องค์ประกอบสำคัญของแฟ้มสะสมผลงาน มีดังนี้ 1. ส่วนนำ ประกอบด้วย – ปก – คำนำ – สารบัญ – ประวัติส่วนตัว – จุดมุ่งหมายของการทำแฟ้มสะสมผลงาน 2. ส่วนเนื้อหาแฟ้ม ประกอบด้วย – ผลงาน – ความคิดเห็นที่มีต่อผลงาน – Rubrics ประเมินผลงาน
ควรออกแบบให้สะดุดุตา แบบเห็นปุ๊บแล้วคนหยิบขึ้นมาอ่านปั๊บเลย ถ้าหน้าตาดีก็ใส่รูปตัวเองลงไป present ตัวเองเต็มที่ เข้าใจง่าย สรุปเนื้อหาและมีรายละเอียดครบถ้วน คือ แฟ้มเป็นของใคร เรียนที่ไหน ผลงานที่เคยทำ รางวัลที่เคยได้รับ ฯลฯ (แต่ต้องเน้นส่วนที่เป็นตัวของเราให้ได้มากที่สุด ทำออกมาให้เป็นตัวของตัวเอง) นำเสนอข้อมูลตัวเองเต็มที่เลย รวมถึงประวัติทางด้านสถานศึกษาด้วย
ถ้าจะให้ดีขอแนะนำว่าให้ทำเป็น 2 ชุด คือ ส่วนที่เป็นภาษาไทยและส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการแสดงถึงความสามารถของเราและความเป็นสากล เพราะบางทีคนที่อ่านแฟ้มของเราอาจจะเป็นชาวต่างชาติก็ได้นะ แล้วยังช่วยทำให้ดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ให้เรียงลำดับจากการศึกษาระดับต่ำสุดจนกระทั่งปัจจุบัน และต้องสรุปผลการเรียนที่ได้มาครั้งล่าสุดด้วย ควรเน้นเป็นส่วนท้ายให้เห็นเด่นชัดที่สุด (อาจมีเอกสารรับรองผลการเรียนแนบมาด้วยก็ได้ จะดีมาก) เขียนในลักษณะเรียงลำดับการได้รับจากปี พ.ศ. (ในส่วนนี้ไม่แนะนำว่าต้องใส่เกียรติบัตรลงไป เพราะอาจทำให้แฟ้มดูไม่มีจุดเด่นเพราะมันแย่งกันเด่นหมด ซึ่งจะทำให้คนอ่านไม่รู้ว่าควรต้องอ่านตรงไหนดีก่อน) เป็นผลงานหรือรางวัลที่ได้รับและเกิดความภาคภูมิแบบสุดๆ รางวัลแบบนี้แหละที่เป็นรางวัลแห่งชีวิตที่เราภูมิใจสุดๆ (ควรใส่หลักฐานลงไปประกอบด้วยเพื่อความน่าเชื่อถือ อาจมีรูปถ่ายประกอบมาด้วยจะดีมาก) อาทิเช่น เป็นประธานนักเรียน
กิจกรรมในชมรมหรืออย่างอื่น ใส่เพื่อให้รู้ว่าเรามีประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ รู้จักการทำงานเป็นทีม หรือตรงส่วนนี้จะใช้เป็นงานพิเศษที่กำลังทำก็ได้ หากเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจะทำให้ผลงานมีคุณค่ามากขึ้น คนหยิบขึ้นมาอ่านจะเห็นคุณค่าของเราตรงนี้ คืองานหรือรายงานที่คิดว่าภาคภูมิใจมากที่สุดจากการเรียนที่ผ่านมา เช่น โครงงานวิทยาศาสตร์ รายงานการวิจัยต่างๆ อาจจะนำเสนอ 5 รายวิชาหลักที่เราเคยทำก็ได้ เป็นต้น ควรโชว์ความสามารถพิเศษที่คนทั่วไปไม่มีหรือมีคนทำน้อย
และต้องเป็นความสามารถพิเศษที่สอดคล้องกับคณะ ที่เราต้องการศึกษาต่อหรือถ้าไม่มีก็เป็นความสามารถพิเศษทั่วๆ ไป เช่น ร้องเพลง เล่นดนตรี กีฬา ฯลฯ ทฤษฎีการวิจารณ์ศิลปะ แนวคิดหลัก ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า การวิจารณ์มีประโยชน์ต่อวงการศิลปะเป็นอย่างมาก การประเมินและการวิจารณ์ผลงานทัศนศิลป์ จะช่วยให้ผู้วิจารณ์สามารถใช้ความรู้ความสามารถของตนเองในการประเมินและวิจารณ์ผลงานทั้งของตนเองและผู้อื่น ได้อย่างเหมาะสม