ดู หนัง อิ โร ติก ที่ ดี ที่สุด

“พี่เขียนฉากอีโรติกได้ ก็เอามาจากที่อ่าน คืออ่านจนรู้หมดกระบวนท่า วิธีการจูบมันเป็นยังไง ใช้ลิ้นเข้าไปยังไง จับตรงนี้จะรู้สึกยังไง เราไม่ได้รู้สึกจริงๆ แต่ว่าเล่มอื่นมันเคยเขียนว่ามันจะรู้สึกแบบนี้ มันก็เขียนๆ ตามกันมา”
แน่นอนว่า การรับข้อมูลผ่านตัวอักษร เพื่อเอาไปจินตนาการต่อเพียงอย่างเดียว ไม่มีทางพอต่อคนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวอีโรติกไปยังผู้เสพ เธอจึงจำเป็นต้องเก็บรายละเอียดทุกกระบวนท่าจาก “หนังผู้ใหญ่” ด้วย
แถมออกตัวแรงเลยว่า ชอบดูหนังอย่างว่า แค่อยากดูเฉยๆ เพราะอยากรู้อยากเห็นว่า ของฝรั่ง-ของญี่ปุ่นเป็นอย่างไร ทั้งยังทิ้งท้ายคำพูดพร้อมเสียงหัวเราะอย่างเอร็ดอร่อยอีกว่า เมื่อก่อนดูแล้วตื่นตาตื่นใจ แต่ตอนนี้เปิดมาก็หลับใส่แล้ว



[นิยายเล่มแรก ในนามปากกา “มาลีรินทร์”]

สงสัยหนักว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ที่คนไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่เคยสัมผัสถึง “จุดสุดยอด” ทางกามารมณ์จะสามารถพรรณนาความรู้สึกของการร่วมรัก ออกมาได้หลาย 10 หน้าพ็อกเก็ตบุ๊กขนาดนั้น
จึงเป็นที่มาของการยิงคำถามตรงๆ ออกไปอีกหนึ่งดอกว่า “แล้วเคยช่วยตัวเองบ้างไหม?” เพื่อที่จะเรียนรู้ความรู้สึกเหล่านั้นมาใช้สร้างสรรค์อาชีพตัวเอง เจ้าแห่งนิยาย18+ จึงพ่นขำออกมาแทนคำตอบ ก่อนเฉลยให้คลายสงสัยแบบตอบตรงๆ ไม่มีเม้ม
“ไม่เคยช่วยตัวเอง จะให้ช่วยยังไงล่ะ พี่ทำไม่เป็น ในเมื่อไม่เคยมีแฟน แล้วจะรู้ไหมว่ามันทำยังไง หรือต่อให้เคยมี แต่มันก็ไม่ถึงจุดที่ต้องทำขนาดนั้น (หัวเราะ)”
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน หรือไม่ได้เป็นแฟนนิยายสายนี้ อาจเหมารวมไปแล้วว่าเนื้อหาบนหน้ากระดาษเหล่านี้ ล้วนมีแต่ “เรื่องไร้สาระ” หรือคงจะอัดแน่นไปด้วยฉากเซ็กซ์ที่รุนแรง แต่เอาจริงๆ นิยายอีโรติกทุกเล่มก็ไม่ได้เหมือนกันไปหมด เพราะมันแบ่งออกได้ 2 สายใหญ่ๆ คือ “สายดาร์ก” กับ “สายละมุน”
ถ้าเป็น “สายดาร์ก” ถึงจะนำเสนอเนื้อหาที่เน้นการใช้ความรุนแรง หรืออาจมีเนื้อเรื่องขัดศีลธรรมบางอย่างไว้ล่อใจคนอ่าน อย่างประเภท พ่อเลี้ยงมีสัมพันธ์สวาทกับลูก หรืออามีความสัมพันธ์กับหลานแท้ๆ ซึ่งนิยายแนวนี้จะสังเกตง่ายๆ ได้จากชื่อเรื่อง ที่จะมีคีย์เวิร์ดอย่าง “ยั่วรัก” หรือ “สวาทร้อนรัก” อะไรประมาณนี้



ส่วนอีกสายคือ “สายละมุน” ที่จะเน้นนำเสนอเนื้อหาในแนวรักๆ เน้นการใช้ชีวิตของตัวละคร และถึงจะมีฉากจิกหมอน-จิกเท้า ให้นักอ่านได้เกร็งจนเป็นตะคริวกันเล่นๆ แต่ฉากเสพสังวาสเหล่านั้นก็จะออกแนวละมุมละไม ไม่ซาดิสต์หรือน่ากลัวอย่างที่ใครๆ คิด ซึ่งงานเขียนของอ้อมดาว ก็จัดอยู่ในประเภทหลังนี่แหละ
คอเรื่องราวอิโรติกจะรู้จัก “นักพรรณนาความวาบหวิว” วัย 32 รายนี้เป็นอย่างดี ผ่านนามปากกา “มาหยา” ที่ใช้ตั้งแต่ในยุคแรกๆ ก่อนจะมีนาม “มาลีรินทร์” ตามมาในช่วงหลังๆ เพื่อการันตีลายเซ็นของผู้สร้างสรรค์ความฟิน ที่ตีพิมพ์ออกมากี่หมื่นเล่มก็ขายได้เกลี้ยงแผง
ส่วนอีกนามปากกา “มารินทร์” เจ้าตัวหยิกแกมหยอกเอาไว้ว่า “มีใครใช้นามปากกานี้หรือยัง ถ้ายัง ขอจองชื่อนี้ไว้ก่อนนะ” ก่อนแง้มให้ฟังปิดท้ายว่า จะเอาไว้ใช้เขียนนิยายแนววัยรุ่น ให้แฟนคลับที่อยากอ่านนิยายแนวใหม่ของเธอคนนี้ จับตารอได้เลย



