จังกอบ เป็นการเก็บภาษีประเภทใด *

"การจัดเก็บภาษีสมัยอยุธยา" 1.จังกอบ = ค่าผ่านด่าน 2.อากร = ภาษี 3.ส่วย = เงินเก็บแทนการเกณฑ์แรงงาน 4.ฤชา = ค่าธรรมเนียมการติดต่อราชการ

Posted by ความรู้โอเน็ต on Monday, January 30, 2017

�ç���ҧ�ҧ���ɰ�Ԩ������ظ��
          1. ��ü�Ե �ѧ�繡�ü�Ե�����ѧ�վ ���������֧ͨ���͡���
          2. ��ü�Ե�ҧ��ҹ����ɵ� �ա�û�١�������Ӥѭ �͡�ҡ����ѧ�ա�÷��ǹ����� ����� �������§�ѵ��
          3. ��ü�Ե�ҧ�ص��ˡ��� �ѧ���ص��ˡ���㹤������͹ �� ��÷ͼ�� ��÷�����ͧ��͡���ɵâ�鹵�
          4. ��ä��
                    ��ä������
                    �յ�Ҵ��Ш������ҹ����Ѻ���͢���Թ��ҷҧ����ɵ� ����ص��ˡ��� �������վ�ͤ��������
                    �ա���������ҡ�
                    ��ä�ҡѺ��ҧ�����
                    ������ժ�ǵ��ѹ���ҵԴ��ͫ��͢���ҡ��� ���ժ���õ��� �繪ҵ��á�������ҵԴ��ͫ��͢��
                    �Թ����͡����Ӥѭ ���� ���� ��Ե�ѳ��ҡ��� ����ͧ����ҡʧ����ͧ�ѧ��š
                    �Թ�����ҷ���Ӥѭ ���� �繼���þ�ó ����ͧ���ͺ���������´
                    �ա����Ф�ѧ��˹�ҷ��Դ��ͫ��͢�¡Ѻ��ҧ�����
          5. ����������ҡ�
                    ������������ҡ����㹻������ 4 �ѡɳ�
                               �ѧ�ͺ ���� �ѧ�ͺ ��� ����������Թ��Ҽ�ҹ���ͧ��駷ҧ����зҧ���
                               �ҡ� ���ռż�Ե������¡�纨ҡ��÷����ɮ÷ӡԹ㹷��Թ�������ҡ�ѵ�������Ҫ�ҹ���
                               ���� ��� ������¡����觢ͧ�ҧ���ҧ��᷹������������������
                               Ī� ��� �Թ��Ҹ�������������¡�纨ҡ��ɮ� ���������Ңͺ�ԡ���͡⩹�������
                    ����������ҡáѺ���͵�ҧ�ҵԷ����ҵԴ��ͤ�Ң�´��� �� 3 ���������
                              ����ԡ��ͧ ���� ���ջҡ���� ��� ���͹حҵ������͵�ҧ�ҵ�����ҫ��͢��
                              ���բ��͡
                              ���բ����
          6. �к��Թ��� ���Թ������� 3 ������ ��� �Թ����ǧ ���� ����Թ��СѺ

Contents

จังกอบ

17,525 views

จังกอบ (หรือ จกอบ)  คือ ภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าที่ผ่านด่านภาษี ด่านภาษีเรียกกันมาแต่เดิมว่า “ขนอน” ซึ่งเป็นที่สำหรับคอยดักเก็บจังกอบ ด่านขนอนมักจะตั้งอยู่ปากทางที่จะเข้าเมือง ถ้าเมืองตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ ใช้แม่น้ำลำคลองเป็นที่สัญจรไปมา ด่านขนอนมักตั้งอยู่ตรงทางน้ำร่วมกัน โดยเหตุที่จังกอบจัดเก็บจากสินค้าผ่านด่านนี้เอง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ภาษีผ่านด่าน”

จังกอบบางส่วนจัดเก็บจากสินค้าเข้าและสินค้าออก ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า ภาษีศุลกากร อันประกอบด้วยอากรขาเข้าและอากรขาออก การเก็บจังกอบนั้นอาจจัดเก็บในรูปสิ่งของ (tax in kind) ดังเช่นการเก็บชักส่วนสินค้าผ่านด่านตามพิกัดเก็บ 10 หยิบ 1 หรืออาจะเก็บเป็นตัวเงินตามขนาดของยานพาหนะที่ขนสินค้า เช่น ตามน้ำหนัก ความยาว หรือความกว้างของปากเรือ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จังกอบจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ภาษีปากเรือ”

