คอนแทคเลนส์ค่าสายตาคืออะไร

ถึงวาระที่สายตาเริ่มผิดปกติ มองไกลไม่ชัด มองใกล้เบลอ หรือภาพเริ่มผิดเพี้ยนแม้อาการจะเริ่มปรากฎเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าการมองเห็นที่ไม่ชัดทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานของคุณติดขัด คุณคงเริ่มมองหาตัวช่วยที่จะทำให้การมองเห็นกลับมาคมชัดเหมือนเดิม

คำถามที่พบบ่อยคือ ควรใส่อะไรดีระหว่าง 'คอนแทคเลนส์' และ 'แว่นตา'

คอนแทคเลนส์ค่าสายตาคืออะไร

'คอนแทคเลนส์' และ 'แว่นสายตา' เลือกใส่อะไรดีต่อดวงตาของคุณที่สุด

ทั้งคอนแทคเลนส์และแว่นตา ต่างก็มีข้อได้เปรียบและจุดที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษต่างกัน บางคนเลือกจากความถนัด รู้สึกไม่ชินกับการสวมแว่น บางคนรู้สึกไม่สะดวกหากต้องซื้อคอนแทคเลนส์เพื่อเปลี่ยนเป็นประจำ แต่นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่ามานี้ การตัดสินใจเลือกระหว่าง 'คอนแทคเลนส์' และ 'แว่นตา' ยังขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพดวงตาของคุณเช่นกัน หากเลือกใช้ไม่ถูกต้อง อาจส่งผลต่อค่าสายตาหรือสุขภาพดวงตาระยะยาว

สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงตาของคุณมีดังนี้

1. หากคุณสายตาสั้นมากกว่า-12.00D ขึ้นไป และมีสายตาเอียงร่วมด้วย

คอนแทคเลนส์จะไม่สามารถรองรับค่าสายตาลักษณะนี้ได้ และจะยิ่งทำให้ขอบเขตค่าสายตาที่ผลิตได้น้อยลง ในขณะที่แว่นตาจะรองรับค่าค่าสายตาได้ถึง-20.00D ได้แม่นยำกว่า แม้จะมีสายตาเอียงร่วมด้วย ขอบเขตค่าสายตาที่ผลิตได้ก็จะลดลงไม่มากนัก จึงรองรับค่าสายตาได้กว้างกว่าคอนแทคเลนส์

2. ยิ่งค่าสายตาสูง คอนแทคเลนส์ยิ่งหนา

ปัญหาคือ จะทำให้มีอาการ เคืองตาแสบตาเวลาที่กระพริบตามากขึ้น เนื่องจากทุกครั้งที่กระพริบตา เปลือกตาจะเสียดสีกับผิวและขอบคอนแทคเลนส์ซ้ำไปมา คนที่มีค่าสายตาสูง หากใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานานๆ จะไม่สบายตานั่นเอง

3. การใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน เสี่ยงเกิดภาวะต้อลมและภาวะตาแห้ง

ปัญหาตาแห้งพบเจอได้บ่อยกับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์มานานเป็นปีๆ เพราะคอนแทคเลนส์มีการเสียดสีกับตาขาวและต่อมผลิตน้ำตาตลอดเวลา ส่งผลให้ผลิตน้ำตาได้น้อยลง


4. หากใส่คอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี เสี่ยงดวงตาอักเสบ

คอนแทคเลนส์ช่วยให้คุณสะดวกสบายก็จริง แต่ผู้ใส่ยังต้องหมั่นดูแลและศึกษาวิธีการใส่อย่างถูกวิธี เช่น ไม่ควรใส่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวันติดต่อกันบ่อยๆ ต้องดูแลรักษาความสะอาดให้ดีพอ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเสี่ยงให้เกิดอาการตาแดงจากสิ่งสกปรก หรือมีเส้นเลือดฝอยงอกใหม่จากการขาดออกซิเจนได้


