เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

เครื่องมือในโรแกรม adobe illustrator cs6



การเปิด Tool Option
        บางครั้งต้องการทำการตั้งค่าเพิ่มเติมให้กับเครื่องมือแต่ละตัว จะต้องทำการตั้งค่าที่Option ของเครื่องมือนั้น วิธีการเปิด Tool Option ทำได้โดยดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนเครื่องมือแต่ละแบบ หน้าต่าง Option ก็จะแสดงขึ้นมา

การตั้งค่าในส่วนของ Preference
        ใช้สำหรับการตั้งค่าที่ต้องการให้เกิดกับโปรแกรม Illustrator CS6 ซึ่งเป็นค่าที่จะต้องใช้อยู่ประจำสำหรับการทำงานในโปรแกรมนี้ วิธีเปิด Preference ทำได้โดยเปิดจากเมนู Edit - Preference แล้วเลือกรูปแบบของ Preference ที่ต้องการปรับแต่ง หรือจะใช้คีย์ลัด Ctrl + K เพื่อเปิด General Preference ซึ้่งเป็น Preference แรกก็ได้

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

        เทคนิค ถ้าเลือก Use Precise Cursor ในส่วนของ General จะเป็นการเปลี่ยน Cursor ให้เป็นรูปกากบาท


การใช้คีย์ลัด Shortcut Key

        เพื่อความรวดเร็วในการใช้คำสั่งในการเลือกเครื่องมือต่างๆ ของโปรแกรม วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้คีย์ลัด บทความในส่วนนี้ได้รวบรวมคีย์ลัดทั้งหมดบนแถบเครื่องไว้ให้ เริ่มแรกอาจจะคิดว่ามากไม่น่าจะจำได้ แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อใช้ไปสักพักก็จะจำได้แม่น

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

การสร้าง Workspace

        โปรแกรม Illustrator CS6 ก็เหมือนกับโปรแกรมอื่นในตระกูล Adobe CS ที่สามารถจะปรับเปลี่ยนพื้นที่การทำงานได้หลายรูปแบบจาก Preset ที่โปรแกรมได้สร้างไว้ หรือจะสร้างใหม่เพื่อให้เหมาะกับการทำงานที่ถนัดได้ โดยเมื่อจัดรูปแบบต่างๆ เรียบร้อยก็เพียงกดที่แถบ Workspace แล้วเลือก New Workspace แค่นี้ก็เรียบร้อย


การเริ่มต้นสร้างชิ้นงาน New Document (Ctrl + N)

        ใช้เมนู File - New หรือจะใช้คีย์ลัด Ctrl + N ก็ได้ จะได้หน้าต่าง New Document ขึ้นมาเพื่อทำการตั้งค่าต่างๆ ตามรายละเอียดดังนี้

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

Name สำหรับตั้งชื่อชิ้นงาน

Profile มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ แต่ส่วนมากจะเลือกที่ Print

Number of Artboards สำหรับเลือกจำนวน Artboard ที่ต้องการใช้งาน ถ้าเลือกมากกว่าหนึ่ง จะมีส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นคือในส่วนของ Grid, Arrange and Layout ให้กำหนดเพิ่ม

Spacing ช่องว่างแต่ละ Artboard

Column จำนวนคอลัมน์ที่ต้องการแสดง

Bleed  คือการกำหนดพื้นที่พิเศษรอบชิ้นงาน เหมะกับการกำหนดเพื่อทำ Name Card ถ้าเป็นงานปกติ อาจจะเพิ่มนิดหน่อยเช่น 0.125 โดยการคลิกที่ลูกศร อันใดก็ได้ เพราะถ้าเราคลิกไอคอน link ที่อยู่ด้านหลังไว้ก็จะปรับตัวเลขให้เท่ากันหมดในทุกส่วน และเมื่อเปิดชิ้นงานขึ้นมาจะเห็นเส้นสีแดงรอบ Artboard Advance ใช้สำหรับกำหนด Color Mode ซึ่งค่า Default จะเป็น CMYK

Raster Effect ควรเลือก High (300 ppi)

Preview Mode เลือก Default

สำหรับในส่วน align to pixel grid ไม่ต้องเลือก


การใช้ Rulers, Guides and Grid:

        ทั้งสามส่วนนี้จะอยู่ในเมนู View เมื่อคลิกแล้วให้เลือกแต่ละส่วนที่ต้องการแสดง หรือจะใช้คีย์ลัดเพื่อความรวดเร็วก็ได้ โดย Ctrl + R / Ctrl + , / Ctrl + " ตามลำดับ


การใช้เส้น Guide

        สิ่งแรกต้องเปิดการใช้งาน Rulers ก่อน จากนั้นคลิกที่แถบของ Rulers เพื่อลากเส้น Guide เมื่อใช้ Guide ควรเปิด Info Panel จะได้เห็นตำแหน่งที่แน่นอน


การเปลี่ยนมาตรวัดบนแถบ Rulers

        ถ้าต้องการเปลี่ยนหน่วนการแสดงของ Rulers เช่นจาก Point เป็น Inches หรืออื่นๆ ให้คลิกขวาที่แถบ Rulers แล้วเลือกตามต้องการ หรือจะเปลี่ยนโดยตั้งค่าเอกสารจากการใช้เมนู File - Document Set Up แล้วเปลี่ยนที่ Unit แต่แบบแรกจะเร็วกว่ามาก

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การใช้ Preview Modes

        เพื่อให้แน่ใจว่าชิ้นงานที่เห็นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อสั่งพิมพ์ออกมาแล้วจะมีสีสรรที่เหมือนกัน มีวิธีทำได้ 3 วิธีในการตรวจสอบ ได้แก่ ใช้ Mode Outline, Overprint Preview และ Mode Pixel Preview โดยการเปิดใช้ Mode ต่างๆ จากเมนู View เลือก :


Outline หรือกดคีย์ลัด Ctrl + Y โหมดนี้ใช้สำหรับแสดงรูปร่างทุกส่วนที่ได้สร้างขึ้น

Overprint Peview หรือกดคีย์ลัด Alt + Shift + Ctrl + Y ทำให้เห็นภาพจริงที่จะพิมพ์ออกมา

Pixel Preview หรือกดคีย์ลัด Alt + Ctrl + Y ทำให้เห็นภาพจริงที่จะแสดงบนเว็บ หรือ มอนิเตอร์


