๒.จังหวะฉิ่ง ใช้พื้นฐานเดียวกับจังหวะสามัญ เป็นการแบ่งจังหวะด้วยฉิ่ง โดยปกติจะตีสลับกัน เป็น ฉิ่ง - ฉับ แต่ใช้เสียงฉิ่งกำหนดเสียงแทนการเคาะหรือตบมือ เพื่อให้ทราบว่ากำลังบรรเลงในอัตราจังหวะ สามชั้น สองชั้น หรือชั้นเดียว ๓.จังหวะหน้าทับ หมายถึงการตีกลองควบคุมจังหวะ วิธีการกำกับจังหวะหน้าทับคือ เราใช้จำนวนห้องโน้ตหรือ จำนวนบรรทัดของโน้ตหน้าทับ เป็นเกณฑ์ในการกำกับและนับจังหวะทำนองเพลง จังหวะฉิ่ง ๑.จังหวะสามชั้น ( จังหวะช้า) ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ฉับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ฉับ ๒.จังหวะสองชั้น (จังหวะปานกลาง) ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ฉับ ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ฉับ ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ฉับ ๑ ๒ ๓ ฉิ่ง ๑ ๒ ๓ ฉับ ๓.จังหวะชั้นเดียว (จังหวะเร็ว) ๑ฉิ่ง๓ฉับ ๑ฉิ่ง๓ฉับ ๑ฉิ่ง๓ฉับ ๑ฉิ่ง๓ฉับ ๑ฉิ่ง๓ฉับ ๑ฉิ่ง๓ฉับ ๑ฉิ่ง๓ฉับ ๑ฉิ่ง๓ฉับ จังหวะหน้าทับ (กลองแขก – โทนรำมะนา) ที่นักเรียนใช้กำกับจังหวะบทเพลงต่างๆ ในหลักสูตรวิชาดนตรีไทย โรงเรียนอำนวยศิลป์ - ติง – โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติงทั่ง - ติง - ทัง สองไม้ไทย (ทยอย สองชั้น) - - โจ๊ะจ๊ะ ติงติง - ติง - - โจ๊ะจ๊ะ ติงติง - ทั่ง หน้าทับสำเนียงฝรั่ง - ติงติงติง - ติง -ทั่ง - ติง -ทั่ง - ติง -ทั่ง ปรบไก่สองชั้น -ทั่ง - ติง -โจ๊ะ-จ๊ะ -โจ๊ะ-จ๊ะ -โจ๊ะ-จ๊ะ -ติง–ทั่ง -ติง-ติง -ทั่ง-ติง -ติง-ทั่ง ตัวอย่างการกำกับจังหวะฉิ่งสองชั้นและกำกับจังหวะหน้าทับปรบไก่ ในเพลงแขก บรเทศ สองชั้น ท่อนที่ ๑ จังหวะฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ กลอง -ทั่ง-ติง - โจ๊ะ-จ๊ะ - โจ๊ะ-จ๊ะ - โจ๊ะ-จ๊ะ -ติง–ทั่ง -ติง-ติง -ทั่ง-ติง -ติง-ทั่ง ทำนอง - - - ซ - ล ล ล - - - ด - ล ล ล - ซ ซ ซ - ล - ซ - - - ม - ม ม ม ทำนอง - ล ซ ม - ร - ด - - ม ร ด ร - ม - ซ - ล - ซ - ม - - - ร - - - ด ท่อนที่ ๒ จังหวะฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ กลอง -ทั่ง-ติง - โจ๊ะ-จ๊ะ - โจ๊ะ-จ๊ะ - โจ๊ะ-จ๊ะ -ติง–ทั่ง -ติง-ติง -ทั่ง-ติง -ติง-ทั่ง ทำนอง - ด ร ม ซ ม ร ด - - - ซ - - - ล - - ด ล ซม ซ ล - - - ด - - - ร ทำนอง - ล ซ ม - ร - ด - - ม ร ด ร - ม - ซ - ล - ซ - ม - - - ร - - - ด * ต่ำแน่งการบรรเลงของทุกเครื่องมือจะต้องเท่ากันทุกครั้ง เหมือนตารางโน้ตที่กำหนด จึงจะถือว่าการบรรเลงของวงดนตรีสมบูรณ์ในเรื่องการกำกับจังหวะ ซึ่งความสั้นยาวของเพลงดังกล่าว เมื่อบรรเลงต่อเนื่อง จึงมีผลให้การบรรเลงเกิดความช้าเร็วไปตามสัดส่วนนี้ด้วย นั่นคือเพลงที่มีจังหวะ 3 