5. คอนแทคเลนส์ สามารถปรับตัวให้เข้ากับค่าสายตาได้ง่ายกว่าแว่นตา

สำหรับคนที่ยังมีค่าสายตาไม่มาก คอนแทคเลนส์จะช่วยให้คุณปรับตัวกับการมองเห็นได้ง่ายกว่า เนื่องจากคอนแทคเลนส์อยู่ชิดตาดำส่วนแว่นอยู่ห่างตาดำนั่นเอง


6. แว่นสามารถปกป้องตาจากแสง UV ที่เข้าสู่ดวงตาได้

เพราะคอนแทคเลนส์จะคลุมเฉพาะบริเวณตาดำเท่านั้นแต่ด้วยลักษณะของแว่นจะช่วยบดบังแสง UV ได้ทั้งดวงตา และหากถ้าคุณเลือกใช้เลนส์ประเภท PHOTOCHROMIC LENSES หรือเลนส์ที่สามารถปรับความเข้มของสีเลนส์ได้ตามปริมาณแสงที่เปลี่ยนแปลงได้ก็ยิ่งช่วยป้องกันดวงตาจากแสงแดดได้มากยิ่งขึ้น


7. คนสายตายาวตามวัย คอนแทคเลนส์ชั้นเดียวไม่ตอบโจทย์

ด้วยลักษณะของเลนส์ชั้นเดียวจะค่าสายตาเพียงค่าเดียวทั้งชิ้นเลนส์ แต่คนสายตายาวจะมีระยะสายตาที่ต้องปรับหลายระยะ ซึ่งคอนแทคเลนส์ชั้นเดียจะช่วยให้มองได้ชัดแค่ระยะไกล แต่ระยะใกล้อ่านหนังสือ ดูมือถือจะเบลอไม่คมชัด


8. คอนแทคเลนส์สำหรับคนสูงวัยที่มีค่าสายตายาวตามวัย แก้ไขค่าสายตาเอียงไม่ได้

คอนแทคเลนส์ลักษณะนี้จะมีค่าสายตาสองค่าในเลนส์ชิ้นเดียว แม้จะแก้ปัญหาเรื่องการมองไกล มองใกล้ได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาเอียงได้ และความคมชัดของภาพก็ไม่เท่าแว่นโปรเกรสซีฟ ความคมอยู่ที่ประมาณ 80% ของแว่นโปรเกรสซีฟเท่านั้น และรองรับค่าสายตาได้น้อยกว่าแว่นตาค่อนข้างมาก


จะเห็นว่า การเลือกว่าจะใส่คอนแทคเลนส์ดีหรือใส่แว่นตาดี จำเป็นต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสุขภาพดวงตาเป็นสำคัญ เพราะแต่ละบุคคลก็มีค่าสายตาและปัญหาสุขภาพตาที่ต่างกัน หากคุณยังไม่แน่ใจว่าอะไรดีที่สุดสำหรับดวงตา แนะนำให้ตรวจสุขภาพดวงตากับนักทัศนมาตรที่เชี่ยวชาญก่อน เมื่อคุณทราบค่าสายตาและปัญหาทั้งหมดแล้ว ค่อยมาเลือกอีกที่ก็ได้ว่า 'คอนแทคเลนส์' และ 'แว่นตา' ใส่อะไรแล้วจะดีต่อดวงตาของคุณที่สุด

เพราะวิถีชีวิตในปัจจุบัน ทำให้หลีกเลี่ยงการใช้สายตามาก ๆ ได้ยาก จึงทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งเกิดปัญหาด้านการมองเห็น แต่ระดับความมองเห็นของแต่ละคนก็ยังแตกต่างกัน เราสามารถแยกได้ด้วยการวัดค่าสายตา เมื่อเราเริ่มมีปัญหาการมองเห็นเราอาจไปหาจักษุแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาอาจจะเข้าไปหาตามร้านตัดแว่นหรือโรงพยาบาล เมื่อทำการวัดค่าสายตาเรียบร้อยเราจะได้รับใบค่าสายตามา เบื้องต้นแพทย์อาจสรุปให้ฟังแล้วว่ามีปัญหาค่าสายตาอย่างไร แต่หากเราอยากอ่านค่าสายตาได้ด้วยตนเองนั้นจะทำอย่างไร ในบทความนี้มีคำตอบค่ะ

