พอลิเมอร์ (Polymer) พอลิเมอร์ (Polymer) ถ้าเรามองไปรอบๆ ตัวจะพบว่าสิ่งของต่างๆ ประดิษฐ์หรือทำขึ้นด้วยพอลิเมอร์ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติก ไม้บรรทัด ยางรถยนต์ กระเบื้องยางเป็นต้น
คำว่าพอลิเมอร์มาจากภาษากรีกสองคำคือ poly แปลว่าหลายๆ หรือ มาก และ mer แปลว่าหน่วยหรือส่วน ดังนั้นพอลิเมอร์แปลว่าสารที่มีโมเลกุลยาวมาก และโมเลกุลเหล่านี้ประกอบด้วยหน่วยที่ซ้ำๆ กันเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างพอลิเมอร์ได้แก่ พอลิเอทีลีน พอลิสไตรีน เป็นต้น และพอลิเมอร์เกิดจากหน่วยซ้ำๆ เรียกว่ามอนอเมอร์ เกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน เป็นพอลิเมอร์เกิดขึ้น โครงสร้างของพอลิเมอร์ที่ได้กับสารตั้งต้น ดังนี้ ตัวอย่างเช่น เอทิลีนไกลคอล เกิดปฏิกิริยากับ ไดเมทิลเทเลฟทาเลต เกิดเป็น พอลิเอสเตอร์ 2) พอลิเมอร์แบบเติม (Addition polymer)เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากปฏิกิริยารวมตัว การเกิดพอลิเมอร์ชนิดนี้เกิดจากมอนอเมอร์ที่ไม่อิ่มตัวเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซชันแล้วไม่มีโมเลกุลเล็กๆ ขาดหายไป ตัวอย่างเช่น พอลิเอทิลีน(polyethalene) หากจำแนกพอลิเมอร์จากหน่วยซ้ำาๆ กันในโซ่พอลิเมอร์อาจจำแนกพอลิเมอร์ออกเป็น 2
ประเภทคือ โฮโมพอลิเมอร์ (homopolymer) และโคพอลิเมอร์ (copolymer) ดังนี้
หรือพอลิสไตรีนมีสไตรีนเป็นหน่วยที่ซ้ำๆ กัน
จะเห็นได้ว่าพอลิเมอร์แบบเติมที่ได้จากมอนอเมอร์เพียงชนิดเดียวล้วนแต่เป็นโฮโมพอลิเมอร์ทั้งสิ้น
ประเภทของพอลิเมอร์ 1. แบ่งตามการเกิดเป็นเกณฑ์ เป็น 2 ชนิด คือ 1 . พอลิเมอร์ธรรมชาติ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น โปรตีน แป้ง เซลลูโลส ไกโคเจน กรดนิวคลีอิก และยางธรรมชาติ (พอลีไอโซปรีน) 2. แบ่งตามชนิดของมอนอเมอร์ที่เป็นองค์ประกอบ เป็น 2 ชนิด คือ 1 . โฮมอลิเมอร์ (Homopolymer) เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน เช่น แป้ง(ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกลูโคสทั้งหมด) พอลิเอทิลีน PVC (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นเอทิลีนทั้งหมด) 2 . โคพอลิเมอร์ หรือ เฮเทอโรพอลิเมอร์ (Heteropolymer) โคพอลิเมอร์ เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ต่างชนิดกัน เช่น โปรตีน (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกรดอะมิโนต่างชนิดกัน) พอลิเอสเทอร์ พอลิเอไมด์ เป็นต้น โคพอลิเมอร์มีการเรียงตัวของมอนอเมอร์ได้หลายชนิด ดังนี้ · แบบเรียงสลับกัน (alternating copolymer) [A-B-A-B-A-B-A-B-A] n · แบบเรียงสุ่ม (random copolymer) [A-B-A-B-B-B-A-A-B] n · แบบเรียงบล็อก (block copolymer) [A-A-A-B-B-B-A-A-A] n โครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์ 1.พอลิเมอร์แบบเส้น (Chain length polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์สร้างพันธะต่อกันเป็นสายยาว โซ่พอลิเมอร์เรียงชิดกันมากว่าโครงสร้างแบบอื่น ๆ จึงมีความหนาแน่น และจุดหลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็ง ขุ่นเหนียวกว่าโครงสร้างอื่นๆ ตัวอย่าง PVC พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีน
ดังภาพ 2. พอลิเมอร์แบบกิ่ง (Branched polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ยึดกันแตกกิ่งก้านสาขา มีทั้งโซ่สั้นและโซ่ยาว กิ่งที่แตกจาก พอลิเมอร์ของโซ่หลัก ทำให้ไม่สามารถจัดเรียงโซ่พอลิเมอร์ให้ชิดกันได้มาก จึงมีความหนาแน่นและจุดหลอมเหลวต่ำยืดหยุ่นได้ ความเหนียวต่ำ โครงสร้างเปลี่ยนรูปได้ง่ายเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ตัวอย่าง พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ ดังภาพ 3. พอลิเมอร์แบบร่างแห (Croos -linking polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ต่อเชื่อมกันเป็นร่างแห พอลิเมอร์ชนิดนี้มีความแข็งแกร่ง และเปราะหักง่าย ตัวอย่างเบกาไลต์ เมลามีนใช้ทำถ้วยชาม ดังภาพ ปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซชันแบบเติม (Addition polymerization reaction) 1. ปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซชันแบบควบแน่น (Condensation polymerization reaction) คือปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซชันที่เกิดจากมอนอเมอร์ที่มีหมู่ฟังก์ชันมากกว่า 1 หมุ่ ทำปฏิกิริยากันเป็นพอลิเมอร์และสารโมเลกุลเล็ก เช่น น้ำ ก๊าซแอมโมเนีย ก๊าซไฮโดรเจนคลอไรด์ เมทานอล เกิดขึ้นด้วย ดังภาพ 2.ปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซชันแบบเติม (Addition polymerization reaction) คือปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซชันที่เกิดจากมอนอเมอร์ของสารอินทรีย์ชนิดเดียวกันที่มี C กับ C จับกันด้วยพันธะคู่มารวมตัวกันเกิดสารพอลิเมอร์เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ดังภาพ
ผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ 1.พลาสติก : แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1) เทอร์มอพลาสติก เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว สามารถเปลี่ยนรูปได้ พลาสติกประเภทนี้โครงสร้างโมเลกุลเป็นโซ่ตรงยาว มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่พอลิเมอร์น้อยมาก จึงสามารถหลอมเหลว หรือเมื่อผ่านการอัดแรงมากจะไม่ทำลายโครงสร้างเดิม ตัวอย่าง พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีนพอลิสไตรีน 2) พลาสติกเทอร์มอเซต จะคงรูปหลังการผ่านความร้อนหรือแรงดันเพียงครั้งเดียว เมื่อเย็นลงจะแข็งมาก ทนความร้อนและความดัน ไม่อ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างไม่ได้ แต่ถ้าอุณหภูมิสูงก็จะแตกและไหม้เป็นขี้เถ้าสีดำ พลาสติกประเภทนี้โมเลกุลจะเชื่อมโยงกันเป็นร่างแหจับกันแน่น แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลแข็งแรงมาก จึงไม่สามารถนำมาหลอมเหลวได้ ตัวอย่าง เมลามีน พอลิยูรีเทน 2. เส้นใย มีสมบัติตรงข้ามกับยาง เส้นใยที่ดีจะต้องไม่แปรรูปง่าย หรือสามารถต่อต้านการ แปรรูป เมื่อได้รับแรงเค้น พอลิเมอร์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ทั้งในธรรมชาติและจากการสังเคราะห์ แบ่งออกเป็น 3 ชนิดได้แก่ 1)เส้นใยธรรมชาติ แบ่งเป็น 3 ชนิดได้แก่ · เส้นใยเซลลูโลส : พบจากส่วนต่างๆของพืช เช่น ฝ้าย ลินิน ป่าน ปอ · เส้นใยโปรตีน : พบจากขนสัตว์ต่างๆ เช่น ขนแกะ ขนแพะ · เส้นใยหิน : พบในหินประเภทต่างๆ ใช้ในงานก่อสร้าง 2)เส้นใยกึ่งสังเคราะห์: มาจากการทำปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันของเส้นใยธรรมชาติกับสารเคมี เช่น เซลลูโลสกับกรดอะซีติกเข้มข้น โดยมีกรดซันฟูริกเข้มข้นเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ได้เซลลูโลสอะซีเตด 3)เส้นใยสังเคราะห์: มากจากการสังเคราะห์ 100% เช่น อะคริลิก โพลีเอสเทอร์ ไนลอน โพลีเอไมด์ เป็นต้น เส้นใยชนิดนี้จะมีการจัดเรียงตัวอนุภาคเป็นระเบียบกว่าเส้นใยธรรมชาติ มีการผลิตเพื่อให้เหมาะกับงานหลายประเภท 3. ยาง: คือ พอลิเมอร์ที่มีมวลโมเลกุลสูงมาก มีความยืดหยุ่นสูงกว่าพลาสติก เนื่องจากมีพันธะคุ่ในหน่วยย่อยทำให้เกิดไอโซเมอร์แบบ cis ทำหน้าที่คล้ายสปริง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.)ยางธรรมชาติ อยุ่ในรูปคอลลอยด์ มีสีขาวคล้ายนมเรียกว่า น้ำยางสดหรือลาเท็กซ์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากต้นยางพารานำน้ำยางมาผ่านการขจัดสิ่งปนเปื้อน โดยเติม NH3 เพื่อป้องกันการบูด แล้วแยกเนื้อยางออกจากน้ำยางด้วย CH3COOH เนื้อยางที่ได้เรียกว่า “ยางดิบ” ยางพารา (cis-polyisoprene) ต่อมามีการปรับปรุงคุณภาพด้วยวิธี “วัลคาในเซชัน” โดยนำยางมาทำปฏิกิริยากับกำมะถันที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดหลอมเหลวของกำมะถัน เกิดเป็นสะพานซัลไฟด์เชื่อมระหว่างสายโซโพลีโอโซพรีน ยางจึงมีความยืดหยุ่นแม้อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลง ไม่สึกกร่อนง่าย และไม่ละลายในตัวทำละลายอินทรรย์ 2.)ยางสังเคราะห์ เกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับจากการกลั่นปิโตรเรียม เช่น โพลีบิวทาไดอีน ยางเอสบีอาร์ เป็นต้น ปัจจุบันใช้ยางสังเคราะห์น้อยลงเพราะราคาวัตถุดิบแพง ยางสังเคราะห์ |