โดย สมาพร คล้ายวิเชียร Show
บทความเรื่อง “ภาษาภาพ:คืนที่มีดาวพราวฟ้า” Visual Language : The Starry Night มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเนื้อหาของภาษาภาพ ที่มนุษย์ใช้สื่อสาร สร้างความเข้าใจร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด หรือใช้ภาษาอะไร
ทั้งนี้เพราะการรับรู้ภาษาภาพ เกิดจากการมองเห็นด้วยตา จากนั้นไปผ่านการประมวลผลของสมองและจิตใจ ทำให้เกิดการรับรู้และทำความเข้าใจ ซึ่งการรับรู้ของ แต่ละคนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ การฝึกฝน การได้เห็นและการสังเกตผลงานศิลปะ แต่การแปลความหมายของภาษาภาพนั้น มีความแตกต่างจากภาษาเขียน เพราะภาษาเขียน มีหลักภาษาหรือไวยกรณ์ที่ค่อนข้างตายตัว แต่ภาษาภาพไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวแน่นอน สามารถ แปลความหมายได้มากมายหลายแนวทาง ดังนั้นในการแปลความหมายของภาษาภาพจะต้อง ฝึกทักษะทางการรับรู้ภาษาภาพที่ประกอบด้วย
ส่วนมูลฐานทางศิลปะ อันได้แก่ เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา ฯลฯ และหลักการทางศิลปะ อันได้แก่ จังหวะ การเคลื่อนไหว ดุลยภาพ ฯลฯ มาประกอบกัน เป็นผลงานศิลปะที่ศิลปินใช้เป็นภาษาในการสื่อสารแนวคิด ความหมาย จินตนาการ และมีคุณค่าทาง ความงาม บทนำ อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีก มีอายุอยู่ในราว 348-322 ก่อนคริสตกาล ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) มีธรรมชาติที่จะต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น มีการติดต่อ สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างอิสระตามลำพังได้ ดังนั้น
สังคมจึงเกิดขึ้น อริสโตเติล ยังย้ำว่า มนุษย์เพียงคนเดียวนั้น ไม่สามารถสืบเชื้อสาย ไม่สามารถป้องกันตนเองและไม่สามารถเลี้ยงชีพอยู่ได้นาน ภาษาเขียน มีทั้งแบบที่ใช้เส้นขีดเขียนเป็นรูปร่าง เป็นตัวอักษรและแบบที่ใช้รูปภาพและ สัญลักษณ์ แบบที่เป็นเส้น ขีดเขียนเป็นรูปร่าง เป็นตัวอักษรนั้น จะกำหนดให้เป็นพยัญชนะ เป็นสระ และนำมาประสมเป็นคำ เป็นเสียง และสร้างเป็น ประโยคตามหลักภาษาหรือไวยกรณ์ เพื่อสื่อ ความหมายสร้างความเข้าใจร่วมกัน เช่น ภาษาของชาว สุเมเรียน แห่งอาณาจักรเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แหล่งอารยธรรมโบราณลุ่มแม่น้ำไทกรีส และ ยูเฟรติส ชาวสุเมเรียนใช้อักษรที่เรียกว่า “คูนีฟอร์ม” (Cuneiform) สร้างรูปร่างต่างๆ นับพันแบบ แทนคำแต่ละคำ โดยใช้ปลายไม้รูปลิ่มกดลงบน แผ่นดินเหนียว จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปเผาไฟเพื่อความแข็งแรงทนทาน ส่วนแบบที่เป็นรูปภาพและสัญลักษณ์ มนุษย์จะขีดเขียนเป็นรูปนก รูปปลา หรือสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น ถ้วย ชาม เป็นต้น รูปภาพเหล่านี้ สามารถเข้าใจได้ง่าย เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ เคยพบเห็นร่วมกันเป็นปกติ อยู่แล้ว เช่น อักษรเฮียโรกลิฟฟิค (Hieroglyphic) ของชาวอียิปต์ แหล่งอารยธรรมโบราณลุ่มแม่น้ำไนล์ ซึ่งมีทั้งที่เป็นรูปภาพและเป็นสัญลักษณ์นับพันตัว โดยบันทึก ลงบนแผ่นหินหรือบนกระดาษปาปิรัส