คอนแทคเลนส์ค่าสายตาคืออะไร

รู้จัก ‘ค่าสายตา’

ก่อนเราจะถึงขั้นตอนวัดค่าสายตาและอ่านค่าสายตานั้น เรามาทำความรู้จักกับค่าสายตากันก่อนค่ะ

ค่าสายตา คือค่าที่กำหนดถึงความสามารถในการมองเห็น ว่าสามารถมองได้ชัดหรือไม่ หรือหากมีปัญหาค่าสายตาสามารถมองเห็นชัดได้ถึงระดับไหน เราสามารถตรวจค่าสายตาได้จากการวัดเลนส์ตา ความโค้งของกระจกตา กล้ามเนื้อบริเวณดวงตา และอื่น ๆ เมื่อตรวจวัดค่าสายตาเรียบร้อยเราจะทราบได้ว่าเรามีค่าสายตาแบบไหน เพื่อให้การรักษาขั้นต่อไปเป็นไปอย่างถูกต้องค่ะ

ค่าสายตาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท

  • ค่าสายตาสั้น เกิดจากกระบอกตาที่ยาวกว่าปกติ หรือเกิดจากกระจกตาโค้งมากเกินไป ทำให้จุดโฟกัสตกก่อนที่จะถึงจอประสาทตา อาการของผู้ที่มีค่าสายตาสั้นจะมองเห็นใกล้ได้ชัดปกติ แต่ไม่สามารถมองไกลได้ชัด ค่าสายตาสั้นมักจะพบได้ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นเป็นต้นไป
  • ค่าสายตายาว เกิดจากกระบอกตาที่สั้นกว่าปกติ หรือเกิดจากกระจกตาโค้งน้อยเกินไป ทำให้จุดโฟกัสตกเลยจอประสาทตาไป อาการของผู้ที่มีค่าสายตายาวจะมองเห็นไกลได้ชัดปกติ แต่ไม่สามารถมองใกล้ได้ชัด ค่าสายตายาวสามารถพบได้ตั้งแต่กลุ่มคนที่มีค่าสายตายาวแต่กำเนิด และผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีต้นไป
  • ค่าสายตาเอียง เกิดจากกระจกตามีความโค้งไม่สม่ำเสมอกัน ทำให้ไม่สามารถรวมแสงเป็นจุดเดียว อาการของผู้ที่มีค่าสายตาเอียงจะมองเห็นวัตถุทั้งใกล้และไกลได้ไม่ชัด หรืออาจเกิดภาพซ้อนได้ โดยค่าสายตาเอียงอาจเกิดร่วมกับผู้ที่มีปัญหาค่าสายตาสั้นและค่าสายตายาวได้เช่นกัน

Diopter คืออะไร

เมื่อเราไปวัดค่าสายตา เราจะรู้ว่าค่าสายตาเราจัดอยู่ในกลุ่มไหนได้จาก Diopter ค่ะ โดย Diopter หรือ D นั้นเป็นหน่วยวัดค่าสายตาที่บอกถึงกำลังหักเหแสงของเลนส์ ในใบวัดค่าสายตาอาจพบเครื่องหมาย + หรือ - ถ้าเป็นเครื่องหมาย - จะแสดงถึงค่าสายตาสั้น แต่หากเป็นเครื่องหมาย + หรือไม่มีเครื่องหมายจะแสดงถึงค่าสายตายาว และยิ่งค่า D มากเท่าไร นั่นแปลว่าค่าสายตาก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้นค่ะ 

เพื่อความเข้าใจง่าย เราจะดูค่า Diopter ให้เป็นเส้นตรง และมีค่า 0.00 อยู่ตรงกลาง โดยค่าสายตา 0.00 คือ ค่าสายตาปกติ และยิ่งตัวเลยห่างจาก 0.00 มากเท่าไร แปลว่าค่าสายตาที่ต้องแก้ก็ยิ่งมากขึ้นค่ะ

