13.ทฤษฎีของ Perter F Drucker หลักการ/แนวคิด/ประวัติความเป็นมา เกิดในกรุงเวียนนา ออสเตรีย ในปี 1909 และจบการศึกษาระดับปริญญาเอก ในด้านกฎหมายจาก Frankfurt University ที่เยอรมนี จากนั้นก็เข้าทำงาน เป็นนักข่าวเศรษฐกิจที่หนังสือพิมพ์ Frankfurter General-Anzeiger
รับผิดชอบ ข่าวต่าง ประเทศและข่าวธุรกิจ ต่อมาในปี 1933 เขาอพยพ หนีนาซีมาอยู่ในลอนดอน ประเทศ อังกฤษ แนวคิดพื้นฐาน แนวคิดในการบริหารจัดการหลายประการมาจากงานเขียนของดรักเกอร์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น: การกระจายอำนาจและการทำให้เข้าใจง่าย ดรักเกอร์ได้ลดคำสั่งกับรูปแบบการควบคุม และกล่าวว่าบริษัทที่มีการทำงานที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีการกระจายอำนาจ ตามแนวคิดของดรักเกอร์คือ บริษัทมักจะมีแนวโน้มที่จะผลิตสินค้ามากเกินไป รวมทั้งมีการจ้างพนักงานที่ไม่จำเป็น และมักขยายสู่ภาคเศรษฐกิจที่ควรหลีกเลี่ยง, ความสงสัยลึกซึ้งของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาค ดรักเกอร์ได้โต้แย้งว่าเศรษฐศาสตร์ที่จัดสอนภายในโรงเรียนทั้งหมดไม่สามารถอธิบายถึงลักษณะสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้แต่อย่างใด, จากการแสดงความเคารพต่อคนงาน ดรักเกอร์เชื่อว่าพนักงานทั้งหลายต่างเป็นทรัพย์สิน และไม่ได้เป็นหนี้สิน เขาสอนให้รู้ว่าความรู้ของคนงานเป็นส่วนประกอบสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ใจความสำคัญของแนวปรัชญานี้เป็นมุมมองว่าผู้คนต่างเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร และหน้าที่ของผู้จัดการก็คือการเตรียมการและให้ความเป็นเสรีต่อบุคลากรในการดำเนินการ เขายังให้แนวคิดด้านความจำเป็นในการบริหารธุรกิจ โดยให้ความสำคัญต่อหลายความต้องการและเป้าหมาย มากกว่าการอยู่ใต้คำบังคับบัญชาเพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้เป็นการบริหารจัดการที่มีรูปแบบวัตถุประสงค์จากประเด็นสำคัญของเขาในปี ค.ศ. 1954 ซึ่งปรากฏในหนังสือ The Practice of Management (การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร) , ในด้านความรับผิดชอบหลักของบริษัท คือการให้บริการต่อลูกค้า โดยที่กำไรไม่ใช่เป้าหมายหลัก หากแต่เป็นเงื่อนไขสำหรับการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของบริษัท, องค์กรควรมีวิธีการที่เหมาะสมในการดำเนินการธุรกิจทุกกระบวนการ และมีความเชื่อในแนวคิดที่ว่าบริษัทยอดเยี่ยมควรจะมีอยู่ในการสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดของมนุษย์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี หลักการบริหารจัดการสมัยใหม่ “ในยุคเศรษฐกิจปัจจุบันทรัพยากรที่สาคัญที่สุดจะไม่ใช่เรื่องแรงงานเงินทุนหรือที่ดินอีกต่อไปแต่จะเป็นเรื่องความรู้” 1) Planning การวางแผนเป็นการกำหนดหน้าที่การงานที่ต้องปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การโดยกาหนดว่าจะดำเนินการอย่างไรและดำเนินการเมื่อไร เพื่อให้สาเร็จตามแผนที่วางไว้ การวางแผนต้องครอบคลุมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 2) Organizing การจัดองค์การ เป็นการมอบหมายงานให้บุคลากรในแผนกหรือฝ่ายได้ปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนที่วางไว้เมื่อแผนกหรือฝ่ายประสบความสำเร็จก็จะทำให้องค์การประสบความสำเร็จไปด้วย 3) Leading