ในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 5 นั้น มีปัจจัยหลายประการที่นำไปสู่การปฏิรูปประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในหรือปัจจัยภายนอก โดยปัจจัยภายใน คือ ตัวผู้นำและสภาพสังคมของประเทศ ส่วนปัจจัยนอกที่ส่งผลต่อการปฏิรูปสยามเป็นอย่างมากคือ อิทธิพลของชาติตะวันตก ซึ่งถือได้ว่ามีความเจริญก้าวหน้าและทันสมัยกว่าประเทศสยามเป็นอย่างมาก
นับตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 17 ซึ่งถือเป็นยุคของการฟื้นฟูศิลปวิทยา จนนำมาสู่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ และส่งผลมาถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป การปฏิวัติใหญ่ทั้ง 3 ครั้งดังกล่าว ทำให้หลายประเทศในยุโรปมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เกิดการคิดค้นประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ รวมไปถึงการประดิษฐ์เรือและอุปกรณ์การเดินเรือ เช่น เข็มทิศ แผนที่ กล้องส่องทางไกล จนนำไปสู่การเดินทางและค้นพบดินแดนใหม่ เกิดการแพร่ขยายวัฒนธรรมตะวันตกเข้าไปยังประเทศต่าง ๆ รวมถึงการเข้ามาในสยามของชาวตะวันตก ในยุคของในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ สภาพสังคมก่อนการปฏิรูป สยามมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยพระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง ดังนั้นการดำเนินนโยบายเพื่อการปฏิรูปประเทศจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อสยามต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ซึ่งถือเป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุดต่อการปฏิรูปของสยาม ทำให้ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มนำความคิดแบบตะวันตก เข้ามาปรับใช้ในสังคมสยามมากขึ้น เนื่องจากนานาประเทศในขณะนั้น ต่างมองว่าสยามยังคงมีประเพณีที่ล้าสมัย เช่น ระบบไพร่ ระบบทาส ทำให้ประชาชนขาดอิสรภาพและสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิต มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่เท่าเทียมกัน ส่งผลให้ในหลวงรัชกาลที่ 5 ดำเนินการปฏิรูปสังคม ด้วยการยกเลิกระบบไพร่และทาส เพื่อยกฐานะของชาวสยามให้เท่าเทียมกัน
รวมไปถึงการเปลี่ยนเครื่องแบบการแต่งกาย ให้มีความเป็นตะวันตกมากขึ้น มีการยกเลิกขนบธรรมเนียมการหมอบคลาน โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของชนชั้นขุนนางในพระราชวังก่อน เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ และเพื่อให้บุคคลเหล่านี้เป็นแบบอย่างแก่ประชาชน
นอกจากนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ยังได้วางรากฐานทางด้านการศึกษาให้แก่ประชาชนชาวสยามทุกชนชั้นอีกด้วย มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมากมาย เช่น โรงเรียนนายร้อย โรงเรียนนายสิบ โรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนสตรี รวมถึงริเริ่มก่อตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรก เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับประเทศ
และพระองค์ได้ทรงนำเอาแนวทางการศึกษาแบบตะวันตก เข้ามาปรับใช้ในสยาม มีการสนับสนุนให้นักศึกษา บุคลากรภายในประเทศ เดินทางไปศึกษายังประเทศตะวันตกมากขึ้น อีกทั้งได้มีการส่งพระราชโอรสของพระองค์ไปศึกษาวิชาการทหารในยุโรป โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาระบบการทหารที่ล้าหลัง ให้มีความเป็นสากลมากขึ้น มิใช่เพื่อเป็นการขยายอำนาจ หรือใช้รบเพื่อขยายอาณาเขต ดังที่หลายคนพยายามบิดเบือน
ในด้านการปรับปรุงการปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มจัดการ “สุขภิบาล” ในเขตกรุงเทพฯ และตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อทดลองให้ประชาชนรู้จักการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นอีกด้วย