ค่าสายตา ซ้าย-ขวา แตกต่างกัน

ไม่จำเป็นว่าค่าสายตาจะต้องเหมือนกันทั้งสองข้าง ในบางคนอาจมีปัญหาค่าสายตาซ้าย-ขวาแตกต่างกันได้ เมื่อวัดค่าสายตาและได้ใบวัดค่าสายตามาจะมีการระบุแยกค่าสายตาของข้างซ้ายและขวาอย่างชัดเจนค่ะ แต่ในใบวัดค่าสายตาจะไม่ได้เขียนว่า left หรือ right หากไม่ได้มีความรู้เรื่องการอ่านค่าสายตา ก็อาจจะไม่เข้าใจได้ ก่อนอื่นเรามารู้จักถึงคำเรียกถึงค่าสายตาซ้ายและขวากันค่ะ

ค่าสายตาขวาจะถูกระบุอยู่ในใบวัดค่าสายตาว่า OD หรือ oculus dexter มาจากภาษาละตินที่แปลว่าตาขวา และค่าสายตาซ้ายจะถูกระบุอยู่ในใบวัดค่าสายตาว่า OS หรือ oculus sinister มาจากภาษาละตินที่แปลว่าตาซ้ายค่ะ แต่ในปัจจุบันหลาย ๆ โรงพยาบาลและร้านแว่นอาจเปลี่ยนมาใช้ตัวย่อ RE และ LE ที่มาจากคำว่า Right Eye และ Left Eye เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นค่ะ

ในบางกรณีอาจพบตัวย่อ OU ได้เช่นกัน โดย OU หรือ oculus uterque มาจากภาาาละตินที่แปลว่าตาทั้งสองข้าง จะนำไปใช้อ้างอิงในการตัดแว่นสายตา หรือการวางแผนการรักษาต่างๆให้เหมาะสมกับแต่ละรายบุคคล

ขั้นตอนการวัดค่าสายตา

การตรวจวัดค่าสายตาในเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการอ่านแผนภูมิวัดสายตา Snellen Chart หรือในหลาย ๆ ที่อาจใช้การวัดด้วยเครื่องวัดสายตาอัตโนมัติ โดยจะกล่าวถึงขั้นตอนการตรวจวัดค่าสายตาด้วยการอ่านแผนภูมิ ดังนี้

  1. จักษุแพทย์ทำการซักประวัติเบื้องต้น อย่างเช่นประวัติพันธุกรรม ในครอบครัวมีใครมีปัญหาค่าสายตาบ้างหรือไม่ ประวัติสุขภาพตาและการใช้แว่นสายตา การใช้สายตาในชีวิตประจำวัน และอื่น ๆ
  2. หากคนไข้ใส่แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์อยู่ ก่อนตรวจค่าสายตาจะต้องถอดออกก่อน
  3. จักษุแพทย์จะให้อ่านแผนภูมิวัดสายตา Snellen Chart ที่อยู่ห่างออกไประยะ 6 เมตร ซึ่งบนแผนภูมิจะมีตัวอักษรขนาดต่าง ๆ ในแต่ละแถว เมื่อเริ่มทดสอบแพทย์จะให้ปิดตาทีละข้างและอ่านตัวอักษรบนแผนภูมิ โดยใช้อุปกรณ์สำหรับปิดตาข้างที่ไม่ได้ทดสอบไว้
  4. เมื่อคนไข้อ่านถึงจุดที่มองตัวเลขหรือตัวอักษรไม่ชัด แพทย์จะให้ลองเดาคำตอบได้ สำหรับบางรายอาจมีการตรวจเพิ่มที่แตกต่างกัน อย่างเช่นหากอ่านได้ไม่ถึงแถว 6/6 แพทย์อาจให้อุปกรณ์ที่ช่วยมองเห็นหรือให้มองผ่านรูเล็ก ๆ เป็นต้น
  5. เมื่อทำการตรวจค่าสายตาเสร็จสิ้น แพทย์จะอ่านค่าสายตาและแจ้งผลให้กับคนไข้ทราบ

