ทวีศิลป์ ซื่อสัตย์ Show 1.ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ ปัจจุบันการศึกษามุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุขนั้น คงจะไม่เพียงพอ คนเก่งในสังคมปัจจุบันไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ดังจะพบเห็นได้จากสื่อต่าง ๆ นักเรียนฆ่าตัวตาย เพราะเกรดไม่สูงดังที่ตั้งใจไว้ หรือเอนทรานซ์ไม่ได้ (ผ่องศรี สมยา. 2545 :13) จึงได้กำหนดจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับปัญหาความต้องการของยุคโลกาภิวัตน์ โดยมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี มีปัญญา มีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อและในการประกอบอาชีพ (กรมวิชาการ. 2544 : 4) ซึ่งนอกจากจะพัฒนาชีวิตมนุษย์ให้เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย สติปัญญา ความรู้ รวมถึงคุณธรรมในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว ยังต้องพัฒนาสังคมไทยให้เข้มแข็ง มีดุลยภาพใน 3 ด้าน คือ สังคมคุณภาพ สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ รวมถึงสังคมสมานฉันท์และเอื้ออาทรกัน(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2545 : 2) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า สังคมแห่งการเรียนรู้ ต้องสร้างเยาวชนของชาติ ให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มุ่งมั่นที่จะให้เยาวชนเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รู้จักแสวงหาความรู้ รู้จักใช้แหล่งเรียนรู้ ทั้งในโรงเรียนและชุมชน ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง สร้างองค์กรการเรียนรู้ นำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของตนเอง อันนำไปสู่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (อุดมศักดิ์ พลอยบุตร. 2544 : 2) ซึ่งสอดคล้องกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551ประการหนึ่งที่ว่า มุ่งให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเขียน รักการค้นคว้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นลักษณะที่สำคัญยิ่งในการเรียนรู้ของบุคคล จิตพิสัยเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ในด้านอารมณ์ ความรู้สึก และลักษณะนิสัยของผู้เรียน ซึ่งมีองค์ประกอบ ที่สําคัญ เช่น ความสนใจ เจตคติ แรงจูงใจ ค่านิยม ความซาบซึ้ง การมีอัตมโนทัศน์ แห่งตน ความสามารถควบคุมตนเอง การมีวินัยในตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง เป็นต้น จิตพิสัยมีความสัมพันธ์กับผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะเมื่อผู้เรียนมีจิตพิสัยที่ดีในการเรียนรู้แล้วย่อมมีความกระตือรือร้น สนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน อยากที่จะเรียนรู้ เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความเต็มใจ มีความรู้สึกที่ดีต่อการเรียน รู้สึกว่าการเรียนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีความสําคัญและมีประโยชน์ เรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ย่อท้อ มีความขยันอดทน เห็นคุณค่าของตนเอง และสามารถควบคุมตนเองในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กําหนด จึงมีผลทําให้ผู้เรียนประสบความสําเร็จในด้านการเรียน ดังเช่น การวิจัยของกัญจนา ทองสิงห์ (2540) ที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนความสามารถทางการเขียนเรื่อง และเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งพบว่า นักเรียนที่มีเจตคติที่ดีต่อการเรียน มีผลสัมฤทธิ์ในด้านการเรียนและความสามารถในด้านการเขียนเรื่องดีด้วย เช่นเดียวกับ เกษมศรี ภัทรภูริสกุล (2544) ที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความคงทนในการเรียนรู้ และความสนใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนที่มีความสนใจในการเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความคงทนในการเรียนรู้ดีด้วยเช่นกัน คุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นคุณลักษณะที่สำคัญต่อผู้เรียน ที่ควรส่งเสริมผู้เรียนให้รักการเรียนรู้ ชอบศึกษาหาความรู้และตื่นตัวกับสิ่งแปลกใหม่รอบตัว อยากรู้อยากเห็น เสาะแสวงหาความรู้ มีวิจารณญาณ เลือกตัดสินใจ คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดหาเหตุผล คิดจิตนาการ ประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ เกาะติดสถานการณ์ รู้จักซักถาม ค้นหาคำตอบ กระตือรือร้นต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ด้วยการติดตามข่าวสาร อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ เรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและมีทัศนคติที่ดีต่อการศึกษาตลอดชีวิต เพื่อทำให้ชีวิตของผู้เรียนมีความหมายมีชีวิตชีวาตลอดจนสำเร็จการศึกษา รับผิดชอบงาน รับผิดชอบชีวิตของตนเอง สามารถปรับตัวเองให้ทันสมัย ทันยุค ทันเหตุการณ์ ทันโลกและทันต่อความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สามารถอยู่ในสังคมการเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข (อารี พันธ์มณี. 2545 : 15) นอกจากนี้คุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียนเป็นลักษณะนิสัยอย่างหนึ่ง ที่สร้างศักยภาพในการนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ เป็นคุณลักษณะที่พบเห็นโดยทั่วไปในแถบประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกแต่แทบจะไม่มี ในสังคมไทย รากฐานความรู้ของคนไทยจึงอ่อนแอไม่สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. 2543 : 71) โดยเฉพาะวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่นิยมนำหนังสือติดตัวไปไหนเหมือนคนต่างชาติที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนด้วยการนำหนังสือติดตัวไปตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่บนรถไฟ รถทัวร์ รถเมล์ (วิชาญ อัครวนสกุล. 2545 : 14) หากบุคคลไม่มีนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียนหรือเรียนรู้ตลอดชีวิต ก็จะกลายเป็นคนล้าหลัง ไม่ทันคน ไม่ทันโลก ลำบากต่อการเปลี่ยนแปลงตนเองให้เข้ากับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลากหลายในยุคโลกาภิวัตน์ เพราะเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร การรับรู้อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ต้องรับรู้เรียนรู้ที่วิเคราะห์ สังเคราะห์ แยกแยะและประเมินค่าของข้อมูลข่าวสารให้ถูกต้องก่อนนำไปใช้ประโยชน์ (อารี พันธ์มณี. 2545 :15 -16) ความไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนของคนในสังคม นอกจากจะนำความพ่ายแพ้มาสู่ชีวิตแต่ละคนแล้วยังส่งผลเสียต่อชาติบ้านเมืองอีกด้วย (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. 2543 : 71) การพัฒนาผู้เรียนเพื่อให้เกิดจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน ควรเริ่มพัฒนาตั้งแต่ในเยาว์วัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งอุทัย ดุลยเกษม (2543 : 21, 32 – 33) ได้ให้ขอคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในระดับนี้ว่า การจัดการศึกษาในระดับประถมศึกษาเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสถาบันครอบครัวกับสถาบันการศึกษาในระดับอื่น ๆ ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในระดับนี้จะต้องคํานึงถึงการพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้ในด้านจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนของผู้เรียน เพราะจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนหรือความรู้สึกเป็นพลังสําคัญของการเรียนรู้ของผู้เรียนในวัยนี้ (อายุ 7-14 ปี) ถา้ผู้เรียนเข้ามาอยู่ในโรงเรียนแล้วได้รับการจัดการเรียนการสอนที่ไม่คํานึงถึงอารมณ์หรือ ความรู้สึกของผู้เรียนแล้ว ก็จะทําให้ผู้เรียนรู้สึกเคร่งเครียด เบื่อหน่ายและเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการเรียน เรียนรู้ด้วยความทุกข์ ไม่อยากมาโรงเรียน เฝ้าแต่รอวันที่จะจบการศึกษา และเมื่อจบการศึกษาในระดับนี้แล้วก็ไม่อยากเรียนต่อหรือแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ดังนั้นการพัฒนาผู้เรียนในระดับประถมศึกษาให้เกิดจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนจึงเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ ผลจากการศึกษาจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 พบว่า คุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สําคัญต้องพัฒนาให้เกิดแก่ผู้เรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ได้แก่ มีความสนใจแสวงหาความรู้และรูปแบบการทํางานใหม่ๆ เห็นคุณค่าและ ชื่นชมต้อการใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการ อ่าน การเขียน การศึกษาค้นคว้า การมีวินัยในตนเอง มีความเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล มีเหตุผล รู้หน้ที่ ซื่อสัตย์ พากเพียร ขยัน ประหยัด เห็นคุณค่าของตนเองปฏิบัติ ตามหลักธรรมของพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความเสียสละ สามัคคี ยอมรับ ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น (คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้. 