ดนตรีไทยในสมัยอยุธยามีอะไรบ้าง

เอกสารของชาวต่างชาติที่บันทึกเกี่ยวกับประเทศไทยที่มีการเผยแพร่ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องสภาพบ้านเมือง, วิถีชีวิตและจิตใจของประชาชน, สภาพภูมิศาสตร์และทรัพยากร, ราชสำนักและการบริหารประเทศ แต่ที่เรากำลังจะกล่าวถึงเป็นเรื่องคือ มุมมองต่อ “ดนตรีไทย” กลับที่ไม่ค่อยมีเผยแพร่มากนัก

อาจารย์สงัด ภูเขาทอง ผู้เขียนบทความ “ชาวต่างชาติในอดีต เขามองดนตรีไทยอย่างไร” เป็นทั้งนักดนตรี และอาจารย์สอนวิชาดนตรีไทยอยู่ที่วิทยาครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา) จึงสนใจและอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้อย่างดี

อาจารย์สงัดท่านบอกว่า หลักฐานเกี่ยวกับเครื่องดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเพียงบทไหว้ครูสำหรับการแสดงหนังใหญ่ที่ว่า “ชัยศรีโขลนทวารเบิกบานประตู ฆ้องกลองตะโพนครู ดูเล่นให้สุขสำราญ” หรือในบทปี่พาทย์ที่ว่า “พลโห่ ขานโห่ทั้งผอง พิณพาทย์ตะโพน กลอง ดูเล่นให้สุขสำราญ”

ส่วนเอกสารต่างชาตินั้น หนึ่งคือ บันทึกของลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตตฝรั่งเศส ส่วนอีกหนึ่งคือ บันทึกของชาวเปอร์เซีย ที่เรียกว่า “สำเภาสุลัยมาน” ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีในสมัยพระนารายณ์มหาราช

เริ่มจากจดหมายเหตุลาลูแบร์ที่บันทึกไว้ว่า “ชาวสยามเรียกว่า ?  ?นั้นล้วนผูกไว้ต่อ ๆ กัน ทุกอันกับไม้สั้น ๆ และตั้งเป็นวงมีขอบไม้ รูปร่างเหมือน ง่ามเหล็ก ยึดล้อเก้าอี้ คนตีเครื่องดนตีอันนี้นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ตี ? ด้วยไม้ 2 อัน อันหนึ่งถือมือขวา อีกอันถือมือซ้าย” [เครื่องหมาย “?” เป็นการแทนที่โดยผู้เขียน]

ท่านผู้อ่านว่า “?” ที่เราตั้งใจลบชื่อนั้น คือเครื่องดนตรีชนิดใด

อาจารย์สงัดบอกว่านั้นคือ “ฆ้องพาทย์” และอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “ฆ้องที่กล่าวถึง จะต้องเป็นฆ้องที่ตีเป็นทำนอง คือมีหลายเสียง มิใช่ฆ้องเพื่อตียืนเสียงเป็นจังหวะ อาจจะเป็รฆ้องวงวอย่างปัจจุบันก็ได้ แต่เราไม่ทราบว่าเดิมที่เดียวจะมีกี่ลูก อาจจะมี 11 ลูก..”

เครื่องดนตรีชนิดต่อไปลาลูแบร์บันทึกว่า “? นั้นรูปร่างเหมือนถัง คนตีเอาเชือกโยงแขวนคอไว้ข้างหน้า  และตีทั้ง 2 ข้างด้วยกำมือ” [เครื่องหมาย “?” เป็นการแทนที่โดยผู้เขียน]

เครื่องดนตรีที่รูปร่างเหมือนถังนี้ อาจารย์สงัดบอกว่ามันคือ “ตะโพน”

ลาลูแบร์ ยังกล่าวถึง เครื่องดนตรีหลายชนิดในขบวนแห่ของเจ้านายดังนี้ “เห็นมีคนตั้งร้อยหมอบอยู่เป็นแถว ๆ บางถือแตรเล็ก ๆ อันน่าเกลียดไว้สำหรับอวด แต่ไม่ใช้สำหรับเป่า ข้าพเจ้าออกติดใจว่า จะทำด้วยไม้ด้วยซ้ำไป นอกจากนั้นอีกเป็นอันมากมีกลองใบย่อม ๆ วางไว้ตรงหน้าแต่ไม่เห็นได้ตี”  [เน้นโดยผู้เขียน]