ความหมายของการวิจารณ์และศิลปะวิจารณ์ การวิจารณ์ หมายถึง การแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามความรู้ ความเข้าใจ และจากประสบการณ์ของผู้วิจารณ์ พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อสิ่งที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชม หรือการชี้แนะผลงานนั้นๆ ทั้งนี้กาวิจารณ์จะต้องมีเหตุมีผล เพื่อที่ผู้สร้างผลงานจะได้นำไปปรับปรุงผลงานให้ดียิ่งขึ้นโดยสุจริต ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำว่า “วิจารณ์” ว่าหมายถึง “ให้คำตัดสินที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรม เป็นต้น โดยผู้มีความรู้ควรเชื่อถือได้ ว่ามีค่าความงามความไพเราะดีอย่างไร หรือมีข้อขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง” ส่วนการติชม มักใช้คำว่า วิพากษ์วิจารณ์ ศิลปวิจารณ์ คืออะไร พจนานุกรมศัพท์ศิลปะฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า “ศิลปะวิจารณ์คือการวิพากษ์วิจารณ์ผลงานทางศิลปะซึ่งศิลปินได้สร้างสรรค์ขึ้นไว้โดยให้ความเห็นตามกฎเกณฑ์และหลัการศิลปะของแต่ละสาขา ทั้งในด้านสุนทรียศาสตร์และปรัชญาสาขาอื่น ๆ ไม่ว่าจะในรูปแบบการวิจารณ์เป็นเช่นไร จะเป็นแบบการพูด การบรรยายหรือข้อเขียนใดๆ ก็ตาม ที่จะเป็นเครื่องชี้วัด และตัดสินคุณค่าในงานศิลปะ” การแสดงความคิดเห็นทางศิลปะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับทุกคนที่จะติชมหรือเรียกว่าให้ความวิจารณ์ตามความคิดเห็นของตน แค่คำวิจารณ์ควรจะเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ใจ มิใช่เพื่อหวังผลทางการค้าหรือกลั่นแกล้ง เพราะคำวิจารณ์อาจพลิกความรู้สึกของผู้ชมงานศิลปะให้ไขว่เขวได้ คือเห็นศิลปกรรมว่าชั้นสามัญว่าดีที่สุดและเห็นศิลปะชั้นเยี่ยมที่สุดเป็นธรรมดาสามัญ ดังนั้นคำวิจารณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ศิลปะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี กล่าวว่า การวิจารณ์ที่จะให้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์นั้นมีหลักสำคัญๆ ดังนี้ 1. จิตวิจารณ์ คือ วิจารณ์ในแง่ความรู้สึก 2. อรรถวิจารณ์ คือ ในแง่แปลความหมาย 3. วิพากษ์วิจารณ์ คือ วิจารณ์ในแง่พิพากษาตัดสิน อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นในด้านการวิจารณ์ศิลปะนี้ เอดมันส์ เฟลด์แมน นักปราชญ์คนสำคัญอีม่านหนึ่ง ได้จำแนกหลักการวิจารณ์ออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. การวิจารณ์แบบนักหนังสือพิมพ์ คือ การเสนอข่าวสารแกผู้อ่าน เป็นการเขียนแนะนำผลงานที่ผู้อ่านอาจไปหาชมได้ด้วยตัวเอง 2. การวิจารณ์แบบครู คือ การเสริมความรู้เกี่ยวกับเรื่องของสุนทรียศาสตร์ และทางศิลปะ เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นและเร้าใจ 3. การวิจารณ์แบบนักวิชาการ เป็นการวิเคราะห์แบบแปลความหมาย และประเมินคุณค่างานศิลปะที่มีความงามและความละเอียดรอบคอบ 