การสร้าง Customs View

           งานที่มีรายละเอียดมากๆ และเป็นชิ้นงานที่ใหญ่ เมื่อทำการซูมเพื่อต้องการดูเฉพาะส่วน มักเสียเวลาในการเลือนหาส่วนที่ต้องการดูเป็นพิเศษ สามารถตัดปัญหาโดยการสร้าง Custom View โดยใช้เครื่องมือซูมลากคลุมส่วนที่ต้องการ จากนั้นใช้เมนู View - New view - ตั้งชื่อแล้วกด OK และเมื่อต้องการเรียกดูส่วนที่สร้าง Customs View ให้ใช้เมนู View - คลิกชื่อ View ที่ตั้งไว้

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


        เทคนิค ขณะที่ทำการซูม สามารถทำในลักษณะที่สั่งให้เป็น Outline mode ก่อน แล้วสั่งทำ Customs view เมื่อเรียนขึ้นมาดูกก็จะแสดงเป็น Outline mode


การซ่อนสิ่งที่สร้างบน Hide Object on the Artboard

        ให้อยู่ที่เครื่องมือ Selection Tool ทำการคลิก Object ที่ต้องการซ่อน แล้วใช้เมนู Object - Hide - Selection (Ctrl + 3) ที่เลเยอร์ดวงตาก็จะปิดลงด้วย ถ้าต้องการแสดงก็ใช้เมนู Object - Show All


การล็อค Object และ การล็อคเลเยอร์

        ทำได้โดยการใช้เมนู Object - Lock หรือคีย์ลัด Ctrl + 2 จะเป็นการล็อคตัว Object แต่ถ้าต้องการล็อคเลเยอร์ ให้คลิกช่องที่สองของเลเยอร์นั้นโดยตรง การล็อคที่เลเยอร์ใดจะทำให้ Sub เลเยอร์ของเลเยอร์นั้นล็อคไปด้วย ถ้าต้องการปลดล็อคทำโดยใช้เมนูน Object - Unlock หรือ Alt + Ctrl + 2 หรือคลิกที่รูปกุญแจอีกครั้ง

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การกำหนด Artboards Layout  

        ใช้สำหรับกำหนด Layout ให้กับการสร้าง Artboards หลายชิ้นในหนึ่งชิ้นงาน การสร้างนี้จะทำขณะที่สร้างงานใหม่ แล้วเลือกไอคอนต่างๆ ซึ่งมี 5 แบบด้วยกัน

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


เมื่อเลือกรูปแบบ Layout ได้แล้ว ให้กำหนดความกว้างระหว่า Artboards ได้จาก Spacing


คำศัพท์ควรรู้

Artboard = ชิ้นงานเปล่าตอนที่เปิดขึืนมา

Artwork = ส่วนต่างๆ ที่รวมกันอยู่บน Artboard เช่น Object, Path

Attribute = ได้แก่ ส่วนของ Fill, Stroke, Effect ต่างๆ


การ Edit Artboard

        ทำได้โดยการใช้เมนู File - Document Setup - Edit Artboardการใช้คำสั่งนี้จะให้ Artboard ที่มีอยู่ มีผลกับ Artborad Tool รวมทั้งถ้ามีการเพิ่มArtborad ใหม่ก็จะมีผลกับเครื่องมีอ Artborad Tool เช่นกัน สามารถปรับเลื่อนตำแหน่ง Artborad ได้ใน Artborad Panel


การปรับขนาด Artboards

        ถ้าต้องการเปลี่ยนขนาด Artboards ให้คลิกเลือกเครื่องมือ Artboard Tool (Shift + O) แล้วทำการคลิก Artboard ที่ตอ้งการปรับเปลี่ยนขนาด จากนั้นลากปรับขนาดได้ตามต้องการ ถ้าต้องการขนาดที่แน่นอน ให้พิมพ์ตัวเลขที่แถบด้านบน ในส่วนของ W and H และยังสามารถคลิกเลือก Artboard เพื่อเลื่อนตำแหน่งได้อีกด้วย


Selection Tools ( V )

        เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการเลือกทั้งหมด เช่น Object, Path ต่างๆ เป็นต้น


Direction Selection and Group Direction Tool ( A )

        เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเลือกเฉพาะส่วน แต่ถ้าใช้ Group Direction Tool แล้วทำการคลิกครั้งแรก จะเป็นการเลือกเฉพาะส่วนที่คลิก ถ้าคลิกครั้งทีสองจะเลือกเพิ่มส่วนอื่น คลิกครั้งต่อไปเป็นการเลือกทั้งหมด


การใช้ Magic Wand Tool ( Y )

        เครื่องมือนี้จะใช้สำหรับการทำ Selection แบบหนึ่ง ก่อนการใช้เครื่องมือควรทีจะกำหนดในส่วนของ Prpperties ก่อน โดยการดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนเครื่องมือเพื่อ Properties และกำหนดค่าต่างๆ เช่น Tolerance หรือจะกำหนดให้เลือกจาก Fill Color, Strok Color, Stroke Weight, Opacity และ Blending Mode ได้ด้วย การตั้งค่า Tolerance เพื่อ Selection ก็เหมือนทั่วไป ซึ่งจะมีผลกับสิ่งที่จะถูก Selection ถ้าไม่เห็นแถบ Stroke หรืออื่นๆ ให้คลิกเปิดออปชั่นโดยคลิกลูกศรบนแถบ Properties - Show stroke option หรือ Show transparency options จากนั้นวิธีใช้เครื่องมือ ให้คลิกที่ Object อันใหนก็ได้ ถ้ามี Object ที่เหมือนกันกับการตั้งค่าใน Properties แต่ละ Object ก็จะทำถูก Selection ให้ทั้งหมด

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *



การใช้ Lasso Tool ( Q )

        เมื่อคลิกเครื่องมือนี้แล้วใช้ลากล้อมรอบ Object เพื่อ Selection เครื่องมือนี้เหมาะกับ Artboard ที่มีรายละเอียดมาก แล้วต้องการ Selection เฉพาะแต่ละส่วนของ Object


การทำ Selection ด้วยคำสั่ง Same and Object

        ให้เลือกเมนู Select - Same หรือ Object แล้วเลือกรูปแบบต่างๆ เพื่อทำการ Selection


การทำ Group and Ungroup Selection

        ปรับเครื่องมือให้อยู่ใน Selection Tool แล้วให้ลากคลุม Object ทุกชิ้นทึ่ต้องการรวม แล้วใช้เมนู Object - Group หรือ คลิกขวาแล้วเลือก Group หรือใช้คีย์ลัด Ctrl + G ถ้าต้องการทีจะ Ungroup ก็ใช้วิธีการเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเลือก Ungroup แทน หรือใช้คีย์ลัด Shift + Ctrl + G การ Ungroup จะเป็นการถอยกลับจากการ Group ทีละขั้นของการเลือกทำ Group เช่น ถ้าเลือก Object ที่ 1 และ 2 แล้วสั่ง Group จากนั้น เลือก Object ที่ 3 แล้วสั่ง Group เพิ่ม ตอนนี้ Object ทั้งหมดอยู่ใน Group เดียวกัน แต่เมือสั่ง Ungroup จะเป็นการ Ungroup ถอยกลัยแบบทีละขั้นที่มีลำดับการ Group



