แม้การเข้าพรรษา จะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญรักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษา ชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิ วิหาร และอื่น ๆ พอถึงวันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่าง ๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ ฯลฯ นอกจากนี้ บิดา มารดา มักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลานของตน โดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษา ในระหว่างนี้จะได้รับอานิสงส์อย่างสูง Show “เข้าพรรษา” มีความหมายว่า “พักฝน” พรรษา เพี้ยนมาจากคำในภาษาบาลีว่า “วสฺสา” (วัสสา) ซึ่งแปลว่า “ฝน” หรือในพระไตรปิฎกเรียกว่า “วัสสูปนายิกา” พอถึงวันเข้าพรรษา ตามพระวินัยระบุว่า พระภิกษุต้องจำพรรษา ไม่ออกจาริกไปตามที่ต่าง ๆ ตลอดช่วงฤดูฝน ชาวพุทธส่วนใหญ่มักสงสัยว่า ทำไมพระต้องเข้าพรรษา ท่านเข้าพรรษาเพื่ออะไร เพราะอะไร วันนี้ซีเคร็ตจึงขออาสาหาคำตอบเรื่องนี้มาให้เพื่อไขความกระจ่างแก่ชาวซีเคร็ตทุกท่าน และเกร็ดน่ารู้ที่ชาวพุทธไม่ควรพลาดค่ะ
เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้พระภิกษุเข้าพรรษาครั้งสมัยพุทธกาล เหล่าภิกษุต่างเที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทุกฤดูกาล ไม่หยุดแม้กระทั่งฤดูฝน จึงทำให้ชนทั้งหลายต่างติเตียนพุทธบุตรว่า “เป็นถึงพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ทำไมเที่ยวจาริกไปในที่ต่าง ๆ ตลอดฤดูกาลเช่นนี้ ต้องเหยียบย่ำติณชาติ (หญ้า) ที่เขียวสด เบียดเบียนสัตว์ต่าง ๆ เช่น สัตว์ที่มีอินทรีย์เดียว สัตว์ที่มีหลายชีวะ และสัตว์เล็ก ๆ ให้ตาย พวกปริพาชก (นักบวชในศาสนาเชน) ยังพักจาริกตลอดฤดูฝน และนกยังทำรังอยู่บนยอดไม้ ไม่บินไปไหนในช่วงฤดูฝนเช่นกัน” เมื่อพระภิกษุสงฆ์ได้ยินดังนั้นจึงนำความไปทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงบัญญัติให้พระภิกษุทั้งหลายหยุดจาริกไปในที่ต่าง ๆ ตลอดฤดูฝน (เข้าพรรษา)
พระต้นบัญญัติใน วัสสานจาริกาปฏิกเขปาทิ กล่าวถึงพระภิกษุที่เป็นต้นเหตุให้เกิดพุทธบัญญัติเรื่องนี้คือ กลุ่มพระฉัพพัคคีย์ เป็นกลุ่มพระภิกษุ 6 รูป ได้แก่ พระปัณฑุกะ พระโลหิตกะ พระปุนัพพสุกะ พระอัสสชิ (คนละรูปกับปัญจวัคคีย์) พระเมตติยะ และ พระภุมมชกะ ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวสาวัตถี เมื่อกลุ่มพระฉัพพัคคีย์ทราบก็จะไม่ยอมปฏิบัติตามพุทธบัญญัติ พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติว่า หากพระภิกษุรูปใดไม่จำพรรษาในฤดูฝน ต้องอาบัติทุกกฏ (ทุกกฏ หมายถึง การทำไม่ดี เป็นชื่ออาบัติเบาอย่างหนึ่ง)
อุบาสกไม่พอใจที่พระภิกษุเข้าพรรษาหลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งพระบัญญัติห้ามพระภิกษุจาริกไปที่อื่นตลอดฤดูฝนแล้ว เมื่อมีพุทธศาสนิกชนมานิมนต์ไปสวดพระสูตร (เจริญพระพุทธมนต์) ในงานบุญ งานมงคลต่าง ๆ จึงทำให้พระภิกษุไม่กล้ารับนิมนต์ จนกระทั่งอุบาสกคนหนึ่งชื่อว่า “อุเทน” สร้างวิหารขึ้นก็หมายนิมนต์พระมารับภัตตาหาร เมื่อส่งคนไปนิมนต์ พระภิกษุก็ไม่ยอมมา เพราะพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เช่นนั้นก็ไม่อยากต้องอาบัติทุกกฏ เมื่ออุเทนทราบก็ไม่พอใจ ติเตียนพุทธบุตรยกใหญ่ เรื่องนี้ทราบถึงพระภิกษุจึงนำเรื่องนี้ทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงบัญญัติว่า ช่วงเข้าพรรษา หากมีคนมานิมนต์ พระภิกษุสามารถไปสวดพระสูตรตามงานบุญ และงานมงคลต่าง ๆ ได้ แต่ต้องกลับมายังที่จำพรรษาภายใน 7 วัน
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป >>> หน้า 1 2 ธรรมะ สุขใจ Dhamma secret Secret Magazine Thailand กลุ่มพระฉัพพัคคีย์ ซีเคร็ต พระต้นบัญญัติ พระวินัย วันเข้าพรรษา เข้าพรรษา
ในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงวางระเบียบเรื่องการเข้าพรรษาไว้ เกิดเหตุการณ์กลุ่มพระสงฆ์ฉัพพัคคีย์พากันออกเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ทำให้ชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเวลา 3 เดือน
ความสำคัญของการเข้าพรรษา
2. หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8 - 9 เดือน ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน 3. เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึงวันออกพรรษา 4. เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป 5. เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา ประเภทของการเข้าพรรษาของพระสงฆ์
1. ปุริมพรรษา (เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 (สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง) จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน ก็มีสิทธิที่จะรับกฐินซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน การศึกษาพระธรรมวินัยของพระสงฆ์วันเข้าพรรษา
ปัจจุบันพระธรรมวินัยถูกจัดเป็นหลักสูตรของคณะสงฆ์ ในหลักสูตร พระธรรม จะเรียกว่า ธรรมวิภาค พระวินัย เรียกว่า วินัยมุข รวมเรียกว่า "นักธรรม" ชั้นต่าง ๆ โดยจะมีการสอบไล่ความรู้พระปริยัติธรรมในช่วงออกพรรษา เรียกว่า การสอบธรรมสนามหลวง ในช่วงวันขึ้น 9 - 12 ค่ำ เดือน 11 (จัดสอบนักธรรมชั้นตรีสำหรับพระภิกษุสามเณร) และช่วงวันแรม 2 - 5 ค่ำ เดือน 12 (จัดสอบนักธรรมชั้นโทและเอก สำหรับพระภิกษุสามเณร)
ข้อยกเว้นการจำพรรษาของพระสงฆ์
อาจมีกรณีจำเป็นบางอย่าง ทำให้พระภิกษุผู้จำพรรษาต้องออกจากสถานที่จำพรรษาเพื่อไปค้างที่อื่น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษาโดยมีเหตุจำเป็นเฉพาะกรณี ๆ ไป ตามที่ทรงระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการพระศาสนาหรือการอุปัฏฐานบิดามารดา แต่ทั้งนี้ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน การออกนอกที่จำพรรษาล่วงวันเช่นนี้เรียกว่า "สัตตาหกรณียะ" ซึ่งเหตุที่ทรงระบุว่าจะออกจากที่จำพรรษาไปได้ชั่วคราวนั้นเช่น 1. การไปรักษาพยาบาล หาอาหารให้ภิกษุหรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย เป็นต้น กรณีนี้ทำได้กับสหธรรมิก 5 และมารดาบิดา2. การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้ กรณีนี้ทำได้กับสหธรรมิก 5 3. การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด หรือ การไปทำสังฆกรรม เช่น สวดญัตติจตุตถกรรมวาจาให้พระผู้ต้องการอยู่ปริวาส เป็นต้น 4. หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปให้ทายกได้ให้ทาน รับศีล ฟังเทสนาธรรมได้ กรณีนี้หากโยมไม่มานิมนต์ ก็จะไปค้างไม่ได้.
ที่มาวันเข้าพรรษาไทย สันนิษฐานว่าเริ่มมีมาแต่แรกที่รับพระพุทธศาสนาเถรวาทเข้ามาในดินแดนประเทศไทย ซึ่งอาจมีปฏิบัติประเพณีนี้มาตั้งแต่สมัยทวาราวดี แต่มาปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าชาวไทยได้ถือปฏิบัติในการบำเพ็ญกุศลในเทศกาลเข้าพรรษาในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังปรากฏความในศิลาจารึกหลักที่ 1 (ด้านที่ 2) ดังนี้ ... คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มันโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทังชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทังหลายทังผู้ชายผู้ญีง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อโอกพรรษากรานกฐินเดือนณื่งจี่งแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกฐิน โอยทานแล่ปีแล้ญิบล้าน ไปสูดญัตกฐินเถิงอไรญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียง เรียงกันแต่อไรญิกพู้นเท้าหัวลาน ดมบังคมกลองด้วยเสียงพาทย์เสียงพีณ เสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากปตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกัน เข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดั่งจักแตก ... วันเข้าพรรษาในประเทศอื่น ๆ
|