สอบเข้า มหา ลัย ใช้คะแนนอะไรบ้าง

สอบเข้า มหา ลัย ใช้คะแนนอะไรบ้าง

พร้อมหรือยังคะสำหรับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยฯ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแป๊บเดียว น้อง ๆ ก็เดินทางเข้าสู่มัธยมศึกษาตอนปลายกันแล้ว อีกไม่นานก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยฯ กัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ที่จะต้องเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะสามารถสอบเข้าคณะและมหาวิทยาลัยในฝันที่อยากศึกษาต่อได้ การที่จะได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยในฝัน จะพึ่งโชคชะตาอย่างเดียวก็ลูจะไม่มีหวัง ต้องอาศัยความมุมานะและความตั้งใจของตัวน้อง ๆ เอง ซึ่งพี่กริฟฟินเชื่อว่าถ้าเตรียมตัวอย่างดี น้อง ๆ จะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยตามที่ใจอยากเข้าได้แน่นอน แต่จะเตรียมตัวอย่างไร เริ่มตอนไหน สอบวิชาไหนเก็บคะแนนไว้ก่อนดี วันนี้พี่กริฟฟินจะมาไกด์ไลน์เพื่อเป็นแนวทางให้กับน้อง ๆ กันค่ะ 

เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยฯ ควรเริ่มตอนไหนดี

บางคนก็คิดว่ายังพอมีเวลา ค่อยไปเริ่มตอน ม.6 ก็ได้ ไปเตรียมสอบตอนใกล้ ๆ มีแรงกระตุ้นดี แต่พี่กริฟฟินขอแนะนำว่าอย่าทำแบบนั้นเลยค่ะ เดี๋ยวหัวใจจะวายเอาซะก่อนจะได้สอบ

ความจริงแล้วเราค่อย ๆ เตรียมตัวไปเรื่อย ๆ ดีกว่าค่ะ น้อง ๆ ที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว สามารถเตรียมตัวเพื่อสอบวุฒิ GED ได้เลยค่ะ และเมื่ออายุครบ 16 ปี ก็สามารถสอบได้ เป็นการย่นระยะเวลา เพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้เร็วขึ้น

ส่วนน้อง ๆ ที่เรียนในระบบโรงเรียนปกติ เริ่มวางแผนเข้ามหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่ ม.4 (Grade 10) เลยค่ะ น้อง ๆ อาจจะเริ่มที่เลือกคณะและมหาวิทยาลัยที่ตัวเองอยากเข้าเรียนก่อน เพื่อที่จะได้ศึกษาหาข้อมูลต่อว่าเราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ต้องเตรียมผลสอบอะไรบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องรีบทำตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เช่นนั้นหากเก็บคะแนนไม่ทัน ได้เห็นคนนั่งไม่ติดเป็นแน่แท้ และอาจพลาดโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยในฝันก็เป็นได้

สำหรับมหาวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์ส่วนใหญ่จะเริ่มรับสมัครตั้งแต่ปลายปี (ธันวาคม) ไปจนถึงต้นปีถัดไป (มีนาคม)  ดังนั้นแล้วใครอยากจะสมัครเรียนมหาลัยฯ อินเตอร์ ควรมีเวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 1 ปีและพยายามสอบให้ได้คะแนนสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำก่อนเดือนธันวาคม เพื่อที่จะได้ยื่นสมัครในปีการศึกษานั้นได้ทัน ดังนั้นน้อง ๆ ควรจะมาเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยฯ กันตั้งแต่ขึ้น ม. 4-5 (Grade 10-11) จะได้มีเวลาในการอ่านหนังสือและติวสอบ เพื่อที่จะสามารถสอบเก็บคะแนนไว้ล่วงหน้า ยิ่งสอบผ่านได้ก่อนก็จะทำให้น้อง ๆ มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น 

อยากเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ต้องสอบอะไรบ้าง

สำหรับใครที่อยากเข้ามหาวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์ แต่ไม่รู้ว่าต้องสอบอะไรบ้าง วันนี้พี่กริฟฟินมีคำตอบให้ เพื่อที่น้อง ๆ จะได้เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยฯ ตั้งแต่เนิ่น ๆ

โดยปกติแล้วการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ จะแบ่งข้อสอบออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. High School Diploma

แน่นอนว่าการจะเข้ามหาวิทยาลัยนั้นน้อง ๆ จะต้องจบการศึกษาระดับมัธยมปลายก่อน หรือสามารถแสดงวุฒิใดวุฒิหนึ่งดังต่อไปนี้