2543: 11-12, กรมวิชาการ. 2544 : 4) แต่จากการศึกษางานวิจัยของปรีชา งามประดับ (2545 : บทคัดย่อ) ที่ศึกษาเกี่ยวกับสภาพและปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสํานักงานการประถมศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการสอบถามความคิดเห็นจากผู้บริหารโรงเรียน พบว่าโรงเรียนส่วนมาก ยังมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เรียนคือ ผู้เรียนยังขาดคุณลักษณะนิสัยสนใจใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ขาดโรงเรียนบ่อย ไม่อยากมาเรียน ไม่มีความกระตือรือร้น และไม่มีระเบียบวินัย เช่นเดียวกันกับงานวิจัยของมาลี ปานบุญห้อม (2540 : บทคัดย่อ) ที่ศึกษาเกี่ยวกับสภาพและปัญหาของการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครโดยการสอบถามความคิดเห็นของครูผู้สอนพบว่า ครูผู้สอนได้แสดงความคิดเห็นว่า ผู้เรียนที่ตนสอนยังขาดความสนใจในการเรียน ดังนั้นจากผลการวิจัย ดังกล่าว จึงสะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้เรียนในระดับประถมศึกษาที่ขาดจิตพิสัยในการเรียนรู้ โดยเฉพาะด้านความสนใจในการเรียน เจตคติ แรงจูงใจ และการมีวินัยในตนเอง เพราะฉะนั้น ในการพัฒนาผู้เรียนในระดับประถมศึกษา ให้เกิดจิตพิสัยในด้านดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่มีความจําเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้การพัฒนาจิตพิสัยในด้านใฝ่รู้ใฝ่เรียนระดับประถมศึกษายังสอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง ครูผู้สอน ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านจิตพิสัยด้วย (สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. 2543 : 7, สุทธิพันธ์ ผ่องอักษร. 2540) แต่อย่างไรก็ตาม ผลจากการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะใฝ่รู้ ใฝ่เรียนของนักเรียนโรงเรียนวัดประทุมทายการาม ปรากฏว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร นักเรียนยังมีคุณลักษณะด้านความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียนอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสาเหตุของปัญหาเกิดมาจากตัวนักเรียนเองหรือสาเหตุมาจากครอบครัวปล่อยปละละเลยมากเกินไป ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่มีฐานะความเป็นอยู่ไม่ดี ไปทำงานรับจ้างต่างถิ่นและในเมือง ทิ้งภาระปกครอง ดูแลให้ญาติ หรือปล่อยให้อยู่ตามลำพัง ทำให้เกิดปัญหาด้านการเรียน ขาดความรับผิดชอบ ขาดความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน ส่วนหนึ่งมาจากการดูแลช่วยเหลือนักเรียนยังไม่เป็นระบบขาดความต่อเนื่อง และที่ผ่านมาการดำเนินงานปกครองโรงเรียนยังไม่เอื้อต่อการพัฒนาจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนอันเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาคุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียนไม่ครอบคลุมถึงความรู้สึกนึกคิด นักเรียนไม่มีความตระหนักและเห็นความสำคัญในคุณลักษณะความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน การพัฒนาผู้เรียนในระดับประถมศึกษาให้เกิดจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน ควรคํานึงถึงปัจจัยที่มี ผลต้อการพัฒนาจิตพิสัยของผู้เรียนด้วย ผลจากการสังเคราะห์งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตพิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียนของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษา พบว่าปัจจัยด้านการจัดการเรียนการสอนมีค่าเฉลี่ยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์กับผลการพัฒนาจิตพิสัยของผู้เรียนสูงสุด (วสันต์ ทองไทย. 