[“เมียรักของนับแสน” และ “ซาตานร้ายสยบรัก” ติดอันดับนิยายโรมานซ์ขายดีที่สุดในปี 60]

“หลักแสนต่อเดือน” ใครว่านักเขียนไส้แห้ง!?
“ถ้าตีพิมพ์นิยายกับสำนักพิมพ์ ขั้นต่ำ 3,000 เล่ม เขาจะจ่ายให้นักเขียนอยู่ที่ราคา 80,000 บาท หักภาษาเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าขายเหมานิยายเรื่องนั้นให้สำนักพิมพ์ จะได้ค่าลิขสิทธิ์ 50,000 บาท ซึ่งแต่ละสำนักพิมพ์จะให้ราคาต่างกันไป”
ใครที่เคยได้ยินคำว่า “นักเขียนไส้แห้ง” คงต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ เพราะจากประสบการณ์ตรงของอ้อมดาวแล้ว ยืนยันได้ว่าถ้ามีฝีมือและเอาจริงกับอาชีพนี้ รับรองว่ามีทางไป ยิ่งถ้าเปิดสำนักพิมพ์ของตัวเอง ทำ E-Book ให้ดาวน์โหลดอ่านกันผ่านโลกออนไลน์ได้ รายได้ยิ่งจะพุ่งไปถึง “หลักแสน” อย่างนิยายที่ขายดีๆ ก็แตะถึง “หลักล้าน” เลยทีเดียว
“ถ้าเทียบกันแล้ว ผลเสียที่ตามมาจากการตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ก็คือ นิยายเราจะติดสัญญา 3-5 ปี โดยที่เราจะไม่สามารถเอานิยายของตัวเอง ออกมาหาเงินทางอื่นได้เลย”



และเอาเข้าจริงๆ แล้ว “เงินขายลิขสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์” ก็ไม่พอใช้ เพราะกว่าจะปั้นให้ความละมุนละไมสำเร็จออกมาแต่ละเล่มได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอจึงเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ตัดสินใจออกมาเป็น “นักเขียนไร้สังกัด” เน้นขายหนังสือเล่มและอีบุ๊กแทน
ย้ำชัดว่าทุกวันนี้สามารถหากินกับนิยายไปได้ตลอดชีวิต เพราะแค่ลงเรื่องอีโรติกผ่านอีบุ๊กเดือนแรก ก็ได้เงินมากินเหนาะๆ แล้ว 200,000 บาท นี่ยังไม่รวมรายได้จากนิยายเล่มที่ตีพิมพ์อีก ปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 เล่ม!!
ดูอย่างนิยายที่ดังที่สุดในนาม “มาลีรินทร์” อย่างเรื่อง “เมียรักของนับแสน” ที่เคยขึ้นแท่น “นิยายโรมานซ์ Top Of The Year 2017” บนเว็บ Mobile E-Book และได้รับการตีพิมพ์ถึง 2 ครั้ง รวมๆ แล้วตก 10,000 กว่าเล่ม รวมรายได้เข้าไปแล้ว เรื่องนี้ก็พุ่งไปแตะอยู่ที่ “หลักล้าน!!”
แต่ถึงรายได้จะดีขนาดไหน แต่รายจ่ายการทำอีบุ๊กก็ใช่ย่อยเหมือนกัน คืออย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เงิน “เกือบแสน” แถมยังต้องถูกหักค่าทำเล่มออนไลน์ไปอีกถึงเกือบครึ่ง



“ขายหนังสือกับอีบุ๊กได้เงินมาเป็นล้านก็จริง แต่อีบุ๊กก็มันตกเร็ว เลยทำให้ไม่เห็นเนื้อเห็นหนังอะไร เพราะว่าค่าใช้จ่ายต้นทุนมันเยอะ ใจจริงอยากให้หนังสือเล่มกับอีบุ๊กมีราคาเท่ากัน แต่คนอื่นจะมองว่า อีบุ๊กไม่มีต้นทุนแล้วจะเก็บแพงไปเพื่ออะไร แต่อย่าลืมว่า อีบุ๊กก็โดนหักค่าใช้จ่ายเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ เท่าๆ กับหนังสือเล่มเลยนะ”