GED : หลักสูตรการศึกษาเทียบเท่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากสหรัฐอเมริกา มีทั้งหมด 4 วิชา หากน้อง ๆ สอบผ่านทั้งหมด 4 วิชา ก็เท่ากับว่าได้วุฒิจบมัธยมศึกษาตอนปลายนั่นเอง GED เปิดสอบทั้งปี น้อง ๆ สามารถวางแผนการติวสอบได้เลยค่ะ

อ่านเพิ่มเติม GED คือ อะไร คลิก www.houseofgriffin.com/blog/ged-คืออะไร/

IGCSE + A Level : หลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของประเทศอังกฤษ โดยจะเปิดสอบปีละ 2 รอบ ช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน และ ตุลาคม – พฤศจิกายน ดังนั้นใครที่อยากสอบ IGCSE ควรแพลนเวลาในการติวสอบไว้ล่วงหน้านะคะ

อ่านเพิ่มเติม IGCSE คือ อะไร คลิก www.houseofgriffin.com/blog/igcse-คือ-อะไร/

IB Diploma : หลักสูตรเทียบเท่าการเรียนระดับมัธยมปลาย การทดสอบในหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับในระดับสูงจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก เพื่อใช้ในการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา

2. English Proficiency Test

ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ การจะเรียนหลักสูตรอินเตอร์นั้น ภาษาอังกฤษต้องเป๊ะปัง น้อง ๆ จะต้องมีผลสอบนี้เพื่อพิสูจน์ว่าจะสามารถเรียนภาคภาษาอังกฤษได้ โดยสามารถยื่นผลสอบข้อใดข้อหนึ่งได้ดังนี้

TOEFL : ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษจากสหรัฐอเมริกา เป็นการวัดความสามารถภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ มีจัดสอบทุกวัน และผลสอบสามารถเก็บได้ 2 ปี ดังนั้นน้อง ๆ สามารถเริ่มสอบได้ตั้งแต่ ม.5 เลยค่ะ ผลสอบ TOEFL สามารถใช้ยื่นได้ทุกมหาวิทยาลัย

IELTS : เป็นการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษมาตรฐานนานาชาติของประเทศอังกฤษ ครอบคลุมทักษะ 4 ด้าน คือ Reading, Writing, Listening & Speaking โดยสอบแบบคอมพิวเตอร์จะมีเปิดสอบทุกวัน และแบบ Paper จะมีเปิดสอบทุกเดือน เดือนละ 3-4 วัน อย่างไรก็ตามต้องเช็กตารางสอบอีกทีนะคะ  ผลสอบ IELTS จะสามารถอยู่ได้ 2 ปี น้อง ๆ ก็สามารถเริ่มสอบเก็บคะแนนไว้ได้เลยค่ะ

CU-TEP หรือ TU-GET : ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของทางสถาบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาธรรมศาสตร์ ผลสอบจะมีอายุ 2 ปีเช่นกัน

3. Standardized Test

แบบทดสอบมาตรฐานที่ใช้วัดความสามารถในทักษะต่าง ๆ เช่น

SAT : เป็นการทดสอบการใช้เหตุผลในวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จะมีการเปิดสอบทุก ๆ 2 เดือน และผลสอบอยู่ได้ 2 ปี น้อง ๆ สามารถเริ่มสอบเก็บคะแนนได้ตั้งแต่ ม. 5 เลยนะคะ เพราะเมื่อถึงวันใกล้จบการศึกษาจะได้ไม่ชุลมุนวุ่นวายค่ะ

อ่านเพิ่มเติม SAT คือ อะไร คลิก www.houseofgriffin.com/blog/sat-คือ-อะไร/

BMAT : เป็นข้อสอบเฉพาะทางมาตรฐานนานาชาติ สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาต่อหลักสูตรทางด้านการแพทย์ (คณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ หรือคณะทันตแพทยศาสตร์) สามารถใช้คะแนนในการยื่นในระบบ TCAS รอบที่ 1 Portfolio ตอนต้นปี ปกติจัดสอบปีละ 1 ครั้งในเดือนพฤศจิกายน ผลสอบมีอายุ 2 ปี

อ่านเพิ่มเติม BMAT คือ อะไร คลิก www.houseofgriffin.com/blog/bmat-คืออะไร/

CU-ATS : ข้อสอบความถนัดทางวิทยาศาสตร์ ใช้สำหรับยื่นสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในคณะวิทยาศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดสอบประมาณ 4-6 ครั้งต่อปี ผลสอบมีอายุ 2 ปี 