การนำเป็นการจูงใจการชักนำการกระตุ้นและชี้ทิศทางให้ดำเนินไปสู่การบรรลุเป้าหมาย โดยการเพิ่มผลผลิตและเน้นมนุษย์สัมพันธ์ทำเกิดระดับผลผลิตในระยะยาวที่สูงกว่าภาวะงานเพราะคนมักไม่ค่อยชอบภาวะงาน 4) Controlling การควบคุมเป็นภาระหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้อง 1) รวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินผลดำเนินงาน 2) เปรียบเทียบผลงานปัจจุบันกับเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้และ 3) ทำการตัดสินใจไปตามเกณฑ์หรือไม่ เครื่องมือนี้ใช้เพื่อ การวางแผน เราพยายามกำหนดแนวทางไปสู่จุดหมายปลายทางซึ่งโดยทั่วไปเราวางแผนด้านการเงิน ,
กลยุทธ์ปัจจุบันเราวางแผนกลยุทธ์เพื่อการแข่งขันวางแผนใช้วิธีการ กำหนดเป้าหมายผู้บริหารระดับสูงกำหนดและถ่ายทอดไปยังระดับรอง ๆ (หน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้)และเครื่องมือที่ใช้คือ MBO ( Management by Objective ) Goal
คือเป้าหมายใหญ่มีรายละเอียดคือ Objective ถ่ายทอดแต่ละระดับซึ่งจะมีการกำหนดวัตถุประสงค์ของฝ่ายเขา โดยสอดคล้องกับ Objective ระดับบน และระดับ Business Unit , ระดับ Functional ก็ต้องมี Objective
ของเขาซึ่งต้องสอดคล้องกับระดับฝ่ายเป้าหมายของผู้บริหารสูงสุดถูกถ่ายทอดออกมาเป็น Objective เราจะรู้สึกว่าสิ่งที่ได้วางแผนไว้เมื่ออยู่ในระดับล่างแล้วเราสามารถทำได้หรือเปล่านั้นเราจะต้องมีการประเมินผล (Feed Back) กลับไป ซึ่งเครื่องมือที่ใช้คือ MBO แต่เมื่อ 10
ปีที่ผ่านมามีเครื่องมือที่ดีกว่า คือ Balance Scorecard เป็นตัวที่ถ่ายทอดกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารออกมาเป็นแผนหลักของผู้บริหารอีกเครื่องมือหนึ่งซึ่ง MBO จะกำหนด Obj. ไว้กว้างเวลาวัดผลจะให้ Feed Back แต่ Balance Scorecard
จะมี Measurement เป็นตัววัดที่ค่อนข้างได้ผลแน่นอนเป็นกรอบเครื่องมือที่เชื่อถือได้และได้ผลดีกว่า Balance Scorecard จะมี Obj. ในมุมมองแต่ละด้าน เช่น ด้าน Finance,ลูกค้า,กระบวนการภายใน,Learning Innovation
โดยการนำหลักการของ MBO ไปทำให้ดีขึ้นกลยุทธ์ คือแผนระยะยาว (Long Length Plan) ข้อดี/ข้อเสีย Peter F.Drucker เขียนไว้ว่า "การตัดสินใจที่มีประสิทธิผล จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในแนวความคิดระดับสูงสุด แต่มีผลในทางปฏิบัติได้จริงและง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"สำหรับการนำมาใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิผล ต้อง1. ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในแนวความคิดระดับสูงสุด2. ปฏิบัติได้จริงและง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้การตัดสินใจที่ไม่มีประสิทธิผลเพราะไม่อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในแนวคิดระดับสูงสุด มีผลมาถึงข้อสองพอทำงานจริง ก็ปฏิบัติด้วยความไม่เข้าใจ เหมือนกับทำได้ไม่จริง และเป็นการปฎิบัติงานที่ดูยุ่งยากสลับซับซ้อน มีขั้นตอนมากผลสรุปขอยกตัวอย่างเรื่องงานในสำนักงาน หลายคนไม่เข้าใจแนวคิดสูงสุดเรื่องงานนั้น ตีความผิดประเด็น ส่งผลให้การทำงานเบี่ยงเบน ชักช้า โยกโย้ "งานไม่เดิน" ทั้งๆที่ ถ้าเข้าใจงานคิดว่าวันเดียวก็เสร็จ แต่ที่ผ่านมา หลายๆงานแทนที่จะเป็นวันเดียว กลับยืดเยื้อไปเป็น อาทิตย์ บางงานยื้อไปเป็นเดือนที่ยื้อ คือ เหมือนกับต้องการทำงานให้มีประสิทธิภาพ แต่ มันไม่มีประสิทธิผล |