ทําไมถึงอยากเป็นครู ปฐมวัย

ทําไมถึงอยากเป็นครู ปฐมวัย

สอบสัมภาษณ์ครูผู้ช่วย จะอยู่ในส่วนสุดท้ายของการสอบครูผู้ช่วย คืออยู่ใน ภาค ค เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาถึงจุดนี้แล้ว เราต้องทำให้เต็มที่ สอบสัมภาษณ์ครูผู้ช่วย ต้องมีแผ่นพับนำเสนอ ประกอบกับทักษะการพูดและบุคลิกภาพ ดังนั้นเรามาดูกันว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง

และวันนี้เราจะพาทุกท่านไปดูคำถามยอดฮิต ทำไมถึงอยากเป็นครู? คำถามยอดฮิตในการสอบสัมภาษณ์ ครูผู้ช่วย

ทำไมถึงอยากเป็นครู?

เนื่องจากอาชีพครูมีความสูงส่งและสำคัญมาก ดังนั้นการที่จะคัดเลือกใครสักคนเข้ามาเป็นบุคคลสำคัญนี้ จำเป็นต้องสัมภาษณ์อย่างรอบคอบเสียก่อน  
                    และคำถามที่ขาดไม่ได้ คือ “ทำไมถึงอยากเป็นครู”  
                    ผู้ใดก็ตามที่ได้รับคำถามว่าทำไมถึงมาสมัครเป็นครู แล้วให้คำตอบที่แสดงให้เห็นว่าขาดอุดมการณ์   เช่น  เพราะไม่รู้ว่าจะประกอบอาชีพอะไรเลยมาเป็นครูหรือหางานอื่นไม่ได้ ถ้ายังตอบแบบนี้ก็ไม่สมควรเป็นครูบาอาจารย์ 
                  แต่ถ้าตอบว่า “ผมหรือดิฉันอยากเป็นครูเพราะครูคือผู้ให้แสงสว่างให้กับนักเรียนและโลกใบนี้ อยากให้ชีวิตใหม่แก่เด็กนักเรียนที่เกิดมาภายหลัง เพราะแต่เดิมนั้นเขายังไม่ฉลาดหรือฉลาดเพียงระดับหนึ่งเท่าที่ได้รับมาจากพ่อแม่ และเพราะอาชีพครูนี้เป็นเส้นทางของมหาปูชนียาจารย์ เส้นทางเดียวกับพระบรมโพธิสัตว์” 
                ถ้าตอบได้เช่นนี้ จะสมควรรับตำแหน่งเป็นครูเพราะบุคคลนั้นจะต้องมีวิญญาณครูก่อน แล้วถึงจะมาทำหน้าที่ครูได้ เราจึงต้องถามกันทุกคนทุกครั้งก่อนจะเข้ารับบรรจุตำแหน่งอันสำคัญนี้ 
                  ดังนั้น ผู้ที่คิดจะเป็นครูต้องเตรียมตอบเอาไว้ในใจให้ดี ถ้ายังตอบไม่ได้ก็ไม่ควรเป็นครู 

                  ถ้าหากมีคนถามคุณว่า  “ทำไมถึงอยากเป็นครู” คุณจะตอบคนๆนั้นว่าอย่างไร?


และ…

ทำไมถึงอยากเป็นครู??

คำถามนี้ได้ยินบ่อยมากค่ะจากเพื่อนๆร่วมชั้นเรียนที่เคยเรียนด้วยกันมา ครูมิมเรียนคณะวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม) โดยสายงานแล้วไม่เกี่ยวข้องกับอาชีพครูเลย เพื่อนๆ ร่วมรุ่นจึงไม่มีใครเป็นครู มีเพียงครูมิมเท่านั้นที่อยากเป็นครู

ถามว่าทำไมถึงอยากเป็นครู ?