อาจารย์สงัดอธิบายว่า เครื่องดนตรีมากมายนั้นน่าจะเป็นวงกลองชนะ ในพระราชพิธีใดพระราชพิธีหนึ่ง  ส่วนแต่เล็ก ๆ อันน่าเกลียด คือ ปี่ไฉน ส่วนกลองใบย่อม-กล่องชนะ นั่นเอง

ส่วนบันทึกของชาวเปอร์เชียหรือ “สำเภาสุลัยมาน” นั้นกล่าวถึงเครื่องดนตรีไทยในพิธีต้อนรับแขกเมืองว่า

“มีเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งรูปร่างเหมือนหม้อ แต่ทำจากเหล็กและแก้วเสียง คนพื้นเมืองเล่นโดยตีด้วยแท่งเหล้กยาว ๆ แต่เป็นคราวเคราะห์ของพวกเราที่เครื่องดนตรีนี้เสียงสูงจนฟังแล้วจะเป็นบ้าตาย เสียงดนตรีที่ออกมาจากเครื่องนี้ฟังดูแปร่ง จนเราเรียกเครื่องดนตรีนี้ว่า นกเข้าเจ้าทะเลาะ เครื่องดนตรีอีกอันหนึ่งซึ่งใช้กันในพิธีต้อนรับคือ ขลุ่ย เป็นที่น่าเศร้าใจที่รูซึ่งเจาะไว้ในขลุ่นนั้น มีแต่ทำให้เกิดเสียงสูงจนฟังแล้วหูแทบหนวก..”

โดยรวมคนเปอร์เชียเห็นว่าเครื่องดนตรีไทย หรือเพลงไทยนั้นเสียงสูงมาก ฟังแล้วหนวกหูและเครียดมากกว่าไพเราะ จะว่าคนเล่นฝีมือไม่ถึงก็คงไม่ใช่ เพราะเป็นคณะที่มารับแขกเมืองก็คงต้องคัดสรรแล้ว อย่างน้อยก็ต้องมีฝีมือระดับมาตรฐาน เรื่องนี้เราคงต้องไปฟังคำอธิบายอาจารย์สงัดที่ว่า

“ที่เขาได้พรรณนาออกมาเช่นนั้น แสดงว่าเขารู้สึกหนวกหูอย่างทารุณ วงดนตรีที่บรรเลง จะเป็นวงปี่พาทย์ที่เป็นธรรมดาจะต้องมีเสียงดังครึกโครม เขาได้กล่าวถึงเครื่องดนตรีหลายอย่าง เช่น เขากล่าวถึงเครื่องดนตรีที่มีรูปร่างเหมือนหม้อ ดู ๆ น่าจะเป็นมโหรทึก แต่เมื่อกล่าวว่าทําด้วยเหล็กและแก้ว ตีด้วยแท่งเหล็กยาว ๆ ก็น่าจะเป็นระนาดเอกมากกว่า

คือรางระนาดอาจจะคล้ายกับหม้ออะไรสักอย่างของเขา เช่น หม้อตะเกียงอาละดิน ส่วนไม้ที่เห็นเป็นแท่งเหล็กยาว ๆ คงเป็นไม้ตีชนิดไม้แข็ง มองไกล ๆ ประสมกับได้ยินเสียงคิดว่าคงทําด้วยเหล็กกระมัง เพราะมีเสียงสูง จนฟังแล้วแทบจะเป็นบ้าตาย ถ้าเป็นเสียงมโหรทึกก็ไม่น่าจะมีเสียงสูงอย่างนั้น…