2545 : 40) อาจกล่าวได้ว่าสิ่งสําคัญที่จะช่วยพัฒนาจิตพิสัยของผู้เรียนก็คือการจัดการเรียนการสอนและจากการศึกษาของวุฒินันท์ อบอุ่น (2544 : 168) พบว่าครูผู้สอนในชั้นประถมศึกษามีความต้องการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเพื่อเสริมสร้างผู้เรียนให้มีจิตพิสัยในการเรียนรู้ คือมีความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน ค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ และมีแรงจูงใจในการเรียน ด้วยเช่นกัน และสิ่งสําคัญประการหนึ่งของการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนนั้นจะต้องอาศัยการสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการวิจัย เพราะการพัฒนาผู้เรียนในระดับประถมศึกษาให้เกิดจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนเป็นเรื่องสําคัญ เนื่องจากคุณลักษณะดังกล่าวมีผลต่อการเรียนรู้และเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน แต่จากสภาพความเป็นจริง พบว่ายังมีผู้เรียนในระดับประถมศึกษาขาดคุณลักษณะดังกล่าว นอกจากนี้แล้วงานวิจัยที่สร้างองค์ ความรู้ เกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนให้แก่ผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษายังมีจํานวนน้อย ซึ่งครูผู้สอนในระดับชั้นประถมศึกษาก็ยังมีความต้องการแนวทางในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างจิตพิสัยในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สนใจทำเรื่อง การพัฒนาจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนต่อความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียนและเจตคติของนักเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน วิเคราะห์ที่มาและความสำคัญ จับประเด็นได้ว่า ประเทศไทยขาดความรู้ “การสร้างจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน” ทำให้ครูประถมไม่มีความรู้ในการจัดการเรียนการสอน ปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้พ่อแม่ไม่สอนลูก เป็นผลให้เยาวชนกลุ่มนี้ไม่ตั้งใจเรียน สิ่งที่ไม่ทราบว่า คือ (1) โรงเรียนวัดประทุมทายการาม มีปัญหาอะไรบ้าง และมีปัญหาเรื่องนี้อยู่มากน้อยเท่าใด ดังนั้นผู้วิจัยควรจะอธิบายบริบทและสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของโรงเรียน (2) ทำไม จึงเลือกใช้ชุดกิจกรรมจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน ดีอย่างไร มีวิธีการอื่นหรือไม่ ดังนั้นผู้วิจัยต้องอธิบายความสัมพันของชุดกิจกรรม สิ่งที่เข้าใจ คือ มีความรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว รู้ว่าจะกระตุ้นอย่างไรให้ผู้เรียนอยากใฝ่รู้ ไม่เช่นนั้นประเทศไทยคงจะอ่อนแอมากกว่านี้ ที่กล่าวมาเป็นปัญหาเฉพาะกับนักเรียนบางคน บางกลุ่ม (ไม่แน่ใจว่ามีมากขนาดไหน) ที่โรงเรียนต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ และจัดกระบวนการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน สิ่งที่ควรทำคือ สืบหาความรู้ นำความรู้มาพัฒนากระบวนการสอนสำหรับนักเรียนกลุ่มนี้ ภายใต้เงื่อนไขบางอย่างที่คงอยู่ คือ ปัญหาเศรษบกิจ ครอบครัว สังคม และอื่นๆ
วิเคราะห์วัตถุประสงค์ การใช้วัตถุประสงค์แบบนี้ ทำให้ได้ความรู้ใหม่ไม่มาก พอจะคาดคะเนผลวิจัยได้ว่า “ใช้ดีกว่าไม่ใช้ หลังใช้ดีกว่าหลังใช้ เจตคติดีขึ้นเพราะได้สัมผัสของใหม่” ยังไม่เห็นเป้าหมายที่ทำให้ได้ “ความรู้” สำหรับใช้แก้ปัญหา “การไม่ใฝ่รู้ของผู้เรียน” นอกจากนี้ไม่แน่ใจว่า ชุดกิจกรรมที่ดีที่สุดจะแก้ปัญหานี้ได้ กลุ่มทดลอง คือ นักเรียนป. 4 ทำไมไม่ทำทั้งโรงเรียน เพราะปัญหาเริ่มต้นที่ ป.1 ถ้าแก้ที่ต้นน้ำได้ ปลายน้ำก็ไม่เกิดปัญหา
กิจกรรมที่ 2 สร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดคุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน กิจกรรมที่ 3 สร้างแบบสอบถามวัดเจตคติของนักเรียนต่อความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน กิจกรรมที่ 4 การเก็บรวบรวมข้อมูล กิจกรรมที่ 5 สรุปผล และเขียนรายงานการวิจัย วิเคราะห์วิธีวิจัย การออกแบบวิจัย แบบกิจกรรมย่อย เพื่อตอบวัตถุประสงค์แต่ละข้อ นั้น หมายความว่า จะได้ความรู้ทีละเรื่องหรือมากกกว่าในแต่ละกิจกรรม ดังนี้นเราสามารถใช้การวิเคราะห์ว่า ได้ความรู้ในแต่ละกิจกรรมหรือไม่ เพื่อบอกว่า ใช่หรือไม่ใช่กิจกรรมวิจัย กิจกรรมที่ 1 สร้างชุดกิจกรรมจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นกิจกรรมวิจัย เพราะจะได้วิธีสร้างชุดกิจกรรม และได้ชุดกิจกรรมที่มีคุณภาพ กิจกรรมที่ 2 สร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดคุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่เป็นกิจกรรมวิจัย เพราะการวิจัยครั้งนี้ไม่ได้พัฒนาแบบทดสอบ