ในช่วงเวลาหนึ่งของการทำงานในอดีต ได้รวมกลุ่มกับเพื่อน รับบริจาคเสื้อผ้า อาหาร ของใช้จำเป็นและทุนการศึกษาไปเยี่ยมน้องๆ โรงเรียนบ้านก้อ จ.น่าน  ทำให้ได้เห็นชีวิตของเด็กนักเรียนที่ขาดแคลน แล้วทำให้นึกถึงสมัยที่เราป็นเด็ก นึกถึงครูที่เคยสอนเรามา โดยเฉพาะคุณครูที่เรารู้สึกประทับใจ  เราก็ยังจำท่านได้มาโดยตลอด  ถ้าเราเป็นครูแล้วมีนักเรียนจำเราได้แม้เวลาจะผ่านไป  มันคงจะมีความสุขมากๆ  และเป็นรางวัลแห่งชีวิตเลยที่เดียว ว่าไหมค่ะ

ตั้งแต่นั้นมา ก็เลยอยากเป็นครู  และก็ตั้งใจว่าจะเป็นครูที่ดีให้ได้…


และ…

ทำไมถึงอยากเป็นครู?

ครูเป็นเหมือนพ่อ แม่ คนที่สอง ของ นักเรียน คอยอมรมสั่ง จนนักเรียนประสบณ์ความสำเร็จ

และครูก็เป็นคนที่ให้ความรู้แก่นักเรียนทำให้เขารู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้และครูเปรียบเสมือนเทียนหนึ่งเล่มที่จุดให้แสงสว่างแก่

คนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต และนำคำสั่งสอนที่ครูค่อยพร่ำสอนนั้นไปใช้ในชีวิคประจำวัน คนที่คิดว่าการที่จะมาประกอบ

กิจการงานวิชาชีพครูนั้นมันเหนื่อยแสนสุดทน ก็ไม่สมควรจะไปทำงานอื่นได้อีก

อ้างอิงที่มา https://www.gotoknow.org/posts/209915

คำถาม สอบสัมภาษณ์ครูผู้ช่วย ภาค ค

คลิกให้คะแนนโพสต์นี้!

[รวม: 1 เฉลี่ย: % เฉลี่ย%]

ทําไมถึงอยากเป็นครู ปฐมวัย

ชวนผู้ก่อตั้งอนุบาลบ้านรักถอดองค์ความรู้เพื่อเป็นแม่ครูของเด็กวัยอนุบาล

ครูปฐมวัยคือ ‘แม่ครู’
อภิสิรี จรัลชวนะเพท

          อนุบาลนับเป็นก้าวแรกอย่างแท้จริงของเด็กๆ ในรั้วสถานศึกษาซึ่งจะกลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ครูอนุบาลจึงไม่ใช่เพียงผู้สอนสั่งหน้าชั้น แต่เปรียบเสมือน ‘แม่ครู’ ผู้เป็นแม่ที่โอบกอดและ ตระเตรียมเด็กให้พร้อมเข้าสู่โลกการศึกษาเต็มตัว เพราะสำคัญขนาดนี้ เราจึงชวนครูอุ้ย-อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้ก่อตั้งอนุบาลบ้านรัก มาพูดคุยถึงสิ่งที่ครูอนุบาลควรรู้เพื่อเป็นแม่ครูของเด็กปฐมวัย แม่ครูที่ช่วยฟูมฟักเด็กตัวน้อยให้เติบโตงดงาม

ทําไมถึงอยากเป็นครู ปฐมวัย

ครูคือ แม่

          ครูอุ้ยบอกเราว่า ครูอนุบาลเปรียบเหมือนแม่ที่ช่วยโอบอุ้มเด็กอนุบาลก่อนส่งพวกเขาเข้าชั้นประถม คุณครูในระดับชั้นนี้จึงควรเข้าใจและวางบทบาทตนเองให้ถูกต้อง“เด็กอนุบาลจะให้ความศรัทธา ให้ความนับถือเหมือนเราเป็นทุกอย่างของเขา เป็นที่พึ่งให้เขาได้ จะสนิทใจเหมือนเราเป็นแม่อีกคน เพราะฉะนั้น ครูต้องวางบทบาทให้ถูกต้องว่าเราคือแม่เขา แล้วเมื่อมีผู้ร่วมงาน บทบาทแม่ก็ต้องกระจายไปตามตำแหน่งต่างๆ เช่น ครูประจำชั้นเหมือนแม่ใหญ่ดูแลเด็กทั้งหมดของห้องนี้ ครูผู้ช่วยเหมือนคุณแม่เล็กๆ
.