ซึ่งเรื่องนี้เป็นความรู้สึกของกลุ่มชนที่แตกต่างกัน ย่อมมีความรู้สึกต่อศิลปะไม่เหมือนกันด้วย อย่างเช่น เครื่องดนตรี ถ้าเป็นชาวแถบเอเซียตะวันตกหรือแถบอินเดีย เขานิยมประเภทเครื่องสายที่มีเสียงเบา เมื่อเขามาฟังอย่างเครื่องดนตรีของชาวตะวันออกที่เป็นเครื่องที่มีเสียงดัง เขาจึงฟังหนวกหูดุจเพลงตะวันตกบางเพลง ผู้ฟังที่เป็นเด็กวัยรุ่นเมืองกรุงฟังแล้วสนุก แต่ถ้าไปบรรเลงให้ชาวไร่ชาวนาฟัง เขาอาจจะบอกว่าเหมาะกับจะเอาไปไล่ควายเสียมากกว่า”


ข้อมูลจาก

สงัด ภูเขาทอง. “ชาวต่างชาติในอดีตเขามองดนตรีไทยอย่างไร” ใน ประชุมบทความทางวิชาการดนตรี พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2534

ในสมัยอยุธยานี้ได้วิวัฒนาการมาจากการบรรเลงพิณและวงขับไม้ ของเดิมสมัยกรุงสุโขทัยเข้าด้วยกัน ได้แก่ คนสีซอ สามสาย ดีดกระจับปี่ทำลำนำ คนขับลำนำ คนไกวบัณเฑาะว์ ต่อมา ได้ปรับ จากการไกวบัณเฑาะว์เป็นโทนเพราะกำกับจังหวะได้ดีกว่า และการขับลำนำก็เปลี่ยนเป็นการขับร้องแทนเรียกว่ามโหรีเครื่อง ๔ ต่อมาได้เพิ่มคนบรรเลง และเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีก๒อย่างคือรำมะนาใช้ตีคู่กับโทนและขลุ่ย ภายหลังคนร้องเปลี่ยนจากตีกรับพวงเป็นฉิ่งแทน เรียกว่ามโหรีเครื่อง ๖

แตรงอน สรุปได้ว่า การดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี และ มีการคิดค้นเครื่องดนตรีเพิ่มเติม ประชาชนนิยมเล่นดนตรีไทย กันอย่างกว้างขวาง แม้แต่ในเขตพระราชฐาน จนต้องมีการออกกฎมณเฑียรบาลเกี่ยวกับการห้ามเล่นดนตรีไทยในเขตพระราชฐาน


เครื่องดนตรีไทยชนิดใดที่เพิ่มขึ้นมาในสมัยอยุธยา

ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ในกฏมลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อ เครื่องดนตรีไทย เพิ่มขึ้น จากที่เคยระบุไว้ ในหลักฐานสมัยสุโขทัย จึงน่าจะเป็น เครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รำมะนา นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่งว่า "...

วงดนตรีไทยในสมัยอยุธยามีกี่ประเภท

มีวงดนตรี3 ประเภท เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา คือ วงปี่พาทย์วงมโหรีและวงเครื่องสาย แต่มีเครื่อง ดนตรีของชาติต่าง ๆ เข้ามาในประเทศไทยหลายชนิด ดังปรากฏในหมายกำหนดการของพระมหากษัตริย์ในสมัย นั้นว่า “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทย พิณพาทย์รามัญ มโหรีไทย ฝรั่ง มโหรีญวน เขมร ผลัดเปลี่ยน กันสมโภช 2 เดือนกับ 12 วัน” ในงาน ...

วงดนตรีที่มีการคิดค้นขึ้นใหม่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือวงอะไร

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเรามีการประสมวงดนตรีชนิดใหม่เกิดขึ้น ๑ วง คือ วงเครื่องสายส่วนวงมโหรีเครื่องหกและวงปี่พาทย์เครื่องห้านั้น เป็นวงที่ได้พัฒนาสืบมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

ดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยมีอะไรบ้าง

สมัยสุโขทัย ดนตรีไทย มีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง เกี่ยวกับ เครื่องดนตรีไทย ในสมัยนี้ ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดี ที่แต่งในสมัยนี้ ได้แก่ แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์ พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ปี่ไฉน, ระฆัง, ...