ใครที่กำลังคิดจะเปิดร้านค้าใหม่เราได้ไปรวบรวมความรู้ มาไว้ให้ผู้ที่จะเปิดร้านใหม่ไว้ให้ได้นำมาศึกษากัน เป็นแบบเบี้องต้น สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการเริ่มต้นเปิดร้านใหม่ 1.ทุน เงินที่จะลงทุน ควรมีสัก 1แสนบาท สำหรับร้านเล็ก งบ 1แสนบาทนี้ เราจะเอามาใช้ เงินลงทุนถ้าจะน้อยกว่านี้ พวกชั้นวางของเราอาจจะทำเองหรือจ้างช่างทำก็จะได้ชั้นวางของที่ถูกกว่าชั้นสำเหร็จรูปที่มีขายถูกกว่าตามท้องตลาดได้เยอะเลย ลงทุนไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับของที่จะลง ลองไปเชคดูตามร้านขายส่ง ตู้แช่ชนิดฝากระจกเปลืองไฟมาก แรกๆแนะนำให้แช่ในตู้เย็นไปก่อน หากขายดีแล้วค่อยขยับขยาย มีข้อห้ามอยู่สองสามข้อ 1. ถ้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามเจ้าของกินเอง ห้ามพาเพื่อนมาตั้งวง ขาดทุนแน่ๆ 2.งดเชื่อเด็ดขาด 3.เงินขายกับเงินใช้ส่วนตัวต้องแยกออกจากกันคนละกระเป๋า ———————————————————– 2.แหล่งของสินค้า จะซื้อจากที่ใหนดี 1.ร้านขายส่ง เลือกแหล่งส่งที่ใกล้กับเราให้มากที่สุด จะได้ลดต้นทุนค่าขนส่งไปได้ .ห้ามลงของจากเซลที่มาติดต่อที่ยังไม่คุ้นเคย อาจเจอของปลอม หรือสอดใส้หมดอายุ ———————————————————– 3.การขออนุญาตและการเสียภาษี 1.สรรพสามิตร ต้องมีใบอนุญาตและเสียค่าธรรมเนียม ในการขาย บุหรี่ เหล้า-เบียร์-ไพ่ 2.สรรพากร ภาษีเงินได้ 3.ภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่ การขออนุญาตและการเสียภาษีเบื้องต้นจะมีแค่นี้ สำหรับร้านค้าของชำ .ขออนุญาตจากหน่วยงานราชการให้เรียบร้อย ป้องกันปัญหาที่จะตามมา.. เหล้า-เบียร์-บุหรี่ ควรระวังผู้ซื้อที่อายุยังไม่ถึงที่กฏหมายที่ห้ามขาย 4.การตั้งราคาขาย ราคาทุน + 20% สำหรับราคาพื้นฐาน ที่เขาคำนวณกันแบบทั่ๆไป ต่ำกว่า 20% สำหรับสินค้าที่ขายดี ขายได้ไว หรือเราต้องการให้ขายดี 30% ขึ้นไป สำหรับสินค้าที่นานๆจะขายออกได้สักที สินค้าหลายๆอย่างเรามาบวกกำไรตามใจชอบเองไม่ได้ เราต้องขายราคาตามท้องตลาดที่เขาขายกัน ราคาที่เราสามารถมาบวกเองได้ตามที่่เราต้องการ เราต้องดูราคาจากร้านคู่แข่งด้วย พยามอย่าให้ขายแพงกว่าเขา สรุปโดยรวมเลยสินค้าทั่วไปที่จะต้องบวกกำไรควรอยู่ที่ประมาณ ขอย้ำว่าปรมาณนะครับ จะมากจะน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่ควรให้ได้กำไรเกาะอยู่ที่ 20%เป็นหลัก ซื้อของทุกที่ บิลสำคัญที่สุด เก็บให้ดีเลยน่ะ เวลาทำราคาจะได้รุ้ต้นทุน คำณวนกำไรได้ถูกต้อง บางครั้งของมาแต่ละที่ราคาไม่เท่ากันก็มี จดบันทึกไว้ในสมุดรายการสินค้าไว้ก็จะดีมาก โปรแกรมขายของหน้าร้าน โปรแกรมจัดการสต๊อค