“เราต้องทำตัวใหม่เป็นแม่เขาจริงๆ ในบทบาทที่เด็กยังอายุเท่านี้ ฟันน้ำนมยังไม่หลุด ฟันแท้ยังไม่ขึ้น เราโอบอุ้มเขาตั้งแต่แรกรับแล้วค่อยๆ ประคอง อุ้มเขาปกป้องให้ดีมาถึงขอบเขตที่จะเชื่อมต่อจากอนุบาลไปถึงป.1 ตรงนี้อ้อมกอดจะค่อยๆ เผยออกแล้วค่อยๆ ส่งให้ครูป.1มารับช่วงต่อกันอย่างเข้าอกเข้าใจว่า หนูน้อยของแม่พร้อมแล้วนะที่จะเข้าสู่วัยเรียน ถ้าครูป.1 เข้าใจอย่างนี้ การเชื่อมต่อตรงนี้จะสมบูรณ์แบบ ถูกต้องตามที่ธรรมชาติเด็กต้องการ ไปกันอย่างมีความสุข เด็กเองก็จะได้ประสบการณ์วัยเด็กที่ดีด้วย เพราะฉะนั้น อย่างน้อยครูอนุบาลและครูป.1 ก็ต้องทำงานด้วยกัน พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจกันว่าตอนนี้บทบาท ของอนุบาลกำลังทำอะไรกันอยู่ บทบาทของป.1กำลังทำอะไรกัน อนุบาลคือบ้าน ยังไม่ใช่โรงเรียน”

.
และเพราะอนุบาลคือบ้าน ครูอุ้ยจึงอธิบายเพิ่มว่าสถานที่และบรรยากาศก็เป็น เรื่องที่ต้องใส่ใจโดยควรออกแบบให้สอดรับกับกิจวัตรหลักในชีวิตเด็ก เราต้องออกแบบเนื้อที่ของอนุบาลทั้งการสร้างอาคาร ประโยชน์ใช้สอยต่างๆ ให้เสมือนบ้านหนึ่ง หลังด้วย ต้องมีห้องนั่งเล่นซึ่งเด็กจะได้เล่นด้วยกันในทุกวัน มีห้องครัวซึ่งเด็กต้องรับประทานอาหารทุกวันเหมือนกัน มีมุมที่เรียกว่ามุมสงบ มุมพระที่เราต้องกราบพระทุกวัน แล้วก็มีห้องน้ำที่ต้องไม่ไกลอาคาร เกินไป หรืออยู่ในห้องที่เราเปิดประตูออกไปแล้วเข้าห้องน้ำได้อย่างปลอดภัย สุดท้ายคือต้องมีห้องนอน แล้วถ้าเปิดประตูออกไปได้ เจอระเบียงน้อยๆ ทำกิจกรรมนอกระเบียงกันได้ แล้วก็มีสนามกว้างๆ เพื่อให้ เด็กวิ่งเล่น เท่ากับอนุบาลของเด็กน้อยเป็นเสมือนบ้านหนึ่งหลัง ถ้ามีอนุบาลหลายห้องก็คือบ้านหลายหลังที่อยู่ใกล้กัน” เมื่อมีครูที่เปรียบเสมือนแม่ มีโรงเรียนที่เปรียบเสมือนบ้าน เด็กตัวน้อยจึงเติบโตพร้อมเข้าสู่โลก การศึกษาอย่างมั่นคง

เตรียมพร้อมเป็น แม่ครู

.