สำหรับการวัดค่าสายตาด้วยเครื่องวัดค่าสายตาอัตโนมัติ จะเป็นเพียงแค่ใช้เครื่องวัดค่าสายตาอัตโนมัติ โดยคนไข้จะมองเข้าไปในเครื่อง และเครื่องก็ทำการอ่านค่าสายตา แต่ข้อเสียของการใช้เครืองวัดสายตานั้นคือ ไม่สามารถควบคุมการทำงานของระบบเพ่งได้ คนไข้ไม่มีส่วนร่วมหรือไม่ได้วัดความสามารถในการมองเห็นที่แท้จริง เป็นต้น

เมื่อตรวจวัดค่าสายตาโดยเบื้องต้นแล้ว พบว่ามีค่าสายตาผิดปกติ จะต้องแก้ไขค่าสายตา จะมีการตรวจค่าสายตาอย่างละเอียดอีกครั้งและสวมแว่นทดลองเพื่อให้สามารถแก้ค่าสายตาได้อย่างถูกต้อง

คอนแทคเลนส์ค่าสายตาคืออะไร

ใบค่าสายตา ประกอบด้วยอะไรบ้าง

เมื่อทำการตรวจวัดค่าสายตาเสร็จสิ้น แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะให้ใบค่าสายตามา ซึ่งบนในค่าสายตามักจะใช้ตัวย่อ ทำให้คนทั่วไปอาจอ่านค่าสายตาจากใบค่าสายตาไม่เข้าใจว่าตนเองค่าสายตาปกติ หรือว่าค่าสายตาสั้น ค่าสายตายาว ค่าสายตาเอียง ดังนั้นหัวข้อนี้เราจะมาอธิบายถึงตัวย่อต่าง ๆ ที่อยู่บนใบค่าสายตา เพื่อช่วยให้การอ่านใบค่าสายตาเข้าใจได้ง่ายขึ้น

Sphere (SPH) 

สำหรับตัวย่อแรกที่เราควรทราบนั่นก็คือ SPH ซึ่งย่อมาจาก Sphere เป็นตัวแสดงถึงกำลังเลนส์สำหรับแก้ปัญหาการมองเห็น จะมีหน่วยวัดเป็น Diopter หรือค่า D และจะมีเครื่องหมายแสดงถึงลักษณะปัญหาค่าสายตา อย่างเช่น

  • หากขึ้นต้นด้วยเครื่องหมายลบ (-) แสดงถึงค่าสายสั้น
  • หากขึ้นต้นด้วยเครื่องหมายบวก (+) หรือไม่มีเครื่องหมายใด ๆ แสดงถึงค่าสายตายาว

ค่า D ยิ่งมีตัวเลขมากเท่าไร แปลว่ายิ่งมีค่าสายตามากเท่านั้น

Cylinder (CYL)

CYL ย่อมาจาก Cylinder หรือค่าสายตาเอียงที่ต้องแก้ไข ผู้ที่มีความโค้งกระจกตาไม่สม่ำเสมอกัน จะมีระบุค่านี้เฉพาะผู้ที่มีค่าสายตาเอียง และไม่มีหน่วย หากไม่มีค่าสายตาเอียงก็จะไม่มีระบุเลขเอาไว้ 

โดยปกติค่า CYL จะต้องระบุอยู่ด้านหลัง SPH และก่อน Axis สำหรับบางรายที่มีเครื่องหมายลบหน้าตัวเลขของ CYL หมายความว่ามีปัญหาค่าสายตาสั้นและสายตาเอียงร่วมด้วย และสำหรับเครื่องหมายบวกหน้าตัวเลขของ CYL หมายความว่ามีปัญหาค่าสายตายาวและสายตาเอียงร่วมด้วยนั่นเอง

Axis (AX)

AX ย่อมาจาก Axis หรือค่าองศาที่เอียง หากตรวจแล้วในใบค่าสายตามีค่า CYL จะต้องมีค่า AX ด้วยเสมอ โดย AX จะระบุเป็นแกนองศาที่เอียงไป ตั้งแต่ 1-180 องศา 90 องศาเป็นเส้นแนวตั้งของดวงตาและ 180 องศาเป็นเส้นแนวนอนของดวงตา (กรณีองศาเอียง 0 จะใช้ 180 แทน) ในใบค่าสายตาหากมีค่า AX จะถูกระบุด้วยตัวเลข 3 ตัว เช่น 180 090 005 เป็นต้น และก่อนถึงค่า AX จะมีเครื่องหมาย x นำหน้าก่อนเสมอ