นอกจากนี้ พระองค์ยังเห็นความสำคัญของระบบสภาที่ปรึกษา ซึ่งกำลังหมดบทบาทลงภายหลังจากที่เคยมีมาแล้ว ดังนั้นในปี พ.ศ. 2435 พระองค์จึงได้ทรงจัดตั้ง “องคมนตรีสภา” (Privy Council) ทำหน้าที่คล้าย ๆ สภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์แต่เดิมอีกด้วย ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2437 จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งรัฐมนตรีสภา (Legislation council) โดยมีจุดมุ่งหมายให้ทำหน้าที่ตรากฎหมายโดยเฉพาะ
ในส่วนของการปฏิรูประบบยุติธรรมและการศาลนั้น ในปี พ.ศ. 2417 ได้มีการจัดตั้งศาลรับสั่ง ซึ่งขึ้นตรงต่อพระองค์ เพื่อพิจารณาคดีความที่อยู่ในกรมพระนครบาล มหาดไทย กลาโหม และกรมท่า เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงรวมอำนาจไปขึ้นส่วนกลาง ทำให้ค่าธรรมเนียมและรายได้ที่พวกขุนนางเคยได้จากศาลลดลง ปิดโอกาสการคอร์รัปชันในระบบยุติธรรม นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “กระทรวงยุติธรรม” ขึ้นใน พ.ศ. 2435 อีกด้วย
ต่อมาพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “ศาลยุติธรรม” สำหรับพิจารณาคดีอาญาและคดีแพ่งตามแบบใหม่ขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2437 และในหัวเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2439 – 2440 โดยมอบให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งทรงสำเร็จวิชากฎหมายจากประเทศอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2440 กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายเนติบัณฑิตสภา และวางระเบียบการสอบไล่เนติบัณฑิตไทยให้เป็นระบบยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้ทรงปรับปรุงระบบกระทรวงยุติธรรม การศาล และการศึกษาวิชากฎหมายให้ทันสมัย ตามแบบตะวันตกสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
การปฏิรูปการเมืองการปกครองในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในราชอาณาจักร ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากการปกครองส่วนภูมิภาคในรูปมณฑลเทศาภิบาล โดยมีศูนย์ราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำให้สามารถควบคุมพื้นที่ภายในพระราชอาณาจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการหยุดยั้งการถูกรุกรานดินแดน จากมหาอำนาจตะวันตกในขณะนั้น
ด้านการเมืองการปกครอง
การปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์นั้น พระองค์ทรงมีพระชนมายุ
ได้เพียง 15 พรรษา มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน การปกครองส่วนใหญ่อยุ่ในมือของราชินิกุลสายบุนนาค
สาเหตุของการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่
ปัจจัยภายใน
การเมือง ถือเป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายภายในประเทศ จะเห็นได้ว่า เมื่อรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์
พระองค์แทบจะไม่มีพระราชอำนาจเลย เพราะอำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่
ตกอยู่กับขุนนางตระกูลบุนนาค ดังจะเห็นได้จากช่วงต้นรัชกาล สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ทำการแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิชัยชาญขึ้นดำรงตำแหน่งวังหน้าเอง ต่อมาใน พ.ศ. 2418 เกิดความตึงเครียดระหว่างฝ่ายวังหลวงกับฝ่ายวังหน้า ที่เรียกว่า “วิกฤตการณ์วังหน้า”
2. การปกครอง พบว่า การแบ่งงานในส่วนกลางเกิดความสับสนก้าวก่ายกัน เป็นผลให้การดำเนินงานของรัฐบาลล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ เกิดความแตกแยก
ส่วนงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคนั้น ในทางปฏิบัติรัฐบาลปกครองหัวเมืองโดยตรงได้เพียงไม่
กี่หัวเมืองที่ตั้งอยู่รอบๆ พระนคร ซึ่งสาเหตุสำคัญ คือ ปัญหาจากการคมนาคม และการที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ น้อย จึงไม่สามารถส่งข้าราชการของตนไปปกครองหัวเมืองได้มาก พวกข้าราชการในหัวเมืองตั้งตนเอง เป็นใหญ่ และคอยปิดบังไม่ให้รัฐบาลทราบว่า มีภาษี รายได้ หรือจำนวนประชากรเท่าไร
อีกทั้งรัฐบาลมิได้มีสิทธิ์แต่งตั้งเจ้าเมืองตามกลไกของรัฐ รัฐบาลเพียงแต่ทำหน้าที่แค่รับรองอำนาจ
