รถยนต์นั้นเมื่อถูกใช้งานจะประกอบด้วยการทำงานของหลายๆส่วนร่วมกัน โดยหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์คงหนีไม่พ้นระบบของเหลวไม่ว่าจะเป็น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำยาหล่อเย็น น้ำมันพาวเวอร์ เป็นต้น โดยของเหลวเหล่านี้แน่นอนว่าต้องมีอายุการใช้งานที่ครบกำหนดแล้วต้องทำการเปลี่ยนใหม่ ว่าแต่ของเหลวในรถยนต์ ควรเปลี่ยนถ่ายตอนไหนบ้าง วันนี้พี่หมี TQM มีคำตอบมาฝากครับ Show
1. น้ำมันเครื่องน้ำมันเครื่องก็เปรียบเสมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ ถือเป็นของเหลวที่เปลี่ยนบ่อยมากที่สุด เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของรถได้ โดยนิยมเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อรถวิ่งถึงระยะ 8,000 – 10,000 ก.ม. หรือทุกๆ 6 เดือน แต่ทั้งนี้ระยะการเปลี่ยนขึ้นอยู่กับ ประเภทน้ำมันเครื่องที่ใช้ และการใช้งานงานของรถว่าใช้งานบ่อยแค่ไหน และขับขี่ไปได้กี่กิโลเมตร น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา 5,000 กิโลเมตร , น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ 7,500-8,000 กิโลเมตร และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 10,000-15,000 กิโลเมตร 2. น้ำมันเบรกน้ำมันเบรกก็ถือว่าเป็นของเหลวที่สำคัญ มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบเบรก โดยปกติแล้วน้ำมันเบรกควรเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 40,000 กิโลเมตร ส่วนมากแล้ว น้ำมันเบรกจะมีอายุได้ถึง 80,000 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 3 ปี การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกก็เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และป้องกันสนิม เพราะการเปลี่ยนน้ำมันเบรกจะช่วยไล่ความชื้นที่ผสมอยู่ในน้ำมันเบรกได้ 3. น้ำมันเกียร์น้ำมันเกียร์ มีทำหน้าที่หล่อลื่น ระบายความร้อน และลดแรงเสียดสี ป้องกันสนิมจากการกัดกร่อนระหว่างชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุกๆ 30,000 หรือ 40,000 กิโลเมตร หรือ 2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานรถของแต่ละคน
4. น้ำยาหล่อเย็นน้ำยาหล่อเย็น มีทำหน้าที่ช่วยรักษาระดับอุณหภูมิของเครื่องยนต์ไม่ให้ร้อนจนเกินไป และยังป้องกันการเกิดสนิมตะกรัน ตะกอน ต่างๆภายในหม้อน้ำ และทางเดินน้ำต่างๆ โดยควรล้างหรือเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 6-9 เดือน หรือ 50,000 กิโลเมตร ระยะการเปลี่ยนถ่ายนั้นขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น และน้ำยาที่ใช้ 5. น้ำมันพาวเวอร์น้ำมันพาวเวอร์ หรือน้ำมันพวงมาลัย โดยมากอาจมีให้เห็นในรถรุ่นเก่าๆที่เป็นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฮดรอลิค เป็นของเหลวที่ช่วยในการทำให้เราหมุนพวงมาลัยได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหากน้ำมันไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลให้บังคับเลี้ยวยากขึ้นเช่นกัน