ความเป็นมา

จังกอบ   เป็นภาษีที่เรียกเก็บชักส่วนจากสินค้าที่นำเข้ามาขายภายในประเทศ​หรือนำออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ หรือเก็บเป็นผลประโยชน์ตามขนาดยานพาหนะที่ขนสินค้า โดยเริ่มมีการจัดเก็บตั้งแต่ พ.ศ. 1976 (ค.ศ. 1433) โดยเก็บชักส่วนสินค้าคิดเป็นอัตรา 10 ชัก 1 (อัตรา 10%) ถ้าไม่ถึง 10 ห้ามไม่ให้เก็บ ต่อมามีการแก้ไขอัตราใหม่ คือ นอกจากจะเก็บเป็นสิ่งของ 10% แล้ว ยังได้มีวิธีเก็บภาษีจังกอบตามขนาดยาวของเรือ เก็บวาละ 1 บาท

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มีการเปลี่ยนแปลงอัตราเก็บ คือ เรือปากกว้างต่ำกว่า 6 ศอก เก็บลำละ 6 บาท ถ้าเรือปากกว้างกว่า 6 ศอกขึ้นไป เก็บวาละ 20 บาท อัตรานี้มีการแก้ไขอีกครั้งในปลายสมัยอยุธยาโดยกำหนดอัตราภาษีจังกอบใหม่ คือ คิดปากเรือวาละ 12 บาท สมัยรัตนโกสินทร์ยุคแรกๆ อัตราภาษีจังกอบไม่แน่นอน  

ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อไทยทำสัญญาเบอร์นีกับอังกฤษในปี พ.ศ. 2369 ตกลงให้ไทยเก็บค่าปากเรือคิดเป็นวาละ 1,700 บาท สำหรับเรือที่บรรทุกสินค้าเข้ามาจำหน่าย ถ้าเป็นเรือเปล่าบรรทุกแต่อับเฉพาเข้ามาซื้อสินค้าเก็บวาละ 1,500 บาท เมื่อเก็บค่าปากเรือแล้ว รัฐบาลไทยจะไม่เรียกเก็บภาษีอากรอย่างอื่นอีกจากสินค้าที่บรรทุกเข้ามาและออกไป

การเก็บค่าปากเรือเช่นนี้ได้เลิกไปเมื่อไทยทำสัญญาบาวริ่งในปี พ.ศ. 2398 โดยเปลี่ยนมาเก็บภาษีสินค้าเข้า 3% แทน พิกัดอัตรานี้ฝ่ายไทยได้พยายามขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรวม 11 ครั้ง นับตั้งแต่ พ.ศ. 2469 เป็นต้นมา จนในปี พ.ศ.​2474 จึงสามารถตรา พ.ร.บ. พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2478

ส่วนพิกัดอัตราภาษีขาออกในเวลานั้นเก็บเฉพาะภาษีข้าวขาออกเท่านั้น โดยเก็บในอัตราเกวียนละตำลึง หรือหาบละ 17.4 สตางค์สำหรับข้าวขาว ข้าวกล้องหาบละ 18.4 สตางค์ รำและปลายข้าวกล้องหาบละ 9.4 สตางค์ และข้าวเปลือกหาบละ 12.9 สตางค์ อัตรานี้เป็นอัตราดั้งเดิมและยังคงใช้อยู่ แม้ว่าจะได้ประกาศ พ.ร.บ. พิกัดศุลกากรแล้ว

นอกจากภาษีข้าวขาออกยังมีการเรียกเก็บภาษีสัตว์พาหนะที่บรรทุกออกไปขายต่างประเทศ ซึ่งตราไว้ใน พ.ร.บ. สัตว์พาหนะ ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434) ดังรายการดังนี้ โค ล่อ ลา ตัวละ 2 บาท กระบือตัวละ 3 บาท ม้าตัวละ 4 บาท ช้างตัวละ 30 บาท

การจัดเก็บภาษีจังกอบสมัยก่อนมีนายขนอนทำหน้าที่เป็นผู้จัดเก็บในเขตราชธานีนายขนอนขึ้นตรงต่อพระคลังสินค้า ในหัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นกับกรมหมาดไทย หัวมือฝ่ายใต้ขึ้นกับกรมพระกลาโหม วิธีการเช่นนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 3 คือ มีเจ้าภาษีผู้ประมูลรับผูกขาดจากเจ้าจำนวนภาษี (คือพระคลังสินค้า) แล้วตั้งโรงภาษีเก็บภาษีสินค้าที่จะผ่านไปมาแทนนายขนอน ดังนั้น ขนอนแต่เดิมจึงกลายเป็นโรงภาษี