การทำ Isolate Mode

        จะใช้กับ Object ที่มีการ Group หลายลำดับขั้น เพื่อต้องการเลือกเพียง Object นั้นมาเพื่อทำการปรับแต่ง


        วิธีการทำ Isolate โดยการดับเบิ้ลคลิก Object ที่ต้องการปรับแต่ง แถบ Isolate Mode จะแสดงขึ้น พร้อมกับเกิดลำดับการ Ungroup ให้ดับเบิ้ลคลิกต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าลำดับการ Ungroup จะมาถึงในส่วนของ Object ที่ต้องการใช้ในการปรับแต่ง


เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


        ถ้าต้องการที่จะออกจาก Isolate Mode สามารถออกได้ที่ละลำดับ หรือ ออกทั้งหมดครั้งเดียวก็ได้ ถ้าต้องการออกทีละลำดับให้คลิกลูกศรที่แถบแสดง หรือถ้าต้องการออกจากโหมดนี้เลย ทำได้ด้วยการดับเบิ้ลคลิกพื้นที่นอกส่วนของ Group Object


        การทำแบบนี้ไม่ได้เป็นการ Ungroup แต่เป็นการเข้าไปเลือก Object แต่ละส่วนของ Group Object โดยไม่ต้อง Ungroup


การปรับเปลี่ยนรูปร่าง Transform Object

        ใช้ Selection Tool คลิกที่ Object นั้น จะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการลากปรับขนาดของ Bounding Box ที่คลุม Object โดยให้สังเกตุเม้าส์จะเปลี่ยนเป็นหัวลูกศรสองฝั่ง ถึงจะทำการลากเปลี่ยนขนาดได้ หรือทำ Rotating ได้ หรือจะคลิกไอคอนเครื่องหมายลูกศรโค้ง นั่นคือเครื่งอมือ Rotate Tool ( R ) มาทำการ Rotate โดยตรงก็ได้เช่นกัน ส่วนถ้าใช้เครื่องมือที่ติดกับ Rotate Tool นั่นคือ Scale Tool ( S ) เมื่อคลิกที่ Object จะไม่เห็น Bounding Box แต่สามารถคลิกและปรับขนาดได้เลย


การบิดเบือนรูปร่าง Distort Object ( Width and Wrap Tool ( W )

        มีวิธีการบิดเบือนรูปร่างอยู่หลายแบบด้วยกันที่รวมอยู่ในเครื่องมือกลุ่มนี้ เช่น Width Tool, Wrap Tool, Twirl Tool, และอื่นๆ ซึ่งอยุ่ในเครื่องมือการทำ Distort Object ก่อนการใช้เครื่องมือเหล่านี้ จะต้องคลิกที่ Object นั้นโดยใช้ Selection Tool ก่อน จากนั้นส่วนมากจะทำโดยการคลิกค้าง หรือ ลากผ่าน Object เพื่อให้เกิดการ Distort ก่อนทำควรเปิด Properties ของเครื่องมือเพื่อกำหนดค่าตามต้องการ เช่นการปรับขนาดแปรง อัตราการกระทำ และอื่นๆ


เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การทำ Repeating Transforming

        ถ้าต้องการใช้คำสั่งเพื่อให้เกิดผลเหมือนกับการกระทำคำสั่งก่อนหน้า หลังจากที่ได้ทำคำสั่งนั้นแล้ว เช่น การ Copy สามารถใช้ คำสั่ง Ctrl + D เพื่อให้เกิดการ Copy ซ้ำได้


การทำ Reflection and Skewing Object

        ใช้ Selection Tool คลิกที่ Object นั้นแล้วใช้เครื่องมือ Reflect ซึ่งอยู่รวมกับ Rotate Tool จากนั้นให้กดปุ่ม Alt ก่อนที่จะคลิก เมื่อคลิกแล้วจะมีหน้าต่าง Reflect แสดงขึ้นมาเพื่อทำการตั้งค่า โดยสามารถเลือกการ Reflect แบบ Vertical หรือ Horizental ได้ รวมทั้งสามารถกำหนดองศาได้ด้วย ถ้าต้องการเห็นการเกิดส่วนที่ Reflect ให้คลิกเลือกที่ Preview ถ้าต้องการทำ Reflect Object แบบสร้างเพิ่มให้กดที่แถบ Copy จากนั้นกด OK

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


            ส่วนการ Skew ทำได้จาก Tranform Panel ในส่วนของ Shear หรือจะทำจากเครืองมือ Shear Tool ซึ่งอยู่รวมกับ Scale Tool ทำการคลิกแล้วลากให้เกิดการ Shear

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การทำ Align and Distribution bjects

           ให้ใช้เมนู Window - Align เพื่อเป็นการเปิด Align Panle ส่วนการทำนั้นต้องเลือก Object ที่จะทำการ Align ก่อน แล้วเลือกรูปแบบการ Align ซึ่งจะเกิดการ Align กับ Artboard หรือจะใช้เครื่องมือบนแถบเมนูของ Selection tool ก็ได้เช่นกัน



เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การสร้าง Swatch Color and Global Swatch Color

            มีวิธีการทำได้สองแบบ โดยการคลิกที่ Object แล้วมาคลิกไอคอน New Swatch บน Swatch Panel จะได้หน้าต่าง New Swatch ขึ้นมา จากนั้นทำการตั้งชื่อ หรือ คลิกสีบนแถบเครื่องมือแล้วลากไปที่ Swatch Panel ก็จะได้สีนั้นเก็บไว้ที่ Swatch Panel ถ้าดับเบิ้ลคลิกที่สีนั้น ก็จะมีหน้าต่าง Swatch Option จากนั้นให้ตั้งชื่อ Color ถ้าต้องการสร้างสีนี้ให้เป็นแบบ Gobal ก็ให้คลิกเลือกที่ช่อง Global การเลือกเป็นแบบ Global จะทำให้กรอบสีนั้นมีสัญญลักษณ์สามเหลี่ยมที่มุมล่างขวาให้เห็นด้วย เพราะเมื่อเปลี่ยนสีที่ใช้ร่วมกันใน Object ที่เป็น Global Color ก็จะมีการอัพเดทเปลี่ยนสีให้หมดทุก Object ที่ได้ใช้ Global Swath Color นี้