โดยเปลี่ยนถ่ายน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ทุก 80,000 กิโลเมตร 6. น้ำฉีดกระจกปิดท้ายกันที่น้ำฉีดกระจกที่มีหน้าที่ในการชะล้าง ทำความสะอาดคราบ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ที่เลอะบริเวณกระจกหน้ารถ เพื่อทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่รถ โดยคุณควรหมั่นตรวจเช็กอยู่เสมอสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้พร้อมต่อการใช้งานอยู่ตลอดเวลา โดยสามารถใช้ได้ทั้งน้ำเปล่า หรือน้ำที่ผสมน้ำยาล้างรถก็สามารถทำได้เช่นกัน
และนี่ก็เป็นระยะเวลาในการตรวจเช็ก เปลี่ยนถ่ายของเหลวต่างๆ ในเครื่องยนต์ หากของเหลวในรถของเพื่อนๆครบกำหนดแล้วละก็อย่าลืมที่จะทำการเปลี่ยนทันที เพื่อช่วยถนอมเครื่องยนต์ให้อยู่กับเราไปนานๆ ดูแลของเหลวในรถแล้ว อย่าลืมที่จะมองหา ประกันรถยนต์ ราคาดี คุ้มครองจัดเต็ม ที่TQM สามารถให้คุณ เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ ได้ด้วยตัวเอง เพื่อได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าตรงใจคุณ คลิกเลยที่นี่ หรือโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1737 ตลอด 24 ชั่วโมงครับ ค้นหาราคาประกันรถยนต์กรุณาเลือกประเภทประกันภัยรถยนต์ คุณเคยรู้ไหมว่าลักษณะของของคลัทช์ที่ใกล้หมดแล้วจะเป็นเช่นไร และมันจะมีอาการอะไรที่เราต้องน่ากังวลมั้ยนะ เรามาดูข้อสังเกตุแบบง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองกันครับ มีหลายลักษณะและอาการครับเราควรมั่นใจก่อนว่าครัชท์ที่เราซื้อมานั้นมีอายุการใช้งานมากี่ปีแล้ว จุดนี้ก็เป็นข้อสังเกตุได้ง่ายๆในระดับหนึ่งครับเรามาดูลักษณะอาการอื่นๆกันดีกว่า และกรณีหากเป็นเกียร์ธรรมดา ถ้าเข้าเกียร์ยากขึ้น เข้าเกียร์แล้วรถวิ่งไม่ออก มีแต่รอบเครื่องที่สูงผิดปรกติ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคลัทช์ใกล้หมดแล้วครับ แต่ถ้าเป็นสำหรับในเกียร์อัตโนมัติล่ะ เราจะรู็ได้อย่างไร เหียยบคันเร่งแล้วรถไม่ไป ในบางจังหวะนั้นโดยเฉพาะช่วงที่เครื่องเย็นหรือรถจอดทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง เมื่อเข้าเกียร์แล้วกดคันเร่งรถจะไม่ขยับเคลื่อนที่ต้องรอให้เครื่องร้อน หรือต้องขยับคันเกียร์ไปที่จังหวะเกียร์อื่น เป็นการกระตุ้นให้เกียร์ทำงาน เกียร์ไม่เปลี่ยนหรือเปลี่ยนช้ากว่าเดิม พอรอบเครื่องยนต์และความเร็วถึงจุดที่โปรแกรมการทำงานของเกียร์กำหนดเอาไว้ ซึ่งตามปกติเกียร์ควรจะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น เพื่อลดรอบเครื่องและเพิ่มความเร็ว แต่ถ้าหากคลัทช์เกียร์ลื่น บางทีเกียร์ก็จะไม่ยอมเปลี่ยนหรือบางทีจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อลากเกียร์กันยาว หรือเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเครื่องสูงกว่าปกติ อาการที่เกียร์เปลี่ยนที่รอบสูงกว่าปกตินอกจากจะเกิดขึ้นเพราะผ้าคลัทช์เกียร์แล้ว อาจจะมาจากน้ำมันเกียร์ขาดระดับหรือเสื่อมคุณภาพจากการไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เกียร์หาย