          อย่างไรก็ตาม เมื่อลงลึกในรายละเอียด การเป็นแม่ยังต้องอาศัยคุณสมบัติหลายประการซึ่ง หลายคนอาจไม่ได้มีพร้อมแต่แรก ครูอุ้ยจึงบอกว่าครูอนุบาลต้องฝึกฝนตัวเองเพื่อไปสู่ความเป็นแม่ครูที่สมบูรณ์
.

สำหรับคุณครูที่จะมารับบทบาทใหม่เป็นแม่ครูที่ต้องเลี้ยงลูกหลายคน เราต้องถามตัวเองก่อนว่าพร้อมเป็นแม่ใครหรือยัง การเป็นแม่หมายถึงรับผิดชอบเขา ไม่มีช่วงพัก เรายอมมั้ยที่จะไม่ได้พักเที่ยง ต้องอยู่กับเด็กกลุ่มนี้ตั้งแต่รับมาจนส่งกลับบ้าน คุณแม่ก็ต้องมีเวลาให้ ต้องมีความเสียสละเวลาที่มากกว่าครูในระดับชั้นอื่นๆ ที่อาจสอนเป็นวิชา เพราะแม่ต้องอยู่กับลูกตลอดเวลา แล้วจิตใจพร้อมรึยังเรื่องว่าเราต้องรักเขาให้ได้เสมือนเป็นลูกเราจริงๆ  ซึ่งความรักของแม่มีพร้อมทั้งความคาดหวังแล้วก็การปล่อยวาง เราคาดหวังที่จะให้ลูกเป็นเด็กดีสมกับที่เราอยากให้เป็น ในขณะเดียวกันเราก็ต้องปล่อยวางด้วย ”
.

“แม่ยังต้องเก่งทุกอย่าง มีคุณสมบัติครบถ้วนอยู่ในคนเดียวกัน พอเรารู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ได้ก็ต้องเพิ่มทักษะในตัวเอง ถ้าไม่เก่งก็ต้องฝึก ยกตัวอย่างจาก 5 กิจกรรมที่เป็นกิจวัตรหลักของเด็ก เช่น ทำงานบ้านไม่เก่ง ทำงานบ้านไม่เป็น ต้องทำ เพราะเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ ส่วนงานครัว ทักษะไม่มี งานศิลปะทั้งหลายทำไม่เป็น ก็ต้องฝึกไปทีละอย่างเลย ถึงต้องมีการฝึกครูไง ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ รับใครมาก็เป็นแม่ครูอนุบาลได้เลย ต้องให้โอกาสครูรุ่นใหม่ๆ ว่ามาอยู่กับครูอาวุโสจนกว่าพร้อมที่จะรับผิดชอบเป็นแม่ครูประจำชั้น ครูอาวุโสก็จะฝึกให้ครูรุ่นใหม่เย็บปักถักร้อยเป็น จัดดอกไม้เป็น วาดเขียนเป็น ทำขนมเป็น ไหนจะต้องทำสวน หมักปุ๋ยอีก ต้องใช้เวลาฝึกกว่าจะเป็นคุณแม่ที่ทำงานได้ทุกอย่าง ไม่เก่งมาเลยก็ต้องมาฝึกจนเราพร้อมแล้วมั่นใจว่าฉันทำได้”
.