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การลบสีจาก Swatch Panel ก็เพียงแต่คลิกที่สีนั้น แล้วมาคลิกที่รูปถัง จะมีหน้าต่างยืนยันการลบสีนั้น ให้กดเลือก Yes


        การสร้าง Color Group

    ให้ทำการเลือกสีบน Swatch Panel แล้วคลิกที่ไอคอน New Color Group จากนั้นทำการตั้งชื่อ


        การกำหนด Swatch Option

ทำได้โดยคลิกสีบน Swatch Panel แล้วมาคลิกที่ไอคอน Swatch Options จากนั้นทำการปรับตั้งค่าสีต่าง


การสร้าง Spot Color

        เหมือนการสร้าง Swath Color แต่เลือกเป็น Spot Color ในแถบของ Color Type (ประกอบด้วย Process Color and Spot Color) จะมีสัญญลักษณ์ที่ตำแหน่งเดียวกับการสร้าง Global Color


การใช้ Swatch Libraries Menu

        ไอคอนของ Libraries จะอยู่ที่มุมซ้ายล่างของ Swath Panel ถ้าต้อการ Importing Swatch ให้คลิกเลือกที่ Other Library แล้วเลือกไฟล์สีที่บันทึกเก็บไว้ที่คอมพิวเตอร์ จะได้หน้าต่างสีขึ้นมาที่โปรแกรมอีกหนึ่งอัน ให้ดับเบิ้ลที่โฟลเดอร์สีที่ต้องการก็จะไปสร้างไว้ที่ Ai Swath Color แต่ถ้ามีการเปิดชิ้นงานใหม่จะต้องทำการ Import ใหม่ โดยใช้เมนู Window - Swatch Libraries - Other Libraries เช่นเดิม ถ้าต้องการส่งโฟลเดอร์สีมาเก็บไว้ใช้ที่โปรแกรม ให้ทำการคลิกลูกศรบนแถบ Swath - Save Swatch Library as ASE or as AI


การใช้ Color Guide Panel


        ให้ทำการเลือก Base Color จากส่วนของแถบสีก่อน จากนั้นคลิกลูกศรบนแถบของ Color Guide Panel เพื่อเลือก Color Guide Option เลือก Step และ เปอร์เซ็นต์ Variation แล้วคลิกเลือกสีเพื่อ Apply กับ Object

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

การใช้ Fill and Stroke

        Fill คือ สีทีแสดงอยู่ภายในเส้น Path ส่วน Stroke คือ สี่ที่อยู่ส่วนขอบของ Object

สามารถทำการ Revert สีระหว่าง Fill and Stroke ได้โดยการกดสัญญลักษณ์ Revert ที่อยู่แถเครือบมือและยังสามารถ Apply Brush Type กับเส้น Stroke โดยเปิด Brush Panel แล้วเลือกรูปแบบ Brush ก็จะได้ทันที

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การสร้าง Dashes and Arrows Head to Stroke

        การทำนั้นจะกำหนดที่ส่วนของ Stroke Panel ให้คลิกในส่วนของ Dashed แล้วกำหนดตัวเลขในส่วนของ Dash กับ Gap

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


        รวมทั้งยังสามารถกำหนด Arrow Head ให้กับเส้น Dashed ได้ด้วย ในส่วนของ Arrow Head ส่วนของหัวและหาง Arrow จะไม่รวมอยู่ใน Path จนกว่าจะใช้คำสั่ง Object - Expand Appearance


ถ้ามีการปรับขนาดของ Path จะทำให้ Stroke  และ Fill ปรับตามขนาดตามสัดส่วนโดยอัตโนมัติ


การปรับขนาดเส้น Stroke ด้วยเครื่องมือ Width Tool

        หลังจากเลือกเครื่องมือแล้ว ให้ทำโดยคลิกที่เส้น Stroke จะเห็น ขนาด และ ความหนาของเส้นขณะที่คลิก เมื่อคลิกเส้น Stroke ตรงใหนแล้วลากออก จะทำให้มีการปรับขนาด Stroke ในส่วนนั้นใหญ่ขึ้น และยังสามารถคลิกที่จุดตรงกลางของเส้นเครื่องมือ Width Tool แล้วลากเปลี่ยนที่ได้อีกด้วย ถ้าลากที่แขนของเครื่องมือ ซึ่งมีอยู่สองด้าน สามารถลากเข้าออกเพื่อปรับขนาดได้ ถ้าต้องการปรับเฉพาะจุดข้างเดียว ให้กดปุ่ม Alt ก่อนทำการลากปรับขนาดด้านนั้น การทำแบบนี้สามารถสร้าง Stroke Profile เพื่อใช้กับในส่วนอื่นที่เหมือนกันได้


การสร้าง Stroke Profile สำหรับการใช้เครื่องมือ Width

        หลังจากใช้เครื่องมือเพื่อปรับแต่งเส้น Stroke ตามต้องการแล้ว (ต้องคงอยู่ในเครื่องมือ Width Tool) ให้คลิกที่ไอคอน Stroke บนแถบควบคุมเครื่องมือ หรือจะเปิด Stroke Panel แล้วคลิกลูกศรที่แถบ Profile จากนั้นคลิกที่ไอคอน Add to Profile ทำการตั้งขื่อ แล้วกดปุ่ม OK ก็จะได้ Stroke Profile ซึ่งเป็นรูปแบบ Stroke ไว้ใช้กับ Object อื่น


เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การใช้ Stroke Preset จากแถบควบคุมเครื่องมือ

        คลิก Object ที่ต้องการ เลือก Variable Width Profile ที่แถบควบคมุเมนู (ช่องที่อยู่ถัดจากขนาดเส้น Stroke) เลือกรูปแบบ Width Preset ที่จะใช้ ถ้ายังไม่เห็นต้องปรับขนาดความหนาของ Stroke ก่อน (Width Preset Uniform คือ Default ของเส้น Stroke)

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การเปลี่ยน Stroke ให้เป็น Object

        โดยการใช้เมนู Object - Path - Outline Stroke จากนั้นสามารถทำอะไรก็ได้เหมือนทำกับ Object เช่นการเปลี่ยนสีของ Fill ก็จะเปลี่ยนกับ Stroke ด้วย


