อีกหนึ่งสาเหตุ ที่ทำให้ข้าวไทยส่งออกลดลงคือ “การพัฒนาพันธุ์ข้าวของคู่แข่ง” ที่แต่เดิมปลูกแต่ข้าวพื้นแข็ง ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากนัก ที่ผ่านมา ข้าวไทยแม้จะมีราคาแพงกว่า แต่ด้วยคุณภาพของข้าวเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ทำให้ข้าวไทยกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนาน แต่ในระยะหลัง หลายประเทศเริ่มมีการพัฒนาพันธุ์ข้าวและปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดมากขึ้น อย่างเช่นประเทศเวียดนามในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวนุ่ม ที่มีคุณภาพและเป็นที่นิยมของประเทศในทวีปเอเชีย จนสามารถแย่งตลาดฟิลิปปินส์ไปจากประเทศไทยได้ แม้แต่พันธ์ุข้าวหอม ซึ่งข้าวหอมมะลิไทยถือว่าเป็นเกรดพรีเมียม หรือแม้แต่ประเทศจีนเอง ที่เคยนำเข้าข้าวจากประเทศไทยมากถึง 1.2 ล้านตัน ในปี 2560 โดยประเทศจีนบริโภคข้าว เป็นอาหารหลักไม่ต่างจากประเทศไทย รัฐบาลจีนจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของแหล่งอาหารหลักของประเทศ จึงได้มีการพัฒนาและปรับปรุงการผลิตข้าวของเกษตรกรภายในประเทศ จนสามารถลดการพึ่งพาข้าวจากต่างประเทศได้ รวมถึงมีการคาดการณ์กันว่าประเทศจีนกำลังจะกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อีกหนึ่งรายในอนาคต นอกจากนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศคู่แข่ง ก็ทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น รู้หรือไม่ว่า ต้นทุนในการปลูกข้าว 100 บาท ตรงนี้ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าประเทศไทยกลับต้องนำเข้าปุ๋ยมากกว่า 90% จึงทำให้เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะควบคุมหรือลดราคาปุ๋ยลง คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วทำไมเราถึงไม่ปรับปรุงกระบวนการผลิต เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า เครื่องจักรที่มีคุณภาพและทันสมัยจะมาพร้อมกับต้นทุนที่แพงเสมอ แต่ปัญหาหลักของเกษตรกรไทยคือ การเป็นเจ้าของที่ดินเพียงไม่กี่ไร่ และเกินกว่า 70% ต้องอาศัยการเช่าที่ดิน หรือไม่ก็ทำนาในที่ดินที่ติดจำนอง เมื่อครอบครองที่ดินในการเพาะปลูกน้อย เกษตรกรจำนวนมาก ต้องพึ่งพาการเช่าเครื่องจักร อย่างเช่นรถไถ หรือรถเกี่ยวข้าว อีกทั้ง ชาวนาจำนวนมากยังต้องจ่ายค่าเช่าที่ดิน หรือชดใช้หนี้สินที่มีอยู่แต่เดิม นอกจากนี้เกษตรกรที่ปลูกข้าว ยังถูกซ้ำเติมด้วยโครงสร้างอุปทานของข้าวไทย หากเรามาดูกำไรของแต่ละกลุ่มธุรกิจข้าวในห่วงโซ่อุปทาน ปี 2560 เราจะเห็นได้ว่ากำไรสุทธิของชาวนา อยู่ในระดับที่ต่ำมาก และมีจุดเริ่มต้นของการกำหนดราคาข้าวอยู่ที่ผู้ส่งออก ท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาดังกล่าวก็ได้ถูกผลักไปยังชาวนา และแม้ว่าภาครัฐจะเข้ามาช่วยอุดหนุนรับภาระเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่าการนำเงินไปอุ้มราคาข้าว ก็คือการเพิ่มมูลค่าของข้าวไทยให้สูงขึ้น ตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่น จะมีการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น สาเก ที่ไม่ว่าใครก็ผลิตได้ หรือข้าวสำหรับทำซูชิที่มีการส่งออกไปทั่วโลก ซึ่งนับเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ข้าวของญี่ปุ่นที่บางชนิดมีราคาขายต่อน้ำหนักที่สูงขึ้น หรือการลดต้นทุนการผลิต ทั้งจากการลดราคาต้นทุนโดยตรง อย่างเช่นค่าปุ๋ย แต่เมื่อดูจากความลำบากที่เกิดขึ้นกับเกษตรกร ก็เป็นเรื่องที่น่าชวนคิดไม่น้อยว่า มันคุ้มค่าแค่ไหน หรือแท้ที่จริงแล้ว และเปลี่ยนแนวคิดต่ออุตสาหกรรมข้าวไทย ให้มีเป้าหมายเพื่อความมั่นคงทางอาหาร หรือการต่อยอดไปยังสินค้าอื่น |