเทอร์เน็ต ข้อมูลในเวิลด์ไวด์เว็บ จะอยู่ในแบบสื่อผสม หรือมัลติมีเดีย (multimedia) ที่มีทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นหน้า ๆ แต่ละหน้าสามารถ เชื่อมโยงถึงกันได้เป็นแบบเครือข่ายคล้ายใย ...