Add 

Add เป็นค่ากำลังขยายเพิ่มเติมที่ครึ่งล่างของเลนส์ มักจะพบในแว่นที่มีเลนส์ 2 ชั้น สามารถแก้ปัญหาสายตายาวตามวัย ใช้สำหรับการอ่านหนังสือหรือมองวัตถุระยะใกล้ได้โดยไม่ต้องคอยสลับแว่น ซึ่งมีค่าตั้งแต่ +0.75 ถึง +3.00 D

Prism

Prism เป็นค่าที่ใช้แก้ไขดวงตาไม่ประสานกัน อาการตาเข ตาเหล่ หรือมีปัญหากล้ามเนื้อตา โดยส่วนน้อยที่จะมีค่า Prism ในใบค่าสายตา

Pupillary distance (PD)

Pupillary distance หรือค่าสายตา PD คือ ค่าที่บอกระยะห่างระหว่างรูม่านตาทั้งสองข้าง จะวัดจากจุดกึ่งกลางของตาดำขวา ไปจุดกึ่งกลางของตาดำซ้าย โดยความสำคัญของค่าสายตา PD คือเมื่อตัดให้เลนส์แว่นตาตรงกับจุดกึ่งกลางของดวงตา จะทำให้ดวงตาและเลนส์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ใส่แว่นที่มีค่าสายตา PD ตรงกับตนเองจะใส่แว่นได้สบายตา ไม่ปวดหัวหรือเมื่อยล้าดวงตา

หน่วยอื่นที่อาจพบได้เพิ่มเติม

ในใบค่าสายตาบางครั้งอาจมีตัวย่ออื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยดังนี้

  • VD ย่อมาจาก Cornea vertex Distance เป็นตัวที่บ่งบอกถึงระยะห่างระหว่างกระจกตา ไปจนถึงเลนส์แว่นสายตา ซึ่งจะวัดระยะห่างเป็นหน่วยมิลลิเมตร
  • R1, R2 คือระยะรัศมีความโค้งของกระจกตา มีหน่วยวัดคือ มิลลิเมตร ไดออปเตอร์ (D) และองศา
  • SE ย่อมาจาก Spherical Equivalent ค่าสายตาสั้นหรือค่าสายตายาวที่ชดเชยให้กับค่าสายตาเอียงที่มีทั้งหมด
  • NPD ย่อมาจาก Interpupillary Distance at near คือระยะห่างกึ่งกลางดวงตาของทั้งสองข้างขณะมองระยะใกล้

วิธีอ่านค่าสายตา ฉบับเข้าใจง่าย

เมื่อเรารู้ถึงตัวย่อต่าง ๆ บนใบค่าสายตาแล้วอาจทำให้เข้าใจถึงความหมายตัวย่อนั้นได้ แต่หากใครที่ยังไม่เห็นภาพหรือไม่เข้าใจ สามารถดูตัวอย่างการอ่านค่าสายตาที่จะทำให้เข้าใจมากขึ้นกันค่ะ

คอนแทคเลนส์ค่าสายตาคืออะไร

ในใบค่าสายตาจะเริ่มที่ดวงตาขวาก่อนเสมอ ดังนั้นบรรทัดแรกที่เห็นตัวย่อ RE (OD) หมายถึงดวงตาด้านขวา โดยค่าต่าง ๆ สามารถแปลได้ดังนี้ 

  • SPH = -3.75 D หมายความว่ามีค่าสายตาสั้น 375
  • CYL = -1.00 หมายความว่ามีค่าสายตาเอียงร่วมกับสายตาสั้นด้วย
  • Axis = 90 คือพบปัญหาค่าสายตาเอียงอยู่ในแกนเส้นแนวตั้งของดวงตา
  • Prism = 0.5 ค่าที่จะแก้ไขปัญหามองเห็นภาพซ้อน
  • Add = +1.50 คือค่าที่ใส่เพิ่มเพื่อแก้ปัญหาสายตายาวตามวัย ในที่นี้มีการเพิ่มที่ +1.50 D