แม้ยอดขายนิยายแนวนี้จะพุ่งสูงขนาดไหน แต่กลุ่มแฟนคลับกลับไม่เคยมาปรากฏตัวให้เห็นเลย ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยยังไม่เปิดรับเรื่องเพศเท่าใดนัก ขนาดนักเขียนที่ว่าดัง และขายนิยายอย่างกับเทน้ำเทท่า ยังไม่เคยมีมีตติ้งพบปะกับแฟนคลับ จึงเป็นหลักฐานที่ยิ่งกว่าชัดเจนว่า บ้านเมืองนี้ยังมีทัศนคติปิดกั้นเรื่องเพศที่ไม่ธรรมดา จนทำให้คนอ่านงานสายนี้ต้องหลบๆ ซ่อนๆ

ไม่ได้สอนให้ “ใจง่าย” แต่ให้ “รักนวลสงวนตัว”
“สำหรับพี่ที่เป็นคนอ่านและเขียนแนวนี้ ยังเป็นคนรักนวลสงวนตัว ไม่ยอมให้ผู้ชายเข้าถึงเนื้อเข้าถึงตัว ไม่ยอมชิงสุกก่อนห่าม พี่ว่าพี่ได้สิ่งเหล่านี้มาเต็มๆ จากการอ่านหนังสือ มันสอนได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
คนอ่านนิยายจะรู้ดีว่า ความคิดที่ว่า ถ้าพระเอกหล่อๆ จะยอมเสียตัวให้ง่ายๆ น่ะ มันไม่มีทางเป็นไปได้ คีย์เวิร์ดนี้ไม่มีทางเป็นจริง”
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะประณามคนเขียนหรือคนอ่านนิยายแนวนี้ว่าอย่างไร อ้อมดาวก็ยังคงยืนยันว่าศิลปะแขนงนี้ไม่ใช่สิ่งผิดอะไร ซ้ำยังมองว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้คนในสังคม ปลีกวิเวกออกมาจากความวุ่นวายได้อย่างดีที่สุดวิธีนึง



“มันเป็นสิ่งที่คนเราไม่ได้เจอในชีวิตจริง แต่เราอ่านนิยาย ก็แค่ต้องการหลุดออกมาจากโลกชีวิตจริง เราแค่ต้องการมีโลกอีกใบหนึ่ง ที่มันทำให้รู้สึกว่าเรามีความสุขกับการอยู่กับนิยาย
และเสน่ห์อีกอย่างของการอ่านก็คือ ต่อให้เราอ่านหนังสือเล่มไหนก็ช่าง บางทีมันจะมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ คอยสอนเราได้ และต่อให้อ่านเล่มเดียวกัน 10 รอบ แต่ละรอบก็จะได้อะไรไม่เหมือนเดิม”
มีเส้นทางแนะนำสำหรับ “ว่าที่นักเขียนสายอีโรติก” บ้างไหม? เผื่อใครฝันอยากลุกขึ้นมาเอาจริงกับอาชีพนี้ หรือเดินตามรอยของเธอดูบ้าง เจ้าของนามปากกา “มาลีรินทร์” จึงลองมองย้อนกลับไปในรอยอดีต เพื่อพบว่ากว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เธอเคยผ่านงานมาแล้วกว่า 10 อาชีพ ก่อนค้นพบสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง กระทั่งตัดสินใจทิ้งตำแหน่งใหญ่ๆ ในบริษัท แล้วเอาชีวิตมาแขวนไว้กับนิยายที่หลายคนเรียกมันว่า “นิยายโป๊”
โดยเฉพาะช่วงที่ทำงานหลักไปด้วย เขียนนิยายไปด้วย ที่ทำให้เจ้าตัวมีเวลาพักผ่อนวันละไม่ถึง 5 ชั่วโมง จนเป็นเหตุให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ กระทั่งถูกกดดันอย่างหนัก จนต้องขอลาออกมานั่งเขียนนิยายประทังชีวิต เคยแม้กระทั่งดิ่งถึงจุดต่ำสุดที่ไม่เหลือเงินกินข้าวสักบาทเดียว



“ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลาออกจากงานคือ พี่ตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า และมันก็มาตายจริงๆ พี่ไม่มีเงินกินข้าวสักบาท พี่เอาแต่นั่งเขียนนิยายเป็นบ้าเป็นหลัง เพราะพี่เชื่อมั่นว่าสักวันนึง มันจะช่วยชีวิตพี่ได้ แต่ตอนนั้นมันไม่มีตลาดอะไรรองรับเลย และพี่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะช่วยชีวิตพี่ได้ยังไง ในใจคิดแต่ว่ามันต้องมีสิ
แล้วทุกวันนี้พี่ก็เอามันมาวนหาเงินได้ตลอด ปลดจากสำนักพิมพ์ เอามาขายเอง พิมพ์ใหม่ ไปงานหนังสือก็เอาไปขาย เอาไปลงร้านหนังสือก็ได้ขาย มันก็ทำเงินให้พี่จนถึงทุกวันนี้ และพี่ก็จะเขียนมันไปยันตาย เพราะการเขียนหนังสือคือความสุขที่สุดแล้ว”