แต่ภาษาเขียนที่ใช้ตัวอักษรหรือพยัญชนะ ในการสื่อความหมาย ก็มีข้อจำกัด คือไม่สามารถ สื่อสารเข้าใจกันได้ทั่วไป แต่จะใช้สื่อสารได้เฉพาะในกลุ่มคนที่ใช้ภาษาเดียวกันเท่านั้น ส่วนกลุ่มคน ที่ใช้ภาษาอื่น ถ้าไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ แต่มนุษย์ก็สามารถสื่อสารกันได้ด้วย ภาษาภาพ (Visual Language) ซึ่งเป็นภาษาที่มนุษย์สามารถเข้าใจร่วมกันได้ ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ภาษาภาพ
ภาษาภาพ (Visual Language) เป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างสรรค์ผลงานทางทัศนศิลป์ ทุกแขนง ภาษาภาพประกอบด้วยส่วนมูลฐานทางศิลปะ (Elements of Art) อันได้แก่ เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา ฯลฯ และหลักการทางศิลปะ (Principles of Art) อันได้แก่ จังหวะ การเคลื่อนไหว ดุลยภาพ ฯลฯ มาประกอบกันเป็นผลงานศิลปะที่ศิลปินใช้เป็นภาษาในการสื่อสารแนวคิด ความหมาย จินตนาการ มีคุณค่าทางสุนทรียะ (Aesthetics) หรือมีคุณค่าทางความงาม ซึ่งการนำส่วนมูลฐานทาง ศิลปะและหลักการทางศิลปะมาประกอบกัน เรียกว่า
“การจัดองค์ประกอบ” (Composition) ส่วนมูลฐานทางศิลปะ
ส่วนมูลฐานทางศิลปะ (Elements of Art) เป็นคุณลักษณะภายนอกของวัตถุที่สามารถรับรู้ได้ จากการเห็น เช่น เส้น รูปร่างรูปทรง สี พื้นผิว แสงและเงา เป็นต้น ซึ่งในทางศิลปะถือว่า ส่วนมูลฐาน ทางศิลปะเป็นเสมือนเครื่องมือที่จะนำมาสร้างงานศิลปะ หากนำมาเปรียบเทียบกับภาษาเขียนแล้ว ก็สามารถเทียบส่วนมูลฐานทางศิลปะได้เป็นพยัญชนะ สระ ที่ต้องนำมาประสมกัน เป็นคำ และ ประกอบกันเป็นประโยค เพื่อใช้สื่อความหมาย ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้ หลักการทางศิลปะ หลักการทางศิลปะ (Principles of Art) คือการนำส่วนมูลฐานทางศิลปะมาจัดเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าทางความงาม โดยมีความสมดุล การเน้น
ความกลมกลืน ความหลากหลาย ความลดหลั่น การเคลื่อนไหว จังหวะและสัดส่วน หลักการทางศิลปะก็เปรียบเสมือนหลักภาษา หรือไวยกรณ์ของภาษาภาพนั่นเอง โดยต้องนำส่วนมูลฐานทางศิลปะที่เปรียบเสมือนเป็นพยัญชนะ สระ มาจัดเพื่อสื่อสารเรื่องราว แนวคิด ความหมาย และจินตนาการ สร้างสรรค์ขึ้นเป็นผลงานศิลปะ หลักการทางศิลปะดังกล่าวมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์
วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ (Vincent Van Gogh) เป็นศิลปินลัทธิโพสต์อิมเพรสชันนิสต์ (Post Impressionism)
ลัทธิที่เน้นการแสดงออก ของอารมณ์ความรู้สึก ลัทธิที่ไม่ติดอยู่กับการ บันทึกภาพที่ปราศจากความรู้สึก แต่จะสร้าง โลกทัศน์ส่วนตัวของศิลปิน ภาพคืนที่มีดาวพราวฟ้า (The Starry Night ) ภาพคืนที่มีดาวพราวฟ้า (The Starry Night) เป็นผลงานจิตรกรรม เขียนด้วยสีน้ำมันบน
พื้นผ้าใบ ขนาด 73 x 92 เซนติเมตร ภาพนี้วาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.1889 ในขณะที่เขา พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประสาท Saint Paul de Mausole ในเมือง Saint-Remy ทางตอนใต้ของ ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่ The Museum of Modern Art นครนิวยอร์ก ประเทศ สหรัฐอเมริกา
