เขื่อนไซยะบุรี Xayaburi dam สร้างกั้นแม่น้ำโขง ที่เมืองไซยะบุรี แขวงไซยะบุรี ประเทศลาว อยู่บริเวณท้ายน้ำลงมาจากเมืองหลวงพระบางราว 80 กม. และห่างจากพรมแดนไทย ที่อ.เชียงคาน จ.เลย ราว 200 กม. เขื่อนไซยะบุรีคอนกรีตเสริมเหล็ก มีความยาว 810 เมตร มีกำลังผลิตติดตั้ง 1,285 เมกะวัตต์ ทำสัญญาขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 1,220 เมกะวัตต์ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement-PPA) ผูกพันการรับซื้อไฟฟ้าเป็นเวลา 29 ปี (และต่อมาได้ขายเพิ่มเป็น 31 ปี) มีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเข้าประเทศไทย ที่ชายแดน อ.ท่าลี่ จ.เลย และส่งไปยังสถานีไฟฟ้าหลักที่ จ.ขอนแก่น เขื่อนไซยะบุรี เป็นการลงทุนของกลุ่มบริษัท ช.การช่าง (CK Power) โดยบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์ มูลค่าการลงทุนประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดยมีธนาคารไทย 6 แห่งให้สินเชื่อ คือ ธนาคารไทยพานิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (Exim) ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารทิสโก้ เขื่อนไซยะบุรี เริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ ในเดือนตุลาคม 2562 แต่ได้มีการทดลองการผลิตไฟฟ้า ในเดือนกรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน ระหว่างที่มีการทดลองผลิตไฟฟ้าดังกล่าว ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขงพบว่าระดับน้ำโขงทางท้ายน้ำของเขื่อนไซยะบุรีลดลงระดับอย่างรุนแรง กว่า 3-4 เมตร ภายสัปดาห์เดียว ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบนิเวศแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการอพยพของปลา เนื่องจากเป็นฤดูที่มีการอพยพของปลาเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านริมฝั่งโขงพบว่าต้นไคร้น้ำ ที่ขึ้นตามเกาะแก่ง แห้งตายเป็นจำนวนมาก ตลอดระยะทางตั้งแต่อำเภอเชียงคาน-ปากชม จ.เลย ลงไปถึง อ.สังคม จ.หนองคาย ความผันผวนของระดับน้ำโขงจากเหตุการณ์ดังกล่าว มีรายงานว่าต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้ส่งหนังสือถือรัฐบาลลาว ขอให้มีการชะลอการผลิตไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะน้ำโขงลดระดับอย่างรุนแรง การอพยพของปลา ในช่วงนั้นพบว่าชาวบ้านจับปลาได้จำนวนมาก พบปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กตายอยู่ตามริมฝั่งน้ำโขง เนื่องจากระดับน้ำโขงลดลงอย่างรวดเร็ว ปลาและสัตว์น้ำบางส่วนไม่สามารถว่ายลงไปตามระดับน้ำได้ทัน นอกจากนี้ยังพบลูกปลา กุ้ง หอยขนาดเล็กที่ตกค้างอยู่ตามแอ่งน้ำ เป็นปรากฎการณ์ที่คนลุ่มน้ำโขงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่เคยเห็นแม่น้ำโขงเป็นแบบนี้มาก่อนในชีวิต” ค่าไฟจากเขื่อนไซยะบุรี 31 ปี วันที่ 29 ตุลาคม 2562 คือวันครบรอบ 8 ปีของการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ บริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์จำกัด และเป็นวันที่เขื่อนไซยะบุรีจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้แก่ กฟผ. จำนวน 1,220 เมกะวัตต์ และต่อเนื่องตามอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไปอีก 31 ปี โดย กฟผ. ได้ประกันการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าไว้รวม 5,709 ล้านหน่วยต่อปี หรือคิดเป็นเงินที่จะต้องจ่ายเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 13,257 ล้านบาทต่อปี หรือตลอดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 31 ปี รวม 410,967 ล้านบาท สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์ จำกัดดังกล่าว เป็นสัญญาแบบเอาไปใช้ หรือจ่ายเงิน (Take or Pay) โดยหากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรีสามารถปั่นไฟฟ้าได้ตามที่กำหนด ไม่ว่า กฟผ.จะใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นหรือไม่ก็ตาม จะต้องจ่ายเงินขั้นต่ำ ราว 13,000 ล้านบาทต่อปี สัญญาในลักษณะดังกล่าว ทำให้นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์ จำกัดหรือ ธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อเผชิญกับความเสี่ยงด้านรายได้ค่อนข้างต่ำ เว้นแต่ว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี พาวเวอร์จำกัด จะไม่สามารถปั่นไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เช่น เผชิญกับภาวะน้ำในแม่น้ำโขงไม่เพียงพอต่อการปั่นไฟ นับตั้งแต่วันที่เขื่อนไซยะบุรีเปิดทำการผลิตไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ พบว่าเกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม และเดือนพฤศจิกายน 2562 เกิดปรากฎการณ์น้ำโขงกลายเป็นสีฟ้า นับตั้งแต่ช่วงที่แม่น้ำโขงไหลผ่านตั้งแต่เขตจังหวัดนครพนม เป็นต้นไป ซึ่งนักวิขาการระบุว่า เป็นปรากฎการณ์ “หิวตะกอน” ของแม่น้ำ หรือภาวะที่แม่น้ำไร้ตะกอนในฤดูน้ำหลากที่ผ่านมา ต่อมาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.2 ริกเตอร์ในเขตแขวงไซยะบุรี แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯมหานคร อาคารโรงพยาบาลในจังหวัดเลย เกิดรอยร้าวและตึกสูงในตัวเมืองฮานอย ประเทศเวียดนามก็ยังรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ ผลกระทบจากแผ่นดินไหว ทำให้โรงไฟฟ้าหงสา ที่ตั้งอยู่ในแขวงไซยะบุรี ได้รับความเสียหายบางส่วน ทำให้ต้องมีการแจ้งหยุดชั่วคราวเพื่อผลิตไฟฟ้า เพื่อตรวจสอบความเสียหาย เขื่อนไซยะบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากจุดแผ่นดินไหวประมาณ 70 กิโลเมตร ได้ออกประกาศว่าตัวเขื่อนไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่และในเขตประเทศไทยก็ยังมีความหวาดหวั่นวิตกต่อกรณีการเกิดแผ่นดินไหวและภัยพิบัติที่อาจจะเกิดจากเขื่อน เมื่อปี 2561 ชาวบ้านเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ส่งจดหมายไปถึงบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์ เพื่อขอให้เปิดเผยแผนบรรเทาอุทกภัยและรับมือกับภัยพิบัติฉุกเฉิน แต่ไม่ได้การชี้แจงจากทางบริษัทแต่อย่างใด คำถามสำคัญต่อโครงการเขื่อนไซยะบุรีคือ ประสิทธิภาพทางปลาผ่านและการระบายตะกอนที่ทางบริษัทได้ออกแบบและก่อสร้างขึ้นนั้น มีประสิทธิภาพอย่างไร มีการระบายน้ำของเขื่อนไซยะ และผลผลิตของไฟฟ้าได้มากน้อยเพียงใด รวมถึงคำถามด้านความรับผิดชอบและมาตรการการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของบริษัทเจ้าของโครงการและธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อให้กับเขื่อนไซยะบุร ที่ยังไม่มีความชัดเจน ขณะที่ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่มีการผลิตไฟฟ้าอย่างเป็นทางการแล้ว คดีศาลปกครอง กรณีเขื่อนไซยะบุรี 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ผู้ฟ้องคดี 37 ราย จาก 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงของประเทศไทย พร้อมทั้งอีก 1,000 รายชื่อที่สนับสนุน ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในคดีที่เกี่ยวกับเขื่อนไซยะบุรี ในนามเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ร่วมกับมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (Community Resource Center) เนื่องจากประเทศไทยทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าผลิตจากเขื่อนไซยะบุรีถึง 95% โดยคดีนี้ทางเครือข่ายได้ฟ้องคดีต่อ 5 หน่วยงานรัฐคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะ สำนักงานเลขาธิการคณะการมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย) และคณะรัฐมนตรี มีมูลเหตุฟ้องคดีดังนี้ 1) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์จำกัดนั้นไม่สมบูรณ์ 2) ละเลยการปฏิบัติตามกระบวนการแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลงแม่น้ำโขง ปี 2538 รวมทั้งการปฏิบัติตามกฎหมายในประเทศ และ 3) การอนุมัติของคณะรัฐมนตรีให้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไซยะบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเครือข่ายภาคประชาชนเห็นว่า สัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นการลงนามระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์จำกัด เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 โดยการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้านั้นไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญไทยและความตกลงว่าด้วยการร่วมมือการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงแบบยั่งยืน หรือ ‘‘ความตกลงแม่น้ำโขง” ซึ่งรวมถึงระเบียบปฏิบัติเรื่องการแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง (Procedure for Notification Prior Consultation and Agreement : PNPCA) ในขณะที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะได้รับการลงนามก็ต่อเมื่อพันธกรณีระดับภูมิภาคได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นเสียก่อน แต่ประเทศไทยกลับเดินหน้าลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยที่กระบวนการการแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลงยังไม่แล้วเสร็จ และก่อนที่ประเทศลาวจะให้รายงานการศึกษาและข้อมูลที่ร้องขอโดยประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ฟ้องคดีมีความเป็นห่วงต่อผลกระทบที่ตามมาภายหลังการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี เช่น การสูญพันธุ์ของปลา ตะกอนดินและแร่ธาตุ ผลกระทบทางความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร น้ำแล้ง เกษตรกรรมและอุทกภัย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ศาลปกครองชั้นต้นไม่รับพิจารณาคดี ผู้ฟ้องคดีได้ร่วมกันอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ในวันที่ 24 มิถุนายน 2557 โดยเห็นว่าศาลมีอำนาจพิจารณาคดี การเปิดเผยข้อมูลและกระบวนการมีส่วนร่วมที่ไม่ครบถ้วน และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายตามมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงและน่าจะได้รับผลกระทบจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพราะต้องอาศัยและพึ่งพิงจากแม่น้ำโขง ผู้ฟ้องคดีจึงควรมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการคุ้มครอง ส่งเสริมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อความยั่งยืน ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้เสียหายหรือน่าจะเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการละเลยปฏิบัติตามกฎหมายเช่นว่านั้น