เผลอไปแค่อึดใจเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงครึ่งปีแล้ว และคงอีกแค่อึดใจเดียวก็คงจะสิ้นปีไปตามระเบียบ แน่นอนว่าพูดถึงปลายปี เรื่องที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ไม่เคยพลาดนั่นคือการวางแผนประหยัดภาษี ไลน์กลุ่มในห้องสารพัดเพื่อนก็จะเริ่มดังว่าซื้อกองทุนรวม LTF หรือ RMF ไหนดี สำหรับมือโปรก็คงจะเริ่มเลือกกองทุนได้เลย แต่สำหรับมือใหม่หลายคนอาจจะงงตั้งแต่คำถามว่าตัวเองนั้นเหมาะกับ LTF หรือ RMF มากกว่ากัน วันนี้ลงทุนศาสตร์จึงมีหลักคิดง่ายๆ เพื่อตัดสินใจว่าตัวเราเองเหมาะกับ LTF หรือ RMF ว่าแต่ LTF กับ RMF คืออะไร?LTF (Long Term Equity Fund) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว คือกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกรมสรรพากร เมื่อลงทุนระยะยาวจนครบระยะเวลากำหนดซึ่งปัจจุบันอยู่ในกรอบระยะเวลา 7 ปีปฏิทิน ในขณะที่ RMF (Retirement Mutual Fund) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ คือกองทุนรวมเพื่อการลงทุนระยะยาวไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ โดยผู้ที่ลงทุนตามเงื่อนไขที่กำหนดก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีคล้ายคลึงกับ LTF แต่ RMF จะมีกรอบระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานกว่า คือจะถอนเงินลงทุนได้เมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีและถือหน่วยการลงทุนมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี นอกจากนี้ยังต้องทยอยลงทุนทุกปีโดยหยุดลงทุนได้ไม่เกินปีเว้นปี
แล้วคนอย่างเราเหมาะกับ LTF หรือ RMF กันแน่?
จากข้อมูลกรมสรรพากรสำหรับการเสียภาษีเงินได้ปี 2560 (ยื่นแบบภาษีปี 2561) ผู้ที่มีเงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาทจะเสียภาษีที่อัตรา 0% (เท่ากับไม่เสียภาษี) ในกรณีที่เป็นผู้ได้รับเงินเดือนจะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท (เงินได้ประเภทอื่นขึ้นกับกฎหมายประกาศ) และได้รับค่าลดหย่อนอีกคนละ 60,000 บาท สรุปได้ว่ามนุษย์เงินเดือนจะเริ่มเสียภาษีเมื่อมีเงินได้ตั้งแต่ 310,000 บาทต่อปีขึ้นไป หรือเทียบเท่าประมาณ 25,833 บาทต่อเดือน หากรายได้ไม่ถึง 310,000 บาทต่อปี เราก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องซื้อ LTF และ RMF เนื่องจากเราจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่หากเราลงทุนผิดไปจากเงื่อนไข เช่น ขายหน่วยลงทุนก่อนระยะเวลาเงื่อนไข เราจะต้องเสียค่าปรับให้กรมสรรพากรอีกด้วย ดังนั้น หากต้องการลงทุน เราก็ควรจะซื้อกองทุนรวมที่ไม่มีเงื่อนไขทางภาษีแทน เพื่อความยืดหยุ่นในการลงทุน และไม่ต้องมากังวลปัญหาเรื่องภาษีในภายหลัง
หากเราสนใจลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก เราจะสามารถเลือกลงทุนได้ทั้ง LTF และ RMF แต่ถ้าเราสนใจลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ ตราสารหนี้ หุ้นต่างประเทศ เราจำเป็นต้องลงทุนใน RMF แทน เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ LTF ลงทุนในหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% ของทรัพย์สินกองทุนรวม ทำให้นโยบายการลงทุนของ LTF มุ่งไปที่หุ้นไทยเพียงอย่างเดียว ดังนั้นหากเราสนใจลงทุนในสินทรัพย์อื่นเป็นหลักนอกจากหุ้นไทย RMF จึงเป็นทางเลือกในการลงทุนของเรา
อย่างที่เล่าว่า LTF จะลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก ทำให้ในภาพรวม LTF มีความผันผวนสูงกว่า RMF ตามธรรมชาติของสินทรัพย์ เนื่องจากหากเราเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย เราอาจเลือกลงทุนในตราสารหนี้ ตลาดเงิน หรืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะต้องลงทุนผ่าน RMF เป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม LTF ก็ถูกบังคับให้ต้องถือยาวไม่ต่ำกว่า 7 ปีปฏิทิน ดังนั้น ปัญหาเรื่องความผันผวนของสินทรัพย์อาจจะต่ำลง เพราะโดยธรรมชาติ การลงทุนระยะยาวมักจะมีความผันผวนต่ำกว่าระยะสั้นเสมอ
หากเราสามารถลงทุนได้ในระยะยาวมาก คือถือหน่วยลงทุนได้จนถึงอายุ 55 ปีและไม่ต่ำกว่า 5 ปี RMF จะเหมาะสมกับเรามากกว่า เพราะมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย รวมไปถึงการบังคับลงทุนระยะยาวจะสร้างวินัยทางการเงินได้ดีกว่าอีกด้วย แต่ถ้าหากเราไม่สามารถถือลงทุนได้ยาวนานขนาดนั้น เช่น ใน 10 ปีข้างหน้ามีแผนจะใช้เงินก้อนซื้อบ้าน ระยะเวลา 7 ปีของ LTF ดูจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากไม่ได้บังคับให้ถือยาวจนอายุ 55 ปี
เนื่องจาก RMF มีกติกาให้ลงทุนอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีเว้นปี ดังนั้น หากเรามีเงินลงทุนไม่สม่ำเสมอ เช่น อนาคตมีโอกาสจะลาออกจากงาน หรือมีแผนจะไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี การซื้อหน่วยลงทุนต่อเนื่องอาจเป็นเรื่องลำบาก การซื้อ LTF ครั้งเดียวแล้วถือ 7 ปีจึงอาจจะเป็นคำตอบที่ดีมากกว่า นอกจากนี้ LTF ยังมีข้อดีว่าหากเราไม่มีเงินก้อนใหม่เข้ามามากพอ เราก็สามารถขาย LTF เก่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาแล้วเพื่อซื้อ LTF ก้อนใหม่ ซึ่งก็จะให้ประโยชน์ทางภาษีเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดลงทุนของ RMF ก็ไม่ได้ถือว่าสูงจนน่ากังวล เนื่องจากกำหนดไว้ว่าต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ ในแต่ละปีหรือ 5,000 บาท แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า ถ้าเทียบจากฐานเงินเดือนแล้ว เราก็น่าจะหามาลงทุนให้ไม่ผิดข้อกำหนดได้ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน กองทุนรวมก็เหมือนเสื้อผ้ารู้ไหม? ถึงรูปทรงสีสันจะถูกใจแค่ไหน แต่ถ้าขนาดไม่ใช่ ใส่ไปมันก็ไม่สบายตัว หลักคิดทั้ง 5 ข้อนี้คือหลักการเบื้องต้นในการเลือก LTF และ RMF ที่ลงทุนศาสตร์แนะนำให้คนรอบตัวใช้เป็นประจำ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มักมองข้ามขั้น โดยหันไปเลือกเลยว่าตนเหมาะกับกองทุนรวมกองไหน จนบางครั้งก็ลืมถามตัวเองไปว่าเราเหมาะกับ LTF หรือ RMF มากกว่ากัน |