บรรทัดต่อมาจะเห็นตัวย่อ LE (OS) หมายถึงดวงตาด้านซ้าย โดยค่าต่าง ๆ สามารถแปลได้ดังนี้

  • SPH = -4.00 D หมายความว่ามีค่าสายตายาว 400
  • ไม่มีค่า CYL และ Axis ในใบค่าสายตา หมายถึงไม่มีค่าสายตาเอียงร่วมด้วย
  • Prism = 0.5 ค่าที่จะแก้ไขปัญหามองเห็นภาพซ้อน
  • Add = +1.50 คือค่าที่ใส่เพิ่มเพื่อแก้ปัญหาสายตายาวตามวัย ในที่นี้มีการเพิ่มที่ +1.50 D

บางที่อาจมีการวัดค่าสายตาด้วยเครื่องวัดค่าสายตาอัตโนมัติ เมื่อวัดค่าสายตาเรียบร้อยเครื่องจะปริ๊นสลิปที่มีค่าสายตาอยู่ ยกตัวอย่างเช่น

—----------------------------------------

  • หมายถึงตาขวาจากสลิปจะมีค่า SPH +1.00 หมายความว่ามีค่าสายตายาว 100 ไม่มีค่า CYL และ AX คือไม่มีค่าสายตาเอียง
  • หมายถีงตาซ้ายจากสลิปจะมีค่า SPH +1.75 หมายความว่ามีค่าสายตายาว 175 ค่า CYL +0.50 คือมีค่าสายตายาว 50 และมี Axis 38 คือมีองศาเอียง 38

สำหรับผู้ที่อยากอ่านค่าสายตาได้ด้วยตนเองคร่าว ๆ สามารถโฟกัสกับค่า SPH และค่า CYL ที่บอกถึงค่าสายตาสั้น (-D) ค่าสายตายาว (+D) และค่าสายตาเอียงได้ค่ะ 

ใบค่าสายตา มีความสำคัญอย่างไร

เมื่อวัดค่าสายตาแล้วทางจักษุแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะให้ใบค่าสายตากับคนไข้ ซึ่งคนไข้สามารถนำใบค่าสายตานี้ไปตัดแว่นสายตากับโรงพยาบาล คลีนิคหรือร้านแว่นอื่น ๆ ที่คนไข้ต้องการได้ หรือนำใบค่าสายตานี้ไปอ่านค่าสายตาเพื่ออ้างอิงการซื้อแว่นสายตาทางออนไลน์ได้ หรืออาจเก็บเอาไว้เป็นประวัติการตรวจค่าสายตา ดูการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาภายหลังได้

ใบค่าสายตาตัดแว่น ไม่เหมือน ใบค่าสายตาคอนแทคเลนส์

ค่าสายตาคอนแทคเลนส์ กับ แว่นตาจะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากระยะของเลนส์คอนแทคเลนส์กับเลนส์แว่นตามีระยะห่างจากดวงตาที่แตกต่างกัน เลนส์แว่นตาจะอยู่ห่างจากตาประมาณหนึ่ง แต่คอนแทคเลนส์จะสัมผัสโดยตรงบนดวงตา ซึ่งใบค่าสายตาคอนแทคเลนส์จะต้องระบุถึงความโค้งของฐานผิวด้านหลังของคอนแทคเลนส์ เส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ รวมทั้งยี่ห้อของคอนแทคเลนส์ด้วย และใบค่าสายตาคอนแทคเลนส์จะเขียนได้จากการการลองคอนแทคเลนส์ และผู้เชี่ยวชาญประเมินถึงการตอบสนองต่อการใช้คอนแทคเลนส์ก่อนแล้วเท่านั้น

คอนแทคเลนส์ค่าสายตาคืออะไร

ตรวจวัดค่าสายตาสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี

เพราะค่าสายตาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นการตรวจวัดค่าสายตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถทราบถึงการเปลี่ยนแปลงค่าสายตา และทำการพิจารณาเปลี่ยนแว่นสายตาและคอนแทคเลนสืที่เข้ากับสายตาปัจจุบันมากที่สุด หากใช้แว่นที่ตัดมานาน ๆ แล้วหรือใช้คอนแทคเลนส์ค่าเดิม ๆ ในขณะที่สายตาไม่ตรงกับของที่ใช้อยู่เดิม จะทำให้ค่าสายตาแย่มากขึ้น และมีอาการปวดตา ตาล้า ปวดหัวขึ้นได้ 

เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี เราจึงแนะนำให้ตรวจค่าสายตาอย่างสม่ำเสมอ หากยังไม่มั่นใจว่าจะไปตรวจวัดค่าสายตาที่ไหนดี เราขอแนะนำโรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ โดยเรามีทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันจักษุสมิติเวช ไชน่าทาวน์ มาตรวจวัดค่าสายตา อ่านค่าสายตา และรักษาแก้ไขค่าสายตาให้กับคุณได้ และยังมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย ช่วยให้ผลการตรวจวัดค่าสายตาเป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำที่สุด นอกจากนี้หากตรวจวัดค่าสายตาแล้วพบปัญหาค่าสายตา สามารถขอรับคำปรึกษาจากจักษุแพทย์และรวมไปถึงปรึกษาถึงทางเลือกการรักษาแก้ไขปัญหาสายตาต่อไป 

ข้อสรุป

ค่าสายตาเป็นตัวบ่งบอกถึงความสามารถในการมองเห็น ซึ่งแต่ละคนจะมีค่าสายตาที่แตกต่างกันออกไป แต่เนื่องด้วยวิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้มีผู้ที่มีปัญหาทางสายตามากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำว่าควรตรวจวัดค่าสายตาอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อเรามีความรู้ในการอ่านใบค่าสายตา จะทำให้เราสามารถเข้าใจกับปัญหาค่าสายตาของเราได้ดียิ่งขึ้น และทำให้เราพิจารณาแก้ไขปัญหาค่าสายตาได้ต่อไปค่ะ


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที

คอนแทคเลนส์ ควรใส่ค่าสายตาเท่าไร

- ค่าสายตาทั้งสั้นและยาวที่น้อยกว่า 4.00 หรือ 400 ค่าคอนแทคจะเท่ากับค่าแว่นตา - กรณีค่าสายตาสั้นตั้งแต่ -400 ค่าคอนแทคจะน้อยกว่าค่าแว่นตา - กรณีสายตายาวตั้งแต่ +400 ค่าคอนแทคจะมากกว่าค่าแว่นตา (พบได้น้อย)

ค่าDiaคอนแทคเลนส์คืออะไร

👉 DIA ย่อมาจาก DIA Diameters หมายถึง คือเส้นผ่านศูนย์กลางของคอนแทคเลนส์ ซึ่งจะบอกค่าความใหญ่ของคอนแทคเลนส์ เมื่อเทียบกับตาดำของเรา มี 4 ขนาดด้วยกัน 0 และ 14.2 ขนาดเท่าตาดำปกติ 5 จะใหญ่กว่าตาดำเล็กน้อย

คอนแทคเลนส์

CYL ย่อมาจาก Cylinder : อีกจุดนึงที่ห้ามพลาดคือ ค่าความเอียงค่ะ จะมีคอนแทคเลนส์ที่แก้ปัญหาสายตาเอียงอยู่ด้วย ซึ่งวิธีอ่านก็เหมือนค่าสายตาเลย ถ้า CYL -1.00 ก็หมายถึงสายตาเอียงลบ 100 นั่นเอง

ใส่คอนแทคเลนส์สายตา ดีไหม

ข้อดีของการใส่คอนแทคเลนส์ มีประโยชน์สำหรับผู้มีสายตาผิดปกติที่ไม่สามารถสวมใส่แว่นตาได้ สะดวกสบายและคล่องตัว ราคาถูกเมื่อเทียบกับการตัดแว่นสายตา มีมุมมองภาพกว้างขึ้น ภาพมีขนาดใหญ่กว่าการใส่แว่นตาสำหรับคนที่สายตาสั้น ส่วนคนสายตายาว ภาพที่มองเห็นจะเล็กกว่า