การสร้าง Gradient Color

        แบ่งได้เป็น การ Apply Gradinet to Fill and to Stroke วิธีการทำนั้นโดยคลิกที่ไอคอน Gradient บนแถบเครื่องมือเพื่อ Apply กับส่วนของ Fill ใน Object แล้วมาปรับที่ Gradient Panel เลือก Gradient Type ซึ่งมีแบบ Linear and Radial สามารถเลือก Preset ได้โดยคลิกที่ลูกศรด้านซ้ายของ Type หรือจะสร้าง Gradient Color ขึ้นเองก็ได้ สามารถปรับมุม ขนาด สี ตำแหน่ง เพิ่ม ลด จุดสี ลักษณะการทำเหมือนการสร้างจากโปรแกรม Photoshop และยังสามารถคลิกที่ Object แล้วไปวางไว้ที่ Swatch Color เพื่อเพิ่มรูปแบบ Gradient ได้เลยแล้วดับเบิ้ลคลิกเพื่อตั้งชื่อ ถ้าต้องการใช้ Preset คลิกที่ Swatch Labraies Menu - Gradient เลือกรูปแบบ

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


                 ส่วนการ Apply Gradinet to Stroke ทำลักษณะเดียวกันกับการใส่ให้กับ Fill เพียงแต่มาปรับที่ Gradient Panel เลือกรูปแบบให้เป็น Stroke เท่านั้น

                                            

การใช้ และ การแก้ไข Applying and Editing Pattern Fill

        เลือก Pattern จาก Swatches Panel โดยคลิกที่ไอคอน Show Swatch Kinds Menu แล้วเลือก Show Pattern Swatch หรือเลือกจาก Swatch Libraries


การเปลี่ยนสีให้กับ Pattern

           ถ้าต้องการเปลี่ยนสี Pattern ทำโดยดับเบิ้ลคลิกกรอบ Pattern ในส่วนของ Swatch ที่ใส่ให้กับ Object จะทำให้หน้าต่าง Pattern Option เปิดขึ้นมาพร้อมแถบ Isolate Mode และจะเห็นกรอบสี่เหลี่ยมบนแสดงขึ้นบนตัว Object จากนั้นเปลี่ยนเป็น Selection Tool มาคลิกภายในกรอบสี่เหลี่ยม หรือ มาคลุมเพื่อเลือกกรอบสี่เหลี่ยม จากนั้นให้เลือกสี แล้วคลิก Done ที่แถบด้านบน หรือ คลิก Save a Copy เพื่อเก็บไว้ใน Swatches และยังสามารถเปลี่ยนรูปแบบ Tile Type และอื่นๆ ได้ ในส่วนของ Properties ได้ด้วย

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การสร้าง Pattern Fill           

        เมื่อมี Object ที่ต้องการสร้งเป็น Pattern ให้คลิกเลือก Object แล้วใช้เมนู Object - Pattern - Make จะได้ Pattern โดยมีกรอบสีน้ำเงินล้อมรอบ Object นั้น และหน้าต่าง Pattern Option จะเปิดขึ้นมาเพื่อให้ทำการตั้งชื่อในช่อง Name สามารถเลือกรูปแบบในส่วนของ Tile Type และทำการปรับขนาดในส่วนของ Brick Offset และอื่นๆ (ลองปรับ) จากนั้นปิดหน้าต่าง Pattern Option ก็จะทำให้ Pattern นั้นถูกเก็บไปไว้ใน Swatches


การสร้าง Closed and Open Path

        Close Path คือ การสร้าง Path ด้วยเครื่องมือในกลุ่มของ Rectangle Tool ขณะลากรูปร่าง สามารถใช้ปุ่มลูกศรปรับขนาดและสัดส่วนต่างๆ ได้ ส่วน Open Path คือ Path ที่ไม่มีการบรรจบของเส้น Path เช่น Line, Arc and Spiral Tool


การสร้าง Join and Average Path

        การรวมเส้น Path เข้าด้วยกันนั้นก็คือการทำ Join and Average Path ซึ่งทั้งสองแบบจะมีลักษณะคล้ายกัน เริ่มต้นต้องใช้เครื่องมือ Direct Selection Toll ( A ) ทำการเลือก Anchor ของ Path ที่จะทำก่อน จากนั้นใช้เมนู Object - Path - Join or Average ถ้าทำ Join Path แล้วมีส่วนที่ไม่แนบกัน หรือเกิดเหลียมที่ Anchor Point ใหน ให้ทำการเลือกที่ Anchor Point นั้นแล้วใช้ Average


การใช้ Eraser, Scissor and Knife Tool เพื่อลบและตัวเส้น Path


Eraser Tool เครื่องมือสำหรับใช้ลบเส้น Path วิธีใช้ก็ง่ายมาก เพียงคลิกลากทับเส้น Path ที่ต้องการลบ

Scissor Tool เครื่องมือที่ใช้ในการตัดเส้น Path ก่อนการตัดให้เลือก Object ที่ต้องการตัดเส้น Path จากนั้นให้คลิกที่ Object โดยจะต้องคลิกให้เกิดจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุดของการตัดบน Object นั้น และจะต้องคลิกเฉพาะในส่วนที่เป็น Anchor Point เท่านั้น ไม่นั้นรูปร่างของ Object จะเปลี่ยนไป เมื่อคลิกได้สองจุดแล้ว Object นั้นจะถูกตัดแบ่งออกเป็นสองส่วน การตัดโดยใช้เครื่องมือ Scissor จะเป็นการตัดแบบเส้นตรง

Knife Tool ก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตัดเส้น Path เช่นกัน แต่เป็นการตัดที่มีรูปร่างอิสระในการตัดโดยการลากตัดเส้น Path บน Object ตามรูปร่างที่ต้องการ และไม่จำเป็นต้องตัดเฉพาะจุดที่เป็น Anchor Point สามารถลากผ่านเส้น Path ที่ส่วนใหนก็ได้ แต่หลังจากลากเส้นตัดแล้ว ให้เปลี่ยนเป็นเครืองมือ Selection Tool และคลิกส่วนที่ทำการตัดเพื่อให้เกิดการเลือกที่ส่วนนี้ก่อนที่จะทำการลากเพื่อแยกส่วนออกมาจาก Object


เทคนิค ถ้าอยู่ใน Knife Tool แล้วต้องการตัดให้ตรง ให้กดปุ่ม Alt ก่อนทำการลากตัด


การ Copy and Paste Path

คลิกเลือก Path นั้น แล้วกดปุ่ม Ctrl + C จากนั้นกดปุ่ม Ctrl + V


การใช้เครื่องมือการวาด Drawing Mode


เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


เครื่องมือนี้ใช้สำหรับกำหนดตำแหน่งของการสร้าง Object ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ


              Draw Normal จะเป็น Default ค่าเริ่มต้นของการวาด และจะเป็น Object แรกที่สร้างขึ้น

              Draw Behind หลังจากมีการวาด Object แรกแล้ว สามารถกำหนดได้ว่า Object ที่กำลังจะสร้างต่อไปนี้ให้แสดงอยู่ในส่วนใดของ Object แรก ถ้าต้องการให้แสดงบางส่วนอยู่ด้านหลัง หรือที่เรียกว่า Over Wrap กับ Object แรก ก็ให้คลิกเลือก Draw Mode ลำดับที่สอง

              Draw Inside ก่อนที่จะทำการวาดในโหมดนี้ จะต้องคลิกเลือก Object ที่เราจะให้ Object ที่จะสร้างขึ้นอยู่ภายใน Object นั้นก่อน จากนั้นก็เลือกเครืองมือนี้ จะมีกรอบแสดงขึ้นมาล้อมรอบที่ Object ที่ได้เลือกไว้ และทำการวาดภายใน Object ที่ได้คลิกเลือก การทำเช่นนี้จะเหมือนกับการ Group Object ดังนั้นถ้าต้องการแก้สี หรือแก้ไขแต่ละส่วน จะต้องทำดับเบิ้ลคลิกที่ Object เพื่อสร้าง Isolate Mode แล้วคลิกเลือกแต่ละ Object ที่ต้องการแก้สี หรือจะใช้วิธีกดปุ่ม Ctrl แล้วคลิก Object ส่วนที่ต้องการการสีก็ได้


เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

การใช้ Path Finder Panel กับ Compound Path


        ใช้เมนู Window - Pathfinder หรือคีย์ลัด Sshift + Ctrl + F9 สำหรับ Panel นี้จะประกอบด้วยสองส่วนสำคัญคือ ส่วนของ Shape Modes ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 รายการ ได้่แก่ Unite, Minus, Intersect, Exclude และส่วนของ Pathfinders ซึ่งมีอยู่ 6 รายการ ก่อนที่จะทำแต่ละคำสั่ง จะต้องทำการเลือก Object แต่ละชิ้นเพื่อให้ Group Object ก่อนที่จะใช้คำสั่งเหล่านี้


Shape Modes :

Unite = คือ การรวม Object สอง Object เข้าเป็น Object เดียวกัน เมื่อใช้คำสั่งนี้จะทำให้ Object ที่อยู่ด้านล่างรวมเข้ากับ Object ที่อยู่ด้านบน

Minus = คือ การตัด Object โดย Object ที่อยู่ด้านบนจะถูกตัดออก และจะทำให้ Object ที่อยู่ด้านล่างถูกตัดออกเฉพาะส่วนที่ Object บนคาบเกี่ยวกับ Object ด้านล่าง

Intersect = Object ทั้งด้านบน และด้านล่างจะถูกตัดออก เหลือเฉพาะส่วนที่คาบเกี่ยวกันระหว่างสอง Object และ Object ด้านล่างจะรวมกับ Object ด้านบน

Exclude = ส่วนที่คาบเกี่ยวกันระหว่างสอง Object จะถูกตัดออก และ Object ด้านล่างจะรวมกับ Object ด้านบนสำหรับส่วนที่เหลือ

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

Pathfinders

ในส่วนนี้จะประกอบด้วย 6 รายการ ได้แก่ Divide, Trim, Merge, Crop, Outline, Minus back


Divide = คือ การตัดแยกส่วนของ Path ทั้งสองที่คาบเกี่ยวกัน แต่ละส่วนจะถูกแยกออก เมื่อ เปลี่ยนเป็นเครื่องมือ Direct Selection Tool แล้วคลิกแต่ละส่วนของ Path จะสามารถแยก Path ออกจากกันได้ตามภาพ ส่วนของ Path ที่อยู่ด้านล่างที่คาบเกี่ยวกัน จะรวมกับ Path ด้านบน

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

Trim = คือการตัด Group Path ระหว่างสอง Object Path ที่ Overlap กัน แต่จะตัด Path ที่อยู่ด้านล่าง ส่วนที่อยู่ด้านล่างจะรวมกับ Object Path ด้านบน

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

Merge = เป็นการรวม Group Path ระหว่างสอง Path ที่ Overlap กัน จะเหมือนกับ Unite ในส่วนของ Shape Mode

Crop = เป็นการตัด Group path ระหว่างสอง Path ที่ Overlap กัน แต่จะตัดส่วนเกินของ Path ที่อยู่ด้านล่างออก จะเหมือนกับ Intersect ในส่วนของ Shape Mode

Outline = คือคำสั่งที่ใช้สำหรับเปลี่ยน Path เป็น Outline Mode เท่านั้น

Minus Back = เป็นการตัด Group Path ระหว่างสอง Path ที่ Overlap กัน แต่จะตัดส่วนล่่าง Path ทั้งหมด และส่วนที่ Overlap กับส่วนบนด้วย จะเหมือนกับ Minus ในส่วนของ Shape Mode แต่จะสลับส่วนที่ถูกตัดเท่านั้น


การใช้เครื่องมือ Shape Builder Tool

        เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการ Merge and Subtract Object แต่ก่อนที่จะใช้เครื่องมือนี้ จะต้องทำการเลือก Object ที่ต้องการทั้งหมดก่อน ส่วนการทำโดยให้ลากผ่าน Path ที่ต้องการMerge หรือ Subtract (ถ้ากดปุ่ม Alt แล้วลากจะเกิดการ Subtract แทน) จะใช้คลิกหรือ ลากผ่านก็ได้ ส่วนที่ถูกเลือกจะทำการ Merge แต่ส่วนที่ไม่ถูกเลือกจะเป็น Subtract


การใช้ Blob Brush

        การสร้างเส้น Path ด้วยการทา และเมื่อทารวมกันจะทำให้เกิดการรวม Path สามารถปรับขนาดห้วแปรงได้ด้วยการใช้ Bracket [ or ]


การใช้ Paint Brush and Pencil Tool


วิธีใช้ก็เพียงเลือกเครื่องมือแต่ละแบบ แล้วทำการทาลงบน Artboard เท่านั้น การทามี 2 วิธี คือ ทาแบบ Open Path คือ การทาไปปกติโดยที่ไม่มีการบรรจบกันระหว่างหัว และท้ายของการทา

Close Path ทำโดยให้คลิกที่ Artboard ก่อน จากนั้นกดปุ่ม Alt จะเห็นสัญญลักษณ์วงกลม แล้วจึงทำการทา  เมื่อปล่อยเม้าส์ เส้น path จะวิ่งไปบรรจบกัน