ไม่ใช่แค่เรื่องทักษะภายนอก แม่ครูที่ดียังต้องมีโลกภายในสงบงาม
.
“ทีนี้แม่ครูที่จะงดงามจากข้างในได้อย่างน้อยข้างในของเราต้องเป็นคนแจ่มใสพอ ถ้าเราไม่แจ่มใส เราหงุดหงิด ไม่มีความสงบในตัว เราจะร้อนรนแล้วกดดันตัวเอง อยากทำอะไรก็ต้องทำด้วยความเร็ว เร่งสปีดทำให้เสร็จ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ เป็นแม่ก็ต้องปล่อยวางไปด้วย มื้อนี้วันนี้ทำไม่ได้ ให้โอกาสตัวเอง พรุ่งนี้ทำใหม่ แต่แม่ครูต้องมีความรู้สึกว่าฉันจะต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เด็กไม่รอว่าแม่ครูต้องเป็นคนเนี้ยบคนดีเดี๋ยวนี้เลย เขามองว่าไม่เป็นไร  ครูไม่ต้องเก่งมาก่อนหรอก  มายังไงไปด้วยกันอย่างนั้นเลย ค่อยเป็นค่อยไป ขอให้มีความรักให้หนูเถอะ ซึ่งเราค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนเก่ง เป็นครูที่ค่อยๆ สวยออกมาจากข้างในกันได้นี่ แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เด็กจะให้ความศรัทธากับครูที่ค่อยๆ เปลี่ยนและยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดี เขาไม่ได้บอกเราหรอกว่าศรัทธา แต่การที่เขาอยากอยู่กับเรา มองตาเราอย่างไว้เนื้อเชื่อใจก็เป็นการบ่งบอกแล้วว่าเขานับถือเรา”


แม่ของลูกปฐมวัย
.

นอกจากมีทักษะพร้อมทั้งภายนอกและภายใน แม่ครูยังต้องคอยดูแลลูกๆ วัยอนุบาลให้ครบถ้วนทุกด้าน ครูอุ้ยเริ่มจากสิ่งที่สำคัญเป็นพื้นฐานคือด้านสุขภาพ
.
“การดูแลเด็กอนุบาลต้องดูแลเรื่องสุขภาพร่างกายก่อน แม่ครูเองต้องมีความเข้าใจว่าต้องดูแลสุขอนามัยแบบไหน รวมถึงดูแลความสะอาดเรียบร้อยของสถานที่”
.
ถัดจากนั้นคือการดูแลในด้านพัฒนาการที่สอดรับกับวัยอนุบาลของเด็กๆ
.
“เด็กอนุบาลรับความรู้ผ่านการเลียนแบบ ถ้ารู้ตรงนี้แล้ว เราก็ต้องเป็นแม่แบบที่ดีให้เด็ก พยายามหาโอกาสที่จะทำงานร่วมกันแล้วให้เด็กทำตามเรา ให้กิจกรรมตรงนี้สม่ำเสมอสักระยะหนึ่งจนเด็กรู้สึกว่าเขาทำตามได้แล้ว  ยกตัวอย่างง่ายๆ ด้วยกิจกรรมงานบ้าน กินอาหารเสร็จก็ต้องมีการล้างจาน เรานำเขา แต่ไม่ได้ใช้งานเขาเพราะยังไงผู้ใหญ่ก็ต้องอยู่ตรงนั้น แล้วจัดการเปิดเนื้อที่ให้เด็กว่าทำเสร็จแล้วเก็บยังไง เด็กก็จะรู้จักกระบวนการทั้งหมด ”
.
“ข้อต่อมาคือ เด็กเล็กจะรับความรู้เข้าแล้วมีการพักผ่อนด้วย ทำงานกันแบบครึ่งๆ  รับความรู้เข้า แล้วก็พักผ่อน เหมือนจังหวะลมหายใจ เด็กยิ่งพักผ่อน เด็กยิ่งโต คุณครูเข้าใจแล้วก็ต้องจัดจังหวะเวลาให้ได้มีการพักผ่อนด้วยในทุกกิจกรรม เช่น พอเล่นเสร็จเก็บของเล่นแล้วต้องมานั่งท่องบทกลอนให้รู้สึกว่าเมื่อกี้ได้เล่นแล้วก็พักนิดนึง หรือตลอดทั้งเช้าเด็กรับความรู้เข้าผ่านการเลียนแบบตามกิจกรรมต่างๆ พอถึงช่วงเที่ยง รับประทานอาหารแล้วต้องมีพักผ่อนแบบนอนหลับให้อิ่ม อย่าละเลยตรงนี้ ถ้าไม่งั้นเด็กจะพักไม่พอแล้วจะป่วย
.
“ข้อสุดท้ายคือ ธรรมชาติของเด็กตั้งแต่เกิดจนถึงช่วง 7 ปีแรกจะเล่นเป็นหลัก ดังนั้นเราต้องจัดอุปกรณ์ เนื้อที่ เวลา ให้กับการเล่น เพราะสิ่งนี้ทำให้เด็กเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง เด็กจะเล่นเลียนแบบทุกอย่าง เล่นเลียนแบบผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดู ซึ่งเราจะมองเห็นตัวเองอยู่ในตัวเขา ครูสดใส เด็กสดใส ครูหน้าบึ้ง เด็กหน้าบึ้ง รวมถึงสิ่งแวดล้อมอย่างนิทาน โซเชียลมีเดียเองก็ปรุงเป็นตัวเขา เสมือนว่าเขาจะโตขึ้นได้ด้วยการอาศัยแบบรอบข้าง จน 7 ปีผ่านไป เข้าประถมแล้วถึงจะกลายเป็นตัวเขา เราจึงต้องคำนึงให้หมดว่า เขากำลังเลียนแบบอะไร มองเห็นอะไรอยู่ เพราะนั่นคือการเก็บความรู้แล้วเล่น ขณะเดียวกัน ครูต้องเข้าใจว่า ณ วันนี้ ถ้าเด็กทำอะไรได้เหมือนผู้ใหญ่ นั่นคือการเล่นนะ ยังไม่ได้ทำงานจริงจังเลย เช่น เรื่องล้างชาม หนูกำลังเล่นล้างชามอยู่ พอโตไปเป็นป.1 ทำไมไม่ล้างชามแล้ว ก็ตอนเล็กๆ กำลังเล่นอยู่ เพราะฉะนั้น พอให้เด็กขึ้นป.1 แล้ว เราต้องมีกฏเกณฑ์รูปแบบใหม่ว่า อันนี้ต้องทำเป็นหน้าที่แล้วนะลูก”
.