หลังจากทำสัญญาทางไมตรีและการค้ากับนานาประเทศแล้วได้แยกการเก็บภาษี โดยแยกภาษีขาเข้าร้อยละ 3 ขึ้นกรมกลาโหม ภาษีข้าวขาออกขึ้นกรมท่า ส่วนภาษีเบ็ดเสร็จเป็นภาษีผูกขาดขึ้นต่อพระคลังสินค้าในปี พ.ศ. 2433 ได้มีการตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร.ศ. 109 ขึ้น พระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดให้ภาษีขาเข้าและภาษีเบ็ดเสร็จขึ้นกรมศุลกากร ซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงพระคลัง ส่วนภาษีขาออกยังคงขึ้นกับกรมท่า ต่อเมื่อ พ.ศ. 2435 จึงเปลี่ยนมารวมอยู่ในกรมศุลกากร

ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลเริ่มให้เลิกวิธีการผูกขาดโดยเปลี่ยนมาเป็นรัฐจัดเก็บภาษีอากรเอง ในระยะเริ่มแรกรัฐบาลมอบหน้าที่ให้กรมสรรพากรนอกเก็บภาษีภายในตามส่วนภูมิภาค สถานที่จัดเก็บได้เปลี่ยนไปจากโรงภาษีเป็นด่านภาษี วิธีการจัดเก็บใช้แบบอย่างของกรมศุลกากรกรุงเทพฯ จนกระทั่ง พ.ศ. 2461 กรมศุลกากรได้ตั้งด่านตรวจเป็นภาษีศุลกากรครั้งแรกขึ้นที่ปาดังเบซาร์ ต่อมาที่ทุ่งสงในปี พ.ศ. 2462 นอกจากนี้ ได้โอนด่านตรวจที่จังหวัดตรัง จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จากรมสรรพากรมาขึ้นกับกรมศุลกากรในปี พ.ศ. 2461 และ ปี พ.ศ. 2462 โอนด่านตรวจในมณฑลปักษ์ใต้ทั้งหมดและเมืองจันทบุรีจากรมสรรพากรมาขึ้นกับกรมศุลกากร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาภาษีขาเข้าและขาออกตกอยู่ในหน้าที่จัดเก็บของกรมศุลกากรแต่ลำพัง

 


อ้างอิง

  1. รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, ภาษีอากรในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย คลังข้อมูลและบทสำรวจสถานะทางวิชาการ, สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2527), หน้า 103-106

    กรุงศรีอยุธยาเก็บภาษีประเภทใด

    ตามหลักฐานดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่า ภาษีอากรในสมัยอยุธยานั้น ได้แก่ อากรค่านา อากรสวน อากรสมภักษร อากรค่าน้ำหมายถึงห้วยลหาร อากรตลาด อากรขนอน ส่วนหัวป่า สันนิษฐานว่า คงเป็นภาษีอากรของป่าที่อนุญาตให้เก็บของในป่า ส่วนค่าที่เชิงเรือน คงเป็น ภาษีอากรที่อยู่อาศัย สำหรับเตาอิดหรือเตาอิฐ และเตาบ่อหรือเตาหม้อนั้น สันนิษฐานว่าเป็น

    จังกอบ มีอะไรบ้าง

    จังกอบเรือ ค่าปากเรือ น. ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากเรือบรรทุกสินค้าขาเข้าโดยวัดขนาดกว้างตอนกลางเรือเป็นกำหนด, ภาษีปากเรือ หรือ จังกอบเรือ ก็เรียก. จกอบ (จะกอบ) น. ภาษีสินค้าผ่านด่าน, ภาษีปากเรือ, จังกอบ ก็เรียก.

    อากรขนอนเป็นการเก็บภาษีประเภทใด

    ในสมัยอยุธยา ปรากฏหลักฐานว่ารายได้ประเภทหนึ่งของรัฐบาลมาจากการเก็บ "จังกอบ" ซึ่งสมัยนี้เปลี่ยนมาเรียกว่า "อากรขนอน" หรือ "ภาษีผ่านด่าน" โดยเก็บจากผู้นำสินค้าผ่านด่านอันตั้งไว้ทั้งทางบกและทางน้ำ วิธีการเรียกเก็บคงใช้เหมือนสมัยสุโขทัย

    ภาษีปากเรือเป็นภาษีประเภทใด

    1) ภาษีเบิกร่องหรือภาษีปากเรือ คือ ภาษีที่เก็บจากเรือสินค้าต่างประเทศ โดยคิดจากขนาดความ กว้างของปากเรือหรือยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าเข้ามา สมัยรัชกาลที่1 คิดว่าละ 12 บาท ต่อมาเพิ่มเป็นวาละ 20 บาท สมัยรัชกาลที่2 คิดเป็นวาละ 80 บาท สมัยรัชกาลที่3 ถ้าเป็นเรือสินค้าที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าเข้ามาขายคิดว่า ละ 1,500 บาท ถ้าบรรทุก ...