เจ้าเมืองเท่านั้น เมื่อเจ้าเมืองได้รับการรับรองอำนาจอย่างเป็นทางการจากราชธานีแล้ว ก็เริ่มทำการ
“กินเมือง” (เก็บภาษี ใช้แรงงานไพร่ เก็บเงินราชการจากไพร่ มีสิทธิลงโทษพลเมืองของตน)
กรุงเทพฯจึงควบคุมหัวเมืองได้แบบหลวมๆ เท่านั้น
3. การคลัง พบว่า รายได้ที่เข้ามาสู่วังหลวง มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงปรากฏ
ไปทั่วทุกกรมกอง ผลประโยชน์ของแผ่นดินกลายเป็นรายได้ส่วนตัวของเจ้าภาษีนายอากร และขุนนาง ในหัวเมือง ส่วนขุนนางจากส่วนกลางที่ดูแลหัวเมืองสามารถสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าภาษีนายอากร และขยายเครือข่ายทางการค้าของตนเองออกไปอย่างกว้างขวางจนมีฐานะมั่งคั่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางตระกูลบุนนาค
4. สังคม ปัญหาของสังคมไทยที่สำคัญ คือ ระบบไพร่และทาสกำลังเสื่อมลงถึงจุดต่ำสุด กษัตริย์ไม่ สามารถคุมกำลังคนได้จริงตามระบบ กลายเป็นขุนนางที่คุมกำลังไพร่ นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาการควบคุมชาวจีนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ชาวจีนเหล่านี้เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาษีนายอากร และ เจ้าของแหล่งผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตทั้งทางการค้าและการผลิตของกรุงเทพฯ
ปัจจัยภายนอก
เกิดจากภัยคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้อง รักษาเสถียรภาพของเมืองไทยไว้ด้วยการสร้างอำนาจให้แก่รัฐบาล เพื่อจะได้ทรงเป็นผู้วางแผนการ ปฏิรูปการปกคอรงให้รัดกุมและเหมาะสม เพื่อความมั่นคงของราชบัลลังก์และเอกราชของประเทศ
ขั้นตอนของการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
แบ่งออกเป็น 2 ระยะ
ระยะแรก (พ.ศ. 2413 – 2430)
พ.ศ. 2413 ทรงตั้งกรมทหารมหาดเล็กขึ้น เพื่อให้เป็นเสมือนกองทัพของพระมหากษัตริย์
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะเวลานี้ทรงหันมาใช้ราชินิกูลสาย “ชูโต” เพื่อคานอำนาจกลุ่มตระกูลสาย “บุนนาค” แทน
พ.ศ. 2416 ทรงจัดให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2
หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงตราพระราชบัญญัติขึ้น 4 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติว่าด้วย
รัฐมนตรีสภาและองคมนตรีสภา, ว่าด้วยการจัดการพระคลังทั้งปวง, ตระลาการศาลรับสั่ง,
และพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย
พระราชบัญญัติเหล่านี้ ทำให้เจ้านายและขุนนางหลายฝ่ายเสียผลประโยชน์ เช่น พระราชบัญญัติ
การจัดการพระคลังทั้งปวง ทำให้เกิดการตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ ทำหน้าที่จัดการรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน รวบรวมภาษีอากรเข้าสู่คลังหลวง ถือเป็นการลิดรอนอำนาจของกรมกองต่างๆ ที่เคยเก็บภาษีได้
เอง ในที่สุดได้เกิดความขัดแย้งระหว่างวังหน้ากับวังหลวงที่เรียกว่า “วิกฤตการณ์วังหน้า” ในปี พ.ศ. 2418 เหตุการณ์วิกฤตการณ์วังหน้านี้ เป็นเหตุให้รัชกาลที่ 5 ทรงหยุดการปฏิรูปลงชั่วคราว
แล้วดำเนินวิเทโศบายแบบค่อยเป็นค่อยไปแทนจน พ.ศ. 2428 เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศยกเลิกตำแหน่งวังหน้า และแต่งตั้งตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารขึ้นแทน ในระยะ 10 ปี ที่การปฏิรูปเมืองหลวงหยุดชะงักไปนั้น การปฏิรูปการปกครองทางหัวเมืองได้ดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลเริ่มป้องกันอิสรภาพและเอกภาพของเมืองไทย โดยส่งข้าหลวงไปประจำยังเมืองประเทศราชและหัวเมือง ตามชายแดนในตำแหน่ง “ข้าหลวงประจำหัวเมือง” เพื่อกระชับการปกครอง การศาลและการคลัง
มีการพัฒนาด้านการคมนาคม สร้างทางรถไฟ เริ่มทำแผนที่ และจัดตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลข นอกจากนี้พระองค์ท่านยังออกเสด็จประพาสตามหัวเมืองต่างๆ หลายครั้ง การกระชับการปกครองหัวเมืองต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางชายแดนให้พ้นจากภัยคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก
ระยะที่สอง (พ.ศ.