ชหรือเกียร์ทำงานไม่ครบทุกเกียร์ อย่างพวกรถที่ใช้ระบบเดินหน้า 4 จังหวะ เกียร์จะค้างติดอยู่เกียร์ 3 ไม่ค่อยจะยอมเปลี่ยนเป็นเกียร์ 4 หรือหากจะเปลี่ยนเป็นเกียร์ 4 ก็ต้องลากรอบเครื่องยาว ต่างกับเกียร์อัตโนมัติที่สุขภาพปกติซึ่งจะเปลี่ยนเป็นเกียร์ 4 ทันทีเมื่อได้จังหวะ เกียร์มีอาการกระตุก และจะกระตุกอย่างแรงชนิดสามารถสัมผัสกันได้อย่างชัดเจน (อาจจะมองหน้ากันเลิ่กลั่กว่ารถเป็นอะไร) ตอนเปลี่ยนจังหวะเกียร์ โดยจะมีอาการตั้งแต่เกียร์แรกไปเลยก็ได้ นอกจากนี้ยังอาจมีเสียงดังตอนเปลี่ยนเกียร์ได้อีกด้วย แต่หากพบว่ากดคันเร่งแล้ว รอบเครื่องจะพุ่งปรี๊ดขึ้นไปเลยตามความแรงของเครื่องยนต์ในขณะที่ความเร็วของรถหรือเข็มวัดความเร็วจะขยับช้ามาก บางทีก็ไม่ขยับต่อไปอีกแม้จะกดคันเร่งให้รอบเครื่องสูงขึ้นอีก ซึ่งลักษณะนี้จะคล้ายกับรถเกียร์ธรรมดาที่มีอาการคลัทช์หมดหรือที่เรียกว่า คลัทช์ลื่น ไม่จับตัวกันนั่นเอง ตามที่น่าจะเป็นคือ ใช้น้ำมันเกียร์ตามสเป็คผู้ผลิตรถ ดูแลเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามกำหนดในคู่มือประจำรถ อย่าละเลย เพราะจะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ และจะมีการสึกหรอในชิ้นส่วนต่างๆตามมาอย่างแน่นอนครับ ติดตามข่าวสารของ คนรักรถ อื่นๆ ได้ที่นี่
น้ำมันคลัตช์ควรเปลี่ยนเมื่อใดส่วนใหญ่ผู้ใช้รถจะได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันคลัตช์พร้อมกับน้ำมันเบรก เนื่องจากมีระยะการใช้งานที่พอ ๆ กัน อยู่ที่ประมาณ 6-8 เดือน ซึ่งในน้ำมันคลัตช์จะมีส่วนผสมของน้ำเพิ่มขึ้นจากที่ถูกใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้ชิ้นส่วนภายในเป็นสนิมได้ จึงควรเปลี่ยนตามคำแนะนำของศูนย์บริการเพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ของรถเรา
ของเหลวรถยนต์ควรเปลี่ยนตอนไหนเปลี่ยนถ่ายของเหลวในรถยนต์ น้ำมันเครื่องสำคัญ
น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา เปลี่ยนถ่ายทุกๆ 5,000-8,000 กม. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ เปลี่ยนถ่ายทุกๆ 8,000-10,000 กม. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ เปลี่ยนถ่ายทุกๆ 10,000-15,000 กม.
น้ำมันเกียร์น้ำมันเฟืองท้ายควรเปลี่ยนตอนไหนควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเฟืองท้ายทุกๆ ระยะ 20,000 กิโลเมตร ถ้าไม่มีเปลี่ยนถ่าย จะทำให้เฟืองท้ายเกิดการสึกหรอไปเรื่อยๆ และอาจทำให้เกิดความเสียหายหนักได้
น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ควรเปลี่ยนตอนไหนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์จะสามารถเปลี่ยนได้ในทุกๆ 20,000, 40,000 หรือ 80,000 กิโลเมตร ตามรุ่นและประเภทของรถยนต์ หรือ อาจเลือกเปลี่ยนถ่ายตามรอบที่กำหนดในคู่มือประจำรถยนต์ ซึ่งนอกจากจำนวนระยะกิโลเมตรที่บ่งบอกรอบการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์แล้ว เจ้าของรถยนต์ยังสามารถสังเกตได้จากลักษณะของน้ำมันพวงมาลัย ...
|