และทั้งหมดนี้คือองค์ความรู้และความเข้าใจที่ครูปฐมวัยควรมีติดตัวติดหัวใจ เพื่อให้เป็นแม่ครูของลูกๆ วัยอนุบาลได้อย่างสมบูรณ์

เรื่อง : ฝ่ายสื่อสารองค์กร สถาบันอาศรมศิลป์
ภาพ : สถาบันอาศรมศิลป์

เพราะเหตุใดถึงอยากเป็นครู

ครูเป็นเหมือนพ่อ แม่ คนที่สอง ของ นักเรียน คอยอมรมสั่ง จนนักเรียนประสบณ์ความสำเร็จ และครูก็เป็นคนที่ให้ความรู้แก่นักเรียนทำให้เขารู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้และครูเปรียบเสมือนเทียนหนึ่งเล่มที่จุดให้แสงสว่างแก่

เพราะอะไรถึงอยากเป็นครูปฐมวัย

1. เป็นการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทุกด้าน นับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเริ่มเข้าเรียนในระดับโรงเรียน 2. วางพื้นฐานทางสุขภาพอนามัยให้กับเด็กตั้งแต่ต้นรวมทั้งเด็กที่มีข้อบกพร่องต่าง ๆ 3. สิ่งแวดล้อมทางบ้านควรมีส่วนช่วยให้เด็กเจริญเติบโต และพัฒนาในทุก ๆ ด้าน 4. พ่อแม่ควรเป็นครูคนแรกที่มีความสำคัญต่อลูก

ครูปฐมวัยมีความสําคัญอย่างไร

ครูปฐมวัยมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพครูจะต้องยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติดังนี้ 1. จัดการเรียนรู้และดูแลสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของเด็ก 2. จัดสาระการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก 3. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจของเด็ก