ดัง บทสนทนาระหว่างวินเซนต์ แวนโก๊ะห์ กับเพื่อนศิลปิน ที่ยืนยันได้ว่าเขาต้องการไป สู่สรวงสวรรค์ด้วยความตายของตนเอง รูปร่างของลม ท้องฟ้า ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเส้น โดยใช้รอยแปรงเป็นขีดนูนหนา ด้วยสีน้ำมันมีลักษณะคล้ายกับเกลียวคลื่น ที่แสดงความเคลื่อนไหวอยู่ในความสงบนิ่งของบรรยากาศ อย่างมีพลัง
“จะเห็นว่านอกจากรูปบ้านชนบทแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจับให้แสดงความเคลื่อนไหว วนเวียนไปกับสีอย่างเต็มที่ ลักษณะการไหลเวียนนี้มีตั้งแต่รูปดาวจรัสแสงอันเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความหวังเรื่อยไปจนถึงรูปต้นไซเปรสที่พริ้วสะบัด นับเป็นวิธีการรวมพื้นพิภพเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับท้องฟ้าได้ทีเดียว” อัศนีย์ ชูอรุณ, 2537:6) สรุป จากการที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้ จำเป็นต้องอยู่กันเป็นกลุ่ม ซึ่งจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีการสื่อสารสัมพันธ์
สร้างความรู้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดภาษา ซึ่งมีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน แต่อย่างไรก็ตาม ภาษาเหล่านั้นก็ยังมีข้อจำกัน เพราะสามารถสื่อกัน ได้เฉพาะกลุ่มที่ใช้ภาษาเดียวกันเท่านั้น แต่มนุษย์ก็มีภาษาภาพ (Visual Language) ซึ่งเป็นภาษา ที่สามารถเข้าใจร่วมกันได้ ไม่ว่าเป็นชนชาติใดหรือใช้ภาษาใด บรรณานุกรม ชลูด
นิ่มเสมอ. (2531). องค์ประกอบศิลป์. กรุงเทพมหานคร:ไทยวัฒนาพานิช. The Starry Night ใช้เทคนิคอะไรภาพ The Starry Night ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1889 ด้วยเทคนิคสีน้ำมัน ที่ถ่ายทอดภาพท้องฟ้าม้วนตัวเป็นก้นหอย ในลักษณะหมุนวน ประดับด้วยดวงจันทร์ และดวงดาวระยิบระยับ สำหรับการนำสไตล์การแต้มสีของภาพนี้มาใช้ต่อยอดนั้น เราเลือกใช้เทคนิคสีน้ำซึ่งเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน หาได้ง่าย ใช้เป็นชุดสีน้ำเรนาซองซ์ เนื้อสวย ละเอียด ให้สีสด ...
ภาพ The Starry Night มีทัศนธาตุอะไรบ้างชื่อภาพ The Starry Night ผลงานของ ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์ ด้านคุณสมบัติ การรับรู้ : มีการใช้ทัศนธาตุที่เป็นเส้นในลักษณะต่างๆ เช่น โค้ง คด นอน เฉียง และใช้สีน้ำเงิน ดำ เขียว ฟ้า เหลือง และขาว เป็นงานจิตรกรรมที่ใช้เทคนิคระบายสีอย่างฉับไว
ภาพวาดของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ส่วนใหญ่ เป็นภาพวาดประเภทใดวินเซนต์ แวนโก๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2396 (ค.ศ.1853) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นศิลปินในลัทธิ Post-Impressionism โดยจุดเด่นภาพวาดของเขา ก็คือฝีแปรงอันทรงพลังจนกลายเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งการใช้สีที่บ่งบอกสภาวะของอารมณ์ ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกพลุ่นพล่าน ในช่วงที่สภาพจิตใจเร้าร้อน หรือการใช้สีหม่นเศร้า ที่สะท้อน ...
|