2430 – 2435)
การปกครองส่วนกลาง
ทรงยกเลิกการปกครองแบบจตุสดมภ์ ยกฐานะกรมขึ้นเป็นกระทรวงทั้งหมด 12 กระทรวง
การปกครองส่วนภูมิภาค
มีการยกเลิกระบบกินเมืองที่สืบทอดตำแหน่งกันในตระกูลเจ้าเมือง และจัดรูปแบบ การปกครองใหม่ พ.ศ. 2437 ทรงให้กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ในการจัดระเบียบการปกครอง ส่วนภูมิภาคในลักษณะการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง คือ ระบบเทศาภิบาล แบ่งการปกครองออกเป็นมณฑล โดยการรวมหัวเมืองทั้งหมดไว้ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวง ________ กระทรวงดังกล่าวจะมอบนโยบายให้ข้าหลวงเทศาภิบาลออกไปประจำมณฑล ต่อมามี กฎหมายข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ. 117 (พ.ศ.2441) มีผลให้การบังคับบัญชาเป็น
มณฑล เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ตามลำดับ
การปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. 2448 ประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาล โดยเริ่มเป็นครั้งแรกที่ ท่าฉลอม
สมุทรสาคร ราษฎรได้รับสิทธิ์ในการเลือกผู้ปกครองของตนเองในระดับหมู่บ้านและตำบล ราษฎรที่
หลุดพ้นจากระบบไพร่และทาสจะมาขึ้นตรงต่อรัฐบาลของพระมหากษัตริย์ มีการขึ้นทะเบียนราษฎร
ทุกคนให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทยแทนที่ระบบศักดินา
นอกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงปฏิรูปการเมืองการปกครองแล้ว ยังทรง
ปฏิรูปในด้านอื่นๆ ของประเทศด้วย ดังนี้
การปฏิรูปการคลัง
รัชกาลที่ 5 ทรงวางมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ โดยตั้ง “หอรัษฎากรพิพัฒน์”
ขึ้นทำหน้าที่จัดการรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน มีการปฏิรูประบบเงินตรา เช่น สร้างหน่วยเงินที่
เรียกว่า “สตางค์” มีการจัดตั้งกรมธนบัตรเพื่อทำหน้าที่ในการออกธนบัตรให้มีมาตรฐานแบบตะวันตก และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งแบงค์สยามกัมมาจลทุน จำกัด รัฐค่อยๆเปลี่ยนฐานภาษีจากสุรา ฝิ่นและ
การพนัน มาสู่การเก็บภาษีจากผลผลิต ภาษีที่ดิน และรัชชูปการมากขึ้น ทำให้อิทธิพลของเจ้าภาษี
นายอากรและพ่อค้าชาวจีนลดลง
การปฏิรูปการศาลและกฎหมาย
ทรงยกเลิกแบบจารีตนครบาล และรวบรวมงานการศาลมาไว้ในที่เดียวกัน
การปฏิรูปสังคม
ทรงมีพระราชดำริยกเลิกระบบไพร่และทาส
มีดังนี้
1. การเลิกไพร่ เนื่องจากระบบการควบคุมไพร่ในช่วงนี้ไร้ประสิทธิภาพ พระมหากษัตริย์ไม่สามารถ
ควบคุมคนได้ด้วยเหตุการณ์วิกฤตการณ์วังหน้าใน พ.ศ. 2417 แสดงให้เห็นว่ากำลังไพร่พลที่ถูกฝึกหัด ตามแบบทหารตะวันตกสามารถสร้างความไม่มั่นคงให้แก่ราชบัลลังก์ได้ อีกทั้งผลจากสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้เกิดการขยายตัวทางการผลิตและค้าข้าวทำให้ต้องการแรงงานเพื่อใช้ในการทำนา เกิดปัญหา การควบคุมกำลังคน และการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มองว่าการเกณฑ์แรงงานและ การสักเลกเป็นเรื่องเลวร้าย ขณะเดียวกันรัฐบาลก็จำเป็นต้องมีกองทหารแบบตะวันตกเพื่อป้องกันประ เทศด้วย
รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าดังนี้
1.1) ยกฐานะกรมพระสุรัสวดีให้เท่าเทียมกับกรมสำคัญอื่นๆ
1.2) ฟื้นฟูกรมทหารหน้า ในปี พ.ศ. 2423 ได้ประกาศรับสมัครคนข้อมือขาวหรือไพร่ที่ไม่มีสังกัดมูลนายเข้าเป็นทหาร
1.3) ควบคุมคนให้ขึ้นสังกัดตามท้องที่การทำสำมะโนครัว โดยเริ่มจากระดับหมู่บ้าน ในปี พ.ศ.