จึงย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามมาตรา 42 วรรค 1 แม้ว่าจะหมดอายุของการฟ้องคดีไปแล้ว แต่ว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลจึงรับไว้พิจารณาได้ตามมาตรา 42 วรรค 2 ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษาให้รับฟ้องเฉพาะประเด็นที่ว่าการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีให้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไซยะบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนือจากนั้นเห็นตามศาลปกครองชั้นต้น อย่างไรก็ตามเมื่อ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ศาลออกนั่งพิจารณาคดี ได้รับฟังสรุปข้อเท็จจริงจากคู่ความ คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติกรณีการดำเนินการสัญญาชื้อขายไฟฟ้าเขื่อนไชยะบุรีหรือไม่ เมื่อศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินการสัญญาชื้อขายไฟฟ้าเขื่อนไซยะบุรีบนเว็บไซด์ www.eppo.go.th และบนเว็บไซด์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ถือได้ว่าได้มีการเผยแพร่ขอมูลการดำเนินการสัญญาชื้อขายไฟฟ้า เขื่อนไซยะบุรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 แล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และที่ 5 (คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี) จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กรณีการดำเนินการสัญญาชื้อขายไฟฟ้าเขื่อนไชยะบุรี และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 3 (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกระทรวงพลังงาน) จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามมติของคณะรัฐมนตรีและดามรัฐธรรมนูญ กรณีการดำเนินการสัญญาชื้อขายไฟฟ้าเขื่อนไชยะบุรีเช่นกัน นอกจากนี้ การดำเนินการสัญญาชื้อขายไฟฟ้าเขื่อนไซยะบุรีไม่ใช่โครงการหรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ไม่มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม กรณีการดำเนินการสัญญาชื้อขายไฟฟ้าเขื่อนไซยะบุรี และไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ ในกรณีดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง (PNPCA) เกี่ยวกับการปรึกษาหารือล่วงหน้ากรณีการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีแล้ว โดยไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ในกรณีดังกล่าว 25 ธันวาคม 2558 ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดี พิพากษายกฟ้อง 25 มกราคม 2559 เครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดอีกครั้ง 14 กุมภาพันธ์ 2563 เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลปกครองสูงสุดกรณีคดีเกี่ยวกับผลกระทบข้ามพรมแดนจากการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี โดยเป็นการยื่นเอกสารเพิ่มเติม หลังจากที่เขื่อนไซยะบุรีได้เริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพานิชย์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 และเกิดปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงทางระบบนิเวศอย่างหนัก บริเวณท้ายน้ำจากเขื่อนไซยะบุรี ที่พรมแดนไทยลาว จาก อ.เชียงคาน จ.เลย ลงไปจนถึง จ.นครพนม และจ.อุบลราชธานี อาทิ ระดับน้ำที่ผันผวน ขึ้นลงผิดธรรมชาติและปรากฎการณ์แม่น้ำโขงสีคราม ซึ่งหมายถึงแม่น้ำขาดตะกอน แร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นต่อสัตว์น้ำและเกษตรกรรมตลอดลุ่มน้ำ และส่งผลกระทบต่อระบบน้ำประปาของชุมชนและเมืองขนาดใหญ่ตลอด 7 จังหวัดในภาคอีสาน เครือข่ายประชาชนฯ จึงได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมและให้ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและให้ศาลมีคำสั่งโดยเร็วให้ระงับการซื้อไฟฟ้า จนกว่าจะมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ และนำส่งเอกสารเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากมีข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นที่กำลังเกิดใหม่ดังเป็นที่ประจักษ์ ศาลปกครองได้มีการนัดนั่งพิจารณคดีครั้งแรกเมื่อ วันที่ 3 พฤษภาคม 2565 โดยตุลาการเจ้าของสำนวนได้มีการอ่านสรุปข้อเท็จจริงในคดีให้ผู้ฟ้องคดีได้รับฟัง ตุลาการผู้แถลงคดีได้แถลงความเห็นตนต่อคดีดังกล่าวต่อองค์คณะ และจะมีการกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาโดยจะส่งหมายแจ้งคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทราบในภายหลัง โดยศาลได้กำหนดประเด็นในการวินิจฉัย 2 ประเด็น คือ 1 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติในเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างเหมาะสมหรือไม่และได้ดำเนินการจัดการรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจังหรือไม่ และ 2 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนในการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือไม่ ในครั้งนี้มีผู้ฟ้องคดี 2 คนคือ นายอำนาจ ไตรจักร์ และนางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา ได้แถลงข้อมูลเพิ่มเติมด้วยวาจา และมีการส่งคำแถลงคดีเพิ่มเติมที่เป็นเอกสารไปด้วย |