ชั้นจะบรรเลงช้า เพลงที่มีจังหวะ 2 ชั้นจะบรรเลง ปานกลาง และจังหวะชั้นเดียวจะบรรเลงเร็วแต่จริงๆ แล้ว การที่จะรู้ว่าเพลงใดเป็นเพลงบรรเลงในจังหวะใด สามารถสังเกตได้จากเสียง “ฉิ่ง” และ “กลอง” ซึ่งเรียกว่า จังหวะ “หน้าทับ” ที่ปรากฏในแต่ละห้องเพลงเป็นสำคัญ เพลงไทยจะมีการแบ่งห้องเพลงออกเป็นเลขคู่ (ตามคติทางพุทธศาสนา) ใน 1 ชุดหรือ1แถว จะมี 8 ห้อง,หรือ 4 ห้อง โดยแต่ละห้องจะมี 4 จังหวะ แต่ละจังหวะคือ 1 ตัวโน็ต ดังนั้น เสียงฉิ่งที่จะปรากฏในเพลงแต่ละอัตราจังหวะ ก็จะแสดงได้ดังนี้
ทำนอง เพลงไทยทุกเพลงจะใช้ทำนองหนึ่งเป็นทำนองหลักในการบรรเลง ( ทางฝรั่งเรียกว่า Theme หรือ Basic melody) ซึ่งจะบรรเลงโดยเครื่องดนตรีบางชิ้นสำหรับให้เป็นหัวใจหลักของวงเท่านั้น ไม่ได้บรรเลงโดย เครื่องดนตรีทุกชิ้น เช่นถ้าเป็นวงปี่พาทย์ ผู้ที่บรรเลงทำนองหลักนี้ก็คือ “ฆ้องวงใหญ่” ส่วนเครื่องดนตรีชิ้นอื่นจะบรรเลงทำนองหลักดังกล่าว โดยการแปรให้เป็นแนวเสียงและวิธีบรรเลงที่เหมาะกับบุคคลิกของตนเองประสานกันไป ซึ่งเรียกแนวการแปรนี้ว่า “ทาง” เช่น “ทางใน” – จะหมายถึงทำนองเพลงที่บรรเลงโดยแปรให้เป็นไปตามลักษณะเสียงของปี่ใน เป็นต้น สิ่งที่กำกับให้การแปรทำนองของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นเหล่านี้เป็นไปในรอยเดียวกันก็คือ เครื่องประกอบจังหวะ อันได้แก่ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง นั่นเอง มาตราเสียง หมายถึงระดับความสูงต่ำของเสียง ดนตรีไทยมีอยู่ 7 ขั้นหรือ 7 เสียง เทียบได้กับเสียงดนตรีสากล (โด เร มี ฟา ซอล ลา ที) แต่มีข้อแตกต่างคือ แต่ละขั้นเสียงในดนตรีไทยมีความห่างของเสียงเท่ากันตลอดทั้ง 7 ขั้น ซึ่งต่างจากดนตรีสากลที่มีความห่างบางขั้นแค่ครึ่งเสียง (เช่น จากเสียง -มี ไป ซอล-) ทำให้เสียงจากเครื่องดนตรีไทยเดิม ไม่สามารถเล่นควบคู่กับเครื่องดนตรีสากลได้ ภายหลังจึงได้มีการพัฒนาปรับแต่งเครื่องดนตรีบางชิ้น ให้มีระยะห่างของเสียงเท่ากับเครื่องดนตรีสากลเพื่อให้สามารถเล่นพร้อมกันได้ เช่น ขลุ่ยเสียง C, ขลุ่ยเสียง Bb เป็นต้น การประสานเสียง ในดนตรีไทยจะมีการประสานเสียง 2 อย่าง คือ การประสานเสียงภายใน – ซึ่งเกิดจากการสร้างเสียงไม่น้อยกว่า 2 เสียงพร้อมกันภายในของเครื่องดนตรีบางชนิด เช่น ระนาด , ฆ้องวง, ซอสามสาย, ขิม.. ซึ่งมักใช้เสียงประสานที่เรียกว่า “ขั้นคู่เสียง” (interval) เป็นคู่แปด (เช่น โด ต่ำกับ โด สูง) หรือคู่ห้า (เช่น โด กับ ซอล) แต่จะไม่ใช้คู่เจ็ด หรือคู่เก้า และการประสานเสียงภายนอก – อันเกิดจากเสียงเครื่องดนตรีต่างชนิด ซึ่งมีทางเสียงต่างกัน แต่บรรเลง (แปร)ในทำนองเดียวกัน ประสานกันไป นอกจากนี้ยังมีเสียงจากเครื่องให้จังหวะต่างๆ (ฉิ่ง , กลอง..) อีกด้วย |