2442 มีการประกาศเลกที่ไม่ได้เป็นทหารให้ขึ้นสังกัดท้องที่ ถือเอาท้องที่ไพร่อยู่ตามทะเบียนสำมะโน ครัวเป็นสำคัญ เป็นการยกเลิกไพร่ผ่านมูลนายในที่สุด
1.4) พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์จ้าง พ.ศ. 2443 กำหนดให้ค่าจ้างแก่ผู้ถูกเกณฑ์
1.5) พระราชบัญญัติลักษณะการเกณฑ์ทหาร พ.ศ. 2448 กำหนดชายฉกรรจ์ทุกคนอายุ 18 – 60 ปี ต้องเป็นทหาร
ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกต้องเป็นทหารประจำการ 2 ปี โดยเริ่มที่ชลบุรี กับมณฑลนครราชสีมา
นครสวรรค์ พิษณุโลก และราชบุรี จนกระทั่งทั่วประเทศในสมัยรัชกลที่ 6
การเลิกทาส พ.ศ. 2417 ออก พ.ร.บ. พิกัดเกษียณลูกทาสลูกไท กำหนดให้ลูกทาสที่เกิด
ปี พ.ศ. 2411 เมื่ออายุ 21 ปี เป็นไท (มีผลเมื่อพ.ศ.2432) แล้วปี พ.ศ. 2448 ออก พ.ร.บ. เลิกทาส
3.การปฏิรูปการศึกษา
ปัจจัยผลักดันให้มีการจัดการศึกษา
คือ การเข้ามาของมิชชันนารี, การเสด็จประพาสต่างประเทศของรัชกาลที่ 5, ตลอดจนต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสมัยใหม่
-พ.ศ. 2414 ตั้งโรงเรียนในวังหลวง
-พ.ศ. 2424 ตั้งโรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก
-จนกระทั่ง พ.ศ. 2427 มีการตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้น คือ โรงเรียนวัดมหรรณาพาราม
มีจุดประสงค์การจัดการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากรเข้ารับราชการเป็นสำคัญ
-พ.ศ. 2441 แยกการศึกษาออกเป็น 2 ประเภท คือ การศึกษาสามัญและการศึกษาพิเศษ
การจัดการศึกษานี้เป็นผลให้ในที่สุดพวกขุนนางต้องเสื่อมอิทธิพลไป และสามัญชนมีโอกาสเลื่อนฐานะในสังคมของตนได้
การบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์นี้ ช่วยให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากภาษีและการค้า
รัฐนำรายได้นี้ไปใช้จ่ายในการป้องกันประเทศและจัดระเบียบการปกครองภายในให้มั่นคง มีการ
ปรับปรุงการคมนาคมสื่อสาร เช่น การขุดคลอง สร้างถนน ติดตั้งเสาโทรเลข และสร้างทางรถไฟ
มีผลให้รัฐสามารถจัดการบ้านเมืองให้มีความสงบเรียบร้อยภายในและต้านทานการรุกรานของเจ้าอาณานิคมได้
การรวมอำนาจทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าสู่สถาบันกษัตริย์ถือเป็นการสร้างชาติ เมื่ออำนาจของรัฐขยายไปสู่ท้องถิ่นและสามารถบังคับบัญชาหัวเมืองอย่างเด็ดขาด คนจึงถูกดึงให้มีความรู้สึกเป็น
อันหนึ่งอันเดียว มีความผูกพัน มีความจงรักภักดีต่อชาติ และพระมหากษัตริย์
รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สำเร็จใน พ.ศ. 2435 เป็นผลให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางอำนาจอย่างแท้จริง และเป็นการปฏิรูปที่ดึงอำนาจและ
ผลประโยชน์เข้าสู่ส่วนกลางมากที่สุดจนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากเจ้าประเทศราชและขุนนาง
หัวเมืองที่สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ต่างไม่พอใจ ทำให้เกิดเป็นกบฏต่างๆ เช่น กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ กบฏผีบุญภาคอีสาน เป็นต้น