เช่นเดียวกับ กิจกรรมที่ 2
เพราะเราไม่ได้ต้องการสร้างความรู้ ในเรื่องพัฒนาแบบสอบถาม ไม่เป็นกิจกรรมวิจัย เพราะเราไม่ได้ต้องการศึกษาเรื่องการเก็บรวบรวมข้อมูล ไม่เป็นกิจกรรมวิจัย เพราะเป็นการทำงาน สรุป มีกิจกรรมเดียว คือ การสร้างชุดกิจกรรม วิเคราะห์จากโจทย์วิจัย “การพัฒนาจิตพิสัยใฝ่รู่ใฝ่เรียน..โดยใช้ชุดกิจกรรม” จากคำ “จิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน” เป็นผลจากการกระทำ หรือจากปัจจัยอื่น ดังนั้นเราไม่สามารถพัฒนาที่ผล เราต้องไปกระทำหรือพัฒนาที่เหตุ ซึ่งทำให้เกิดสิ่งนี้ ผล “จิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน” วัดได้จากข้อมูล 7 ค่าตามที่กล่าวข้างต้น การวิจัยของคนอื่น ยังไมใช่ทฤษฎีหรือหลักการ ที่ควบคุม “จิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน” ดังนั้นต้องทำความเข้าใจกับทฤษฎีก่อน เพื่อเป็นสิ่งยึดไม่ให้หลงทาง
เดือนที่
1-4 กิจกรรมที่ 1 สร้างชุดกิจกรรม วิเคราะห์แผนการดำเนินงาน ปรับปรุงตามกิจกรรมที่เปลี่ยนไป 5. ผลที่คาดว่าจะได้รับ เดือนที่ 1-4 ได้ชุดกิจกรรมบูรณาการจิตพิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน 10 หน่วย วิเคราะห์ผลที่คาดว่าจะได้รับ ปรับปรุงตามกิจกรรมที่เปลี่ยนไป 6. งบประมาณ ไม่เกิน 60,000 บาท 7.เอกสารอ้างอิง (จากทั้งหมด 134 อ้างอิง) ข้อเสนอโครงการนี้ สืบค้นข้อมูลวิจัยมาค่อนข้างดี แต่ยังขาดการเชื่อมโยงบริบทและปัญหาในโรงเรียน ทฤษฎีและหลักการ มาใช้ในการออกแบบการวิจัย ที่สำคัญคือ การวิจัยครั้งนี้ต้องเชื่อมโยงกับการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิศาสตร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการให้ทุนของโครงการผู้บริหารโรงเรียนทำวิจัย การวิจัยควรจะออกแบบให้แก้หรือปรับปรุงปัจจัยหลายตัว ที่เป็นระบบมากกว่าการวิจัยในชั้นเรียน ดังนั้นก่อนทำวิจัยจำเป็นต้องวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วใช้วิจัยเป็นเครื่องมือในการศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ แนะนำให้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการใหม่ โดยใช้การระดมความคิดเห็นของครู และใช้แนวคิดที่กล่าวมาข้างต้น ข้อใดเป็นลักษณะนิสัยของผู้ที่ใฝ่เรียนรู้ประกอบด้วยตัวชี้วัด 3 ข้อ ได้แก่ 4.1 ตั้งใจเพียรพยายามในการเรียน และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ พฤติกรรมบ่งชี้ เช่น ตั้งใจเรียน เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้ และสนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ
ความใฝ่รู้คืออะไรมีความสําคัญอย่างไรความใฝ่รู้ (curiosity) คือคุณลักษณะของผู้ที่มีความอยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่ และมีความสนใจที่จะแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอยู่เสมอ ที่ผ่านมาน้องๆ อาจจะยังไม่ทราบว่า ประเทศไทยเราให้ความสำคัญกับการสร้างความใฝ่รู้มากเลยนะคะ กรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552 - 2561) มุ่งพัฒนาคนยุคใหม่ให้มีนิสัยใฝ่รู้ สามารถเรียน ...
ผลดีของการใฝ่หาความรู้มีอะไรบ้างคนที่มักเรียนรู้ชื่นชอบการเรียนรู้อยู่เสมอ แสดงว่าเป้นคนที่มีความสุขกับการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ นอกจากจะเป็นการหาความสุขแล้ว ยังเป็นการได้ความรู้เพิ่มเติมด้วย ยิ่งเรารู้ว่าสิ่งที่เราต้องการเรียนรู้มันยากมากขนาดไหน ท้าทายมากขนาดไหน เมื่อเราทำมันได้สำเร็จ เราก็จะยิ่งมีวคามภาคภูมิใจ และมีความสุขใจมากขึ้นเท่านั้น และครั้งต่อ ...
การใฝ่หาความรู้ มีกี่ทาง๔ ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม ๔.๑. ตั้งใจเพียรพยายามในการเรียน และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ พฤติกรรมบ่งชี้ เช่น ตั้งใจเรียน เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้ และสนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ
|