CU-AAT : แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ (Mathematics) และภาษาอังกฤษ (Verbal) ใช้ในการพิจารณาผู้ยื่นเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีของหลักสูตรนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย CU-AAT จะมีการจัดสอบประมาณ 4-6 ครั้งต่อปี ผลสอบมีอายุ 2 ปี 

อย่างไรก็ตามเมื่อน้อง ๆ รู้แล้วว่าอยากเข้าคณะอะไร มหาวิทยาลัยไหน ให้ลองดูรายละเอียดอีกทีว่าจำเป็นต้องใช้ผลสอบอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้เตรียมสอบตัวนั้น ๆ ได้อย่างเต็มที่

Timeline ติวสอบและสอบเก็บคะแนน

สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าจะสอบอะไรบ้าง ติวสอบเมื่อไหร่ สมัครสอบช่วงไหน พี่กริฟฟินลองทำสรุปคร่าว ๆ เพื่อเป็นไอเดียเพิ่มเติมให้กับน้องค่ะ อาจจดูอัดแน่นสักนิดนึง แต่เชื่อเถอะ เหนื่อยก่อน สบายทีหลัง ดีกว่าแน่นแน เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดในการสอบจะได้มีเวลาในการสอบซ่อม หรือสอบเพื่อให้ได้คะแนนที่สูงขึ้นนั่นเองค่ะ 

แบบที่ 1 เริ่มเตรียมตัวเดือนกรกฎาคม เหมาะกับสายขอเหนื่อยก่อน สบายทีหลัง

สอบเข้า มหา ลัย ใช้คะแนนอะไรบ้าง

แบบที่ 2 เตรียมตัวตั้งแต่ต้นปี เหมาะกับสายชิว เรียนไปด้วย พักผ่อนไปด้วย

สอบเข้า มหา ลัย ใช้คะแนนอะไรบ้าง

GED

พี่กริฟฟินแนะนำให้ติวสอบ GED กับทางสถาบัน House of Griffin ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อเก็บวุฒิม.ปลายมาไว้ในครอบครองให้อุ่นใจก่อน อย่างที่น้อง ๆ ทราบ การสอบ GED ต้องใช้ถึง 4 วิชาในการสอบให้ผ่าน ซึ่งเราจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ในการเรียนจนครบหลักสูตร หลังจากเรียบจบคอร์ส น้อง ๆ ก็สามารถเริ่มสมัครสอบ GED ได้เลยในเดือนที่ 3 เรียนจบเดือนไหนก็สามารถสมัครสอบได้ทันที เพราะ GED เปิดให้สอบตลอดทั้งปี 

การสอบ GED ไม่จำเป็นต้องสอบทีเดียวทั้ง 4 วิชา น้อง ๆ สามารถทยอยสอบทีละวิชาได้ วิชาไหนที่สอบไม่ผ่านก็สามารถลงทะเบียนสอบใหม่ได้เลย (ไม่เกิน 3 ครั้ง) หากสอบไม่ผ่านครั้งที่ 4 จะต้องรอ 60 วัน ดังนั้นพี่กริฟฟินจึงให้เวลาในการสอบ GED ค่อนข้างนานเพื่อที่น้อง ๆ จะได้สามารถทยอยสอบได้ ไม่เร่งและไม่เครียดจนเกินไป แนะนำให้สอบ GED ก่อนเพราะผลสอบไม่มีวันหมดอายุเนื่องจาก GED ถือเป็นวุฒิการศึกษาแบบหนึ่ง ผ่านแล้วคือผ่านเลย

SAT

หลังจากนั้นน้อง ๆ สามารถเริ่มติว SAT ต่อได้เลย เผื่อเวลาสำหรับติว SAT ไว้ 3 เดือน ใครสายชิว ติวแบบสบาย ๆ ก็เลือกลงสอบช่วงครึ่งปีหลังในเดือนสิงหาคม ตุลาคม หรือธันวาคม ใครสายแบบเร่งรัด ก็ลงสอบช่วงครึ่งปีแรกในเดือนมีนาคมและเดือนพฤษภาคมได้เช่นกัน ยังพอมีเวลาเหลือสำหรับแก้ตัว ถ้ายังไม่พอใจกับคะแนนสอบ เดือนสอบ SAT ที่นำมาอ้างอิงนี้ นำมาจากตารางสอบของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามน้อง ๆ ต้องคอยเช็กปฏิทินสอบอยู่เสมอนะคะ เผื่อว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไร จะต้องเปลี่ยนแพลนได้ทันเวลา 