การทาแบบ Open ให้เป็น Close Path ทำได้โดยการทาปกติ แต่เมื่อต้องการจบ ให้กดปุ่ม Alt ก่อนที่จะปล่อยเม้าส์


เทคนิค ทั้งสามแบบนี้ใช้ได้ทั้ง Paint and Pencil Tools


การตั้งค่า Paint Brush Tool

ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนเครื่องมือ จะเป็นการเปิด Paintbrush Tool Option เพื่อทำการตั้งค่าได้

Fidelity = กำหนดความห่างเท่าไรที่จะใส่ Anchor Point บนเส้น Path

Smoothness = เปอร์เซ็นต็การทำให้เส้นเรียบโค้งสวยงาม ไม่ขรุขระ ถ้าใช้เม้าส์ควรตั้งประมาณ 1% แต่ถ้าเป็น Tablet ไม่ต้องกำหนดค่า


เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


การใช้ Smooth and Path Eraser Tool (อยู่ในกลุ่มของ Pencil Tool)


Smooth Tool ใช้สำหรับวาดซ้ำเส้น Path เพื่อแก้ไขเส้น Path ที่สร้างจาก Pencil tool ให้มีส่วนโค้งมน ไม่ขรุขระ ก่อนวาดต้องทำการเลือก Path นั้นก่อนด้วย Selection Tool

Eraser Tool ลักษณะการทำเหมือน Smooth Toll แต่เป็นการลบเส้น Path ก่อนลบ จะต้องทำการ Selection Path ที่จะลบก่อน


การใช้เครื่องมือ Pen Tool

              เครื่องมือนี้ใช้สำหรับการสร้างเส้น Path ลักษณะการทำของเครื่องมือนี้จะเป็นการสร้างจุดเพื่อเชื่อมโยงให้เกิดเส้น ซึ่งเรียกว่าเส้น Path เมื่อเลือกเครื่องมือ Pen Tool เม้าส์จะเปลี่ยนเป็นรูปปากกาให้ทำการคลิกเพื่อสร้างจุดเริ่มต้น และจุดต่อไปตามแนวที่ต้องการสร้างเส้น Path เมื่อสร้างจุดมาจนครบรอบกับจุดแรกที่สร้าง เครื่องหมายวงกลมจะแสดงขึ้นมาให้เห็นข้างเม้าส์รูปปากกา ให้คลิกที่จุดแรกอีกครั้ง จะเป็นการ Close Path ที่สมบูรณ์

              เครื่องมือที่ใช้ในการปรับแต่งจุดของเส้น Path มีด้วยกัน 2 แบบ คือ Convert Anchor Point Tool และ Direct Selection Tool


การปรับแต่งเส้น Path เพื่อปรับความโค้ง ทำได้ 2 วิธี


                หนึ่ง ปรับแต่งขณะสร้างเส้น Path โดยใช้เครื่องมือ Pen Tool  เมื่อคลิกสร้างจุด ให้คลิกค้างไว้แล้วลากออกห่างจากจุด จะเกิดก้านสำหรับใช้ปรับแต่งความโค้งขึ้นมาทั้งสองด้านของจุด ขณะที่เม้าส์ยังคงคลิกค้างไว้ ให้เลื่อนขึ้น ลง หรือ ลากเข้า ออกได้  ขณะลากถ้ากดปุ่ม Shift จะทำให้เส้นที่ลากนั้นเป็นเส้นตรง ถ้าต้องการปรับมุมของก้านโดยไม่กระทบกับแนวของเส้น Path ให้กดปุ่ม Alt เพื่อปรับลากก้านที่ใช้สำหรับปรับเส้น Path

                 สอง ปรับแต่งหลังจากสร้างเส้น Path แล้ว โดยการใช้เครื่องมือ Direct Selection Tool คลิกบนเส้น Path จะเกิดก้านปรับเส้น Path ที่ตำแหน่งของแต่ละจุด Anchor Point ซึ่งจะแสดงก้านให้เห็นทั้งสองด้าน นำเม้าส์คลิกที่ปลายของก้านในฝั่งที่ต้องการปรับ ลักษณะการปรับแต่งทำเช่นเดียวกันกับ Pen Tool หรือ Convert Anchor Point Tool ใช้คลิกปรับหลังจากได้มีการ Selection Path แล้ว

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


         การเพิ่ม หรือ ลบ จุดบนเส้น Path โดยการใช้ Add Anchor Point Tool คลิกที่เส้น Path จะเป็นการเพิ่มจุด Anchor Point หรือ ลบจุด Anchor Point บนเส้น Path ก็ใช้ Delete Anchor Point Tool คลิกที่จุดบนเส้น Path นั้น


การสร้างตัวหนังสือ

        ตัวหนังสือของโปรแกรม Illustrator จะเป็นตัวหนังสือที่สร้างบนเส้น Path ประกอบด้วย Point and Area text  และวิธีการใช้งานเหมือนกับโปรแกรม Test in Photoshop การปรับขนาด และ Rotate เมื่อพิมพ์ตัวหนังสือแล้วสามารถปรับขนาดโดยการการใช้ Selection Tool คลิก ที่ Bounding box ลากปรับขนาดได้เลย


การสร้าง Link Area Text

        เริ่มแรกให้สร้าง Area text ขึ้นมาหนึ่งอันก่อน จากนั้นเมื่อพิพม์ข้อความใน Area แรกเต็มแล้วจะเห็นเครืองหมาย + ที่กรอบด้านล่างขวา ให้เปลี่ยนเป็น Selection Tool ก่อน แล้วคลิกที่ Area Text แรก แล้วมาคลิกที่เครื่องหมาย + จะเห็นเครื่องหมาย Area Text ทีเม้าส์ ก็ให้ทำการลากแถบ Area Text เพิ่มใหม่ได้เลย

        กรณีที่มีการสร้างกรอบ Area Text ไว้ก่อนแล้ว การ Link ให้คลิกเครื่องหมาย + ของ Area Text แรกแล้วนำไปคลิกกับกรอบ Area Text ที่สร้างไว้สำหรับการ Link ได้เลย


เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *

การยกเลิกการ Link Area Text

        ให้คลิกที่เครื่องหมายมุมบนซ้ายของ Area Text ที่ต้องการยกเลิกการ Link จะเห็นเครื่องหมาย Unlink จากนั้นให้มาคลิกที่เครื่องหมายการ Link ที่ด้านล่างขวาของ Area Text ที่เป็นตัวที่ Link ไว้