4. การวิจารณ์แบบสามัญทั่วไป เป็นการวิจารณ์ตามทัศนคติส่วยตัว ตามความรู้ ตามความเข้าใจของเขา ลักษณะเช่นนี้จะมีผลสะท้อนต่อวงการศิลปะและอาจเกิดผลลบได้ คุณสมบัติของผู้วิจารณ์งานทัศนศิลป์ 1. เป็นผู้มีความรู้ในงานทัศนศิลป์ 2. เป็นผู้ที่มีความรอบรู้ สามารถเชื่อมโยงวิชาความรู้สาขาอื่นๆ เข้ากับงานทัศนศิลป์ได้เป็นอย่างดี 3. เป็นผู้ที่มีใจกว้าง ยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น 4. เป็นผู้ที่ใช้ภาษาในการสื่อสารได้ดี 5. เป็นนักคิด นักค้นคว้า มีความสนใจในสิ่งใหม่ ๆ และศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ บทบาทและหน้าที่ของผู้วิจารณ์ บทบาทและหน้าที่ของผู้วิจารณ์ที่หนักและที่ยากยิ่งคือการประเมินคุณค่า เพราะการวิจารณ์ต้องทำหน้าที่เหมือนผู้พิพากษา วิพากษ์ผลงานศิลปะและเข้าไปเกี่ยวข้องกับตัวศิลปินอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดวิวาทะระหว่างผู้วิจารณ์กับศิลปินอยู่เป็นเนื่องๆ นานนับร้อยปีมาแล้วในประวัติศาสตร์ สิ่งที่ยากที่สุดของผู้วิจารณ์คือการประเมินคุณค่าผลงานที่ใหม่ล้ำยุคมาก และการประเมินคุณค่าผลงานที่ถูกลืมหรือสูญหายไปจากวัฒนธรรมนานแล้ว ผู้วิจารณ์จะต้องรอบคอบ รอบรู้ และมีจิตใจที่เปิดกว้าง อีกทั้งจะต้องมีมิติของทัศนะที่ลุ่มลึก ขั้นตอนและวิธีการในการวิจารณ์ผลงานทัศนศิลป์ การเรียนรู้ขั้นตอนและวิธีการในการวิจารณ์ผลงานทัศนศิลป์ ก็เพื่อให้ผู้วิจารณ์สามารถนำวิธีการไปใช้ในการปฏิบัติจริงได้ ขั้นตอนและวิธีการ มีดังนี้ 1.ขั้นการบรรยาย การบรรยาย เป็นขั้นตอนของกระบวนการบันทึกข้อมูลสิ่งต่างๆ จากการสังเกต มองเห็น และพบเจอในผลงานศิลปะ 2.ขั้นการวิเคราะห์ การวิเคราะห์ เป็นขั้นตอนการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่มีในผลงาน การใช้ภาษาทางทัศนศิลป์ 3.ขั้นการตีความหมาย การตีความหมาย เป็นกระบวนการที่ผู้วิจารณ์แสดงออกถึงความหมายต่างๆ ในผลงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน สามารถพิจารณาได้ว่าผลงานทัศนศิลป์ชิ้นนั้นๆ มีแนวคิดอย่างไร เพราะผลงานทุกผลงานล้วนต้องการตีความทั้งสิ้น 4.ขั้นประเมินคุณค่า การประเมินคุณค่าของผลงานทัศนศิลป์ เป็นขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะมีการเปรียบเทียบกับผลงานชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันว่ามีคุณค่าทางทัศนศิลป์และมีสุนทรียภาพมากน้อยต่างกันเพียงใด เป้าหมายของการวิจารณ์ผลงานงานทัศนศิลป์ 1. เพื่อให้ผู้วิจารณ์ได้แสดงออกทางความคิดเห็น และติชม ต่อผลงาน 2. เพื่อให้ผู้วิจารณ์มีข้อมูลและความพร้อมในการวิจารณ์ผลงานทางทัศนศิลป์ทุกสาขา 3. เพื่อเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ของผู้วิจารณ์ให้กับผู้ที่สนใจได้อย่างถูกต้อง 4. เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ความรู้เกี่ยวกับวงการทัศนศิลป์ต่อผู้ที