IELTS 

ปิดท้ายด้วยการสอบ IELTS ทางสถาบัน House of Griffin มีรอบติวสอบเปิดให้เกือบทุกเดือน ใช้เวลาเรียนประมาณ 2 เดือน พอเรียนเสร็จก็สมัครสอบในเดือนที่ 3 ได้เลย ตารางสอบ IELTS เปิดตลอดทั้งปี หากสอบแบบคอมพิวเตอร์จะมีเปิดสอบทุกวัน และแบบ Paper จะมีเปิดสอบทุกเดือน เดือนละ 3-4 วัน อย่างไรก็ตามต้องเช็กตารางสอบอีกทีนะคะ ผลสอบ IELTS จะสามารถอยู่ได้ 2 ปี เพราะฉะนั้นเริ่มสอบเตรียมเก็บคะแนนได้ตั้งแต่ ม.5 หรือ Grade 11 ได้เลยค่ะ

พี่กริฟฟินคำนวณช่วงเวลาไว้ให้คร่าว ๆ อาจจะดูค่อนข้างแน่นจนอยากร้องไห้ แต่พี่กริฟฟินเผื่อเวลาให้น้อง ๆ มีโอกาสได้แก้ตัว เผื่อมีวิชาไหนที่น้อง ๆ สอบไม่ผ่าน หรือคะแนนไม่ถึงเกณฑ์หรืออยากได้คะแนนมากกว่านี้ น้อง ๆ จะได้มีเวลาที่เหลือในการสอบเก็บคะแนนเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งใจไว้ อีกทั้งบางคณะอาจต้องใช้คะแนนสอบอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวด้านบน เช่น คะแนน ACT หรือ คะแนน CU-ATS สำหรับคณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือคะแนน BMAT สำหรับคณะแพทยศาสตร์  น้อง ๆ จะได้แพลนเวลาที่เหลือหลังจากเก็บคะแนนสอบหลักไปแล้วด้วยเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม Timeline นี้ไม่ได้กำหนดตายตัว น้อง ๆ สามารถปรับให้เหมาะสมความกับพร้อมของน้อง ๆ ได้เลย เพราะตัวเราเองจะรู้กำลังตัวเองดีที่สุด แบ่งเวลาอ่านหนังสือ / ติวสอบ แล้วก็อย่าลืมแบ่งเวลาพักผ่อนด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดความเครียดเกินไป ไม่เป็นผลดีกับสุขภาพ สุขภาพเราต้องมาเป็นอันดับแรก ถึงจะมีแรงสู้กับข้อสอบนะคะ

ใครที่อยากจะเริ่มเตรียมสอบ ไม่ว่าจะเป็น GED, IGCSE, SAT, TOEFL, IELTS หรืออื่น ๆ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการยื่นพิจารณาศึกษาต่อในระดับมหาลัยวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์ น้อง ๆ สามารถมาติวกับสถาบัน House of Griffin ได้เลย ทางสถาบันมีให้เลือกครบทุกหลักสูตรที่จำเป็นสำหรับหลักสูตรอินเตอร์ น้อง ๆ จะได้ติวเนื้อหาแน่น ๆ ได้ลองทำข้อสอบเสมือนจริง อีกทั้งยังได้เคล็ดลับในการสอบอีกมากมายจากทีมอาจารย์ผู้สอน ทางสถาบันมีตารางเรียนให้เลือกเรียนตามสะดวก น้อง ๆ อยากจะเรียนเดี่ยว กลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ แล้วถ้าใครคิดว่ามาติวหลายวิชาต้องเครียดแน่ ๆ อยากจะบอกน้อง ๆ ว่า คิดผิดค่ะ เพราะที่ House of Griffin เกือบจะไม่ใช่เป็นโรงเรียนติวหนังสือแล้ว เพราะที่นี่เป็นเสมือนคอมมูนิตี้ที่รวมรวบนักเรียนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เรียนแบบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนความรู้ในบรรยากาศสบาย ๆ เป็นกันเอง ถ้าไม่เชื่อ ต้องมาลองพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว สมัครเลย

ปรึกษาคอร์สติวสอบเข้าอินเตอร์


www.houseofgriffin.com/courses/ติวสอบged/

www.houseofgriffin.com/courses/sat/

www.houseofgriffin.com/courses/ielts/


โทร. 0-2644-6006-7
LINE: @houseofgriffin

สอบเข้า มหา ลัย ใช้คะแนนอะไรบ้าง