การสร้าง Type on Path

        ให้เปลี่ยนเป็นเครื่องมือนี้ หรือขณะอยู่ที่เครื่องมือ Type ธรรมดา ให้กดปุ่ม Alt ก็ได้ หลังจากพิมพ์เสร็จแล้วให้เปลี่ยนเป็น Selection Tool ก็จะเห็นสัญญลักษณ์ Control Handle ที่ใช้ในการปรับแต่ง การปรับแต่งหรือลากตัวหนังสือ ให้คลิกที่ก้านของ Handle

        ก้านของ Handle ใช้สำหรับลากเลื่อนตัวหนังสือ และก้านสำหรับเลือนเข้าออกด้านในและนอก Path ให้นำเม้าส์ไป Hover ที่ก้านแต่ละก้าน จะมีเครื่องหมายบอกไว้

        เมื่อเลื่อนตัวหนังสือ แล้วทำให้บางส่วนไม่เห็น แสดงว่าต้องมีการลากเส้นปลายย้อนกลับมาถึงจะเห็น


การเปลี่ยนตัวหนังสือให้เป็นเส้น Path (Text to Path)

        ก่อนอื่นต้องใช้ Selection Tool คลิกที่ Text เพื่อให้เกิด Bounding Box จากนั้นคลิกขวาแล้วเลือก Create Outline และใช้ Direction Tool คลิกที่ Anchor Point ที่ต้องการปรับแต่ง

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


คีย์ลัดสำหรับใช้กับตัวหนังสือ Text shortcut key


Appearance Panel

        เป็นส่วนสำหรับการแสดงรายละเอียดต่างๆ ขณะที่มีการกระทำอะไรก็ตามเกิดขึ้นกับ Artboard เช่น เมื่อมีการคลิกเพื่อ Selection หรือ มีการสร้าง Stroke, Fill, Effect, Attribute (เช่น opacity) และยังสามารถที่จะทำการแก้ไขปรับแต่งสิ่งต่างๆ กับ Object ได้จาก Panel นี้ เช่นถ้าคลิกที่แถบ Stroke ก็จะมีช่องรายการแสดงขึนมาเพื่อให้ใส่ขนาด เป็นต้น

เครื่องมือชนิดใดใช้สำหรับการเลือกออบเจ๊กต์ *


        ถ้าคลิกที่ชื่อต่างๆ ที่มีการขีดเส้นประบน Appearance Panel จะเป็นการเปิดหน้าต่าง Properties ของส่วนนั้นๆ ถ้าคลิกที่แถบลูกศรของแต่ละตัวซึ่งเรียกว่า Stack จะมีแถบย่อยเปิดออกมา ส่วนแถบ Attribute Stack ซึ่งเป็นแถบด้านบนสุดจะใช้สำหรับแสดงสถานะการ Selection เช่นถ้าแสดงว่า No Selection หมายถึงยังไม่มีการทำ Select อะไรบน Artboard ถ้ามีการ select จะเปลี่ยนอัพเดทไปทุกครั้งที่มีการ Select เช่น Select ที่ Path ก็จะแสดงชื่อ Path เมื่อคลิกที่ลูกศรบนแถบจะเห็นเมนุต่างๆ เพิ่มขึ้น สามารถคลิก Attribute Stack ลากเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างกันได้ แต่จะทำให้เกิดผลกับการแสดงผลที่ Object ด้วย


การสร้าง New Fill ใน Appearnce Panel

        เมื่อต้องการสร้าง Fill Attribute ใหม่ สามารถทำได้โดยการคลิกที่ไอคอน Add New Fill จะมี Fill Stack เพิ่มขึ้นมาด้านบนสุดของ Panel สีของ Fill จะใช้สีปัจจุบันที่มีการเลือกค้างไว้ ถ้าต้องการเปลี่ยนให้เลือก Fill ใหม่ที่ต้องการ เช่น อาจใส่เป็น Pattern ซ้อนทับ Color Fill ที่อยู่ใน Stack ด้านล่าง จะทำให้สวยงามขึ้น เมื่อต้องการปรับ Opacity หรือ Blend Mode ของ Fill Pattern ก็สามารปรับได้โดยการคลิกเปิดลูกศรที่ Stack ของ Fill แล้วคลิกที่ Opacity เพื่อเปิดหน้าต่าง Properties รวมทั้งสามารถใส่ Mask ได้ที่นี่อีกด้วย


การสร้าง Multiple Strokes

        โดยการคลิกไอคอน Add Stroke บน Appearance Panel แล้วปรับค่าต่างได้ Stroke ที่อยู่ด้านบนต้องมีขนาดที่เล็กกว่าด้านล่าง จึงจะทำให้เห็นเส้น Multiple Stroke ได้


การปรับแต่ง Appearance Panel ด้วย Live Effects

        Effect จะมีสองส่วน ได้แก่ ส่วนของ Illustrator และ Photoshop ส่วนที่เป็นของ Illustrator จะเรียกว่า Live Effect เมื่อคลิกไอคอน fx จะเห็นรายการต่างๆ ของทั้งสองส่วนแสดงขึ้นมา เมื่อคลิกเลือกที่ Effect ใดก็จะมีหน้าต่าง Effect Option นั้นแสดงขึ้นมา


การบันทึก Effect ที่สร้าง และเก็บไว้เพื่อใช้

        เมื่อสร้าง Effect เสร็จแล้ว ให้คลิกที่ Object มีวิธีเก็บ Effect ไว้ที่ Graphic Style Panel ได้สองวิธี โดยคลิกที่ Object แล้วลากเข้าไปที่ Graphic Styles Panel หรือใช้กดไอคอน New Graphic Style ที่ Graphic Style Panel ก็ได้ ทำการดับเบิ้ลคลิก Effect ที่เพิ่งใส่เข้าจะมีหน้าต่าง Graphic Style Option แสดงขึ้นมาเพื่อให้ตั้งชือ เมื่อต้องการนำไปใช้กับ Object อื่น ก็แค่คลิกที่ Object แล้วมาคลิกที่ Graphic Style ที่ต้องการ


การบันทึก Graphic Style

            เมื่อสร้าง Graphic Style ขึ้นมาได้หลายแบบแล้ว ควรที่จะเก็บไว้ใช้โดยการคลิกที่ลูกศรบนแถบ Graphic Panel เลือก Save Graphic Libraries แล้วเลือกที่เก็บไฟล์บนคอมพิวเตอร์ แถมยังส่งสามารถใช้ไฟล์นี่ส่งให้ใครใช้ก็ได้ เมื่อต้องการใช้ให้เลือก