5.การจัดเรียงสินค้า 1. จุดที่เด่นที่สุดของชั้นวางสินค้าก็คือระดับสายตาของลูกค้า เช่น ถ้าเป็นระดับสายตาที่ต้องการขายให้เด็กเล็กก็สามารถเลือกสินค้าเองได้ก็น่าจะอยู่ชั้นที่ต่ำกว่า สายตาของผู้ใหญ่ลงไปอีก 2. จัดแบ่งพื้นที่ให้สินค้าวางโชว์อยู่ในชั้นวางสินค้าให้เหมาะสมกับยอดขายที่คาดว่าจะขายได้ และตามอัตราผลกำไรที่จะได้รับโดยรวมด้วย 3. สินค้าควรจะต้องมีให้เห็นเพื่อขายอยู่บนชั้นวางสินค้าตลอดเวลาเพื่อไม่ให้โอกาสในการขาย 4. กรณีที่สินค้าขาดหายไป จงอย่าเลื่อนเอาสินค้าตัวอื่นมาแทนที่เนื่องจากจะทำให้ลืมได้ว่าตรงบริเวณนั้นสินค้าขาดไป และจะต้องรีบนำมาเติมให้เต็มพื้นที่ที่ จัดเตรียมไว้โดยเร็วที่สุด 5. ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายหรือสลับที่กันกับสินค้าตัวอื่น ๆ ควรจะต้องมีการศึกษาและปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างทางฝ่ายจัดซื้อและทางหน้าร้านก่อน จึงจะให้ ทำการย้ายจุดได้ 6. ควรมีการปรับปรุงจุดที่จัดวางสินค้าบนชั้นวางสินค้าใหม่ในทุก ๆ 3 เดือน เพื่อคอยสอดส่องดูว่าผลการดำเนินงานหรือยอดขายและกำไรต่อพื้นที่การขาย ของสินค้าแต่และตัวนั้นเหมาะสมอยู่หรือไม่ 7. การเติมสินค้าบนชั้นวางสินค้า ให้นำสินค้าเก่าที่มีอยู่ยกยอดออกมาให้หมดก่อนแล้วจึงเติมสินค้าใหม่จากด้านหลังมา ทั้งนี้จะช่วยในการบริหารสินค้าที่นำมา วางจำหน่ายไม่ให้มีสินค้าเก่าเก็บเหลืออยู่ในชั้นวางสินค้านานจนเกินไป 8. ชั้นวางสินค้าไม่ควรมีฝุ่นละอองจับ ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวชั้นวางสินค้าเองหรือที่ตัวสินค้า 9. เมื่อสินค้าใหม่เข้ามา ควรรีบนำขึ้นวางสินค้าในทันที 10. จัดสินค้าให้แยกตามประเภทของสินค้าและให้เป็นตามแนวดิ่งจากชั้นล่างขึ้นบน หรือจากบนลงล่าง 11. สินค้ายี่ห้อที่เป็นที่นิยมให้จัดอยู่ในระดับสายตา ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นได้ก่อนและเลือกหยิบซื้อได้โดยเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาหานาน 12. สินค้าประเภทที่ “ไม่เห็นไม่ซื้อ” หรือลูกค้าไม่เคยมีความคิดจะซื้ออยู่เมนูการจับจ่ายซื้อของเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว จงพยายามจัดเอาสินค้าประเภทนี้ วางให้กับสินค้าชนิดที่ขายดีหรือเป็นที่ต้องการของลูกค้า 13. กรณีสินค้านั้น ๆ มีหลายขนาด ให้จัดสินค้าเป็นแนวดิ่ง คือให้ขนาดเล็กอยู่บน ขนาดใหญ่อยู่ล่าง เวลาจัดชั้นวางสินค้าพนักงานขายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก ในการหยิบยกสินค้าขนาดใหญ่ ๆ ไปไว้ข้างบน และลูกค้าเวลาเลือกหยิบจากชั้นวางสินค้าก็จะได้ไม่ต้องกลัวว่าสินค้าจะตกลงมาใส่หัว 14. ถ้าขนาดใดขายดี ให้เพิ่มพื้นที่ในชั้นวางสินค้าหรือขยายเพิ่มชั้นวาง 2 ชั้นขึ้นไป 15. ถ้าสินค้าประเภทนั้นมีเพียง 2 ยี่ห้อ และมีเพียงยี่ห้อละ 2 ขนาด ให้เอายี่ห้อที่ขายดีจัดวางชั้นบน และเอายี่ห้อรองวางชั้นล่าง 16. ถ้าสินค้าประเภทนั้นมีเพียงยี่ห้อเดียว ให้ดูว่าสินค้าประเภทใกล้เคียงกันในหมวดหมู่เดียวกันหรือไม่ ถ้ามีให้นำมาขายรวมหมวดกันและจัดวางตามยี่ห้อ เป็นแนวดิ่ง 17. ถ้าสินค้ามีหลายขนาดมาก แต่ละชั้นวางสินค้ามีเพียงไม่กี่ชั้นเราสามารถเพิ่มหรือเสริมชั้นวางสินค้าให้มีหลายชั้นได้ 18. ถ้าเป็นสินค้าประเภทกำจัดยุงไฟฟ้า ควรวางแผ่นไว้ข้าง ๆ กันกับเครื่องยี่ห้อเดียวกัน 19. ส่วนที่เป็นน้ำยาฉีดกันยุงทั้งที่เป็นแบบสเปรย์และกระป๋องควรวางไว้ในกลุ่มยี่ห้อเดียวกัน และเรียงตามขนาดตามแนวดิ่ง ส่วนน้ำยาที่เป็นแบบกระป๋องเติม ให้วางไว้ชั้นล่างสุด 20. สินค้าประเภทผ้าอนามัย ควรแบ่งกลุ่มตามแนวดิ่ง และแยกประเภทตามยี่ห้อ 21. ยาสีฟัน ควรแบ่งการวางไว้ตามยี่ห้อ (ขนาดใหญ่หรือเล็กก็ควรให้อยู่ใกล้กันในหมวดยี่ห้อเดียวกัน) แนวคิดที่จัดวางสินค้าเป็นแนวดิ่งนี้เนื่องเพราะหากว่าเราจัดวางโชว์สินค้าเป็นแนวนอน เวลาลูกค้าเดินเลือกหาสินค้าแล้วจะเดินผ่านไปเลยและไม่มีโอกาสที่จะเดินย้อนกลับมาเลือกซื้อสินค้าประเภทอื่นที่วางขายอยู่ที่ชั้นอื่น ๆ อีก การเลือกดูตามขนาดของสินค้าก็เพียงก้ม ๆ เงย ๆ นิดหน่อยก็สามารถเลือกได้สินค้าที่พอใจแล้ว ดังนั้นโอกาสในการขายของก็เพิ่มขึ้นเนื่องจากทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นสินค้าได้ทั่วไปนั้นเอง · ร้านของชำอะไรขายดีที่สุดโดย 10 อันดับสินค้าที่ขายดีของร้านโชห่วย ประกอบด้วย เครื่องดื่มประเภทเบียร์ เครื่องดื่มชูกำลัง และวิสกี้ ติด 3 อันดับแรก ด้วยส่วนแบ่งของการขายกว่า 70% ตามมาด้วย เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มเกลือแร่ ยาฆ่าแลง บุหรี่ เครื่องดื่ม สุรา และกาแฟพร้อมดื่ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หากร้านโชห่วยดั้งเดิม เน้นจำหน่ายสินค้าเหล่านี้เป็นหลัก ...
ร้านของชํา ต้องเตรียมอะไรบ้างอุปกรณ์เปิดร้านขายของชำจะต้องมี 3 อย่างเป็นหลัก นั่นก็คือ ชั้นวางสินค้า, ตู้แช่ และเคาน์เตอร์คิดเงิน ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ อาจจะนำมาเสริมได้ก็อย่างเช่น ตู้แช่เบียร์วุ้น และชั้นวางขวดน้ำมัน
เปิดร้านขายของต้องมีอะไรบ้างการศึกษากลุ่มลูกค้าและสถานที่. หมวดหมู่สินค้า / สต็อกสินค้า. การมองหาแหล่งซัพพลายเออร์. การทำบัญชี / ภาษี. อุปกรณ์ภายในร้าน. การตกแต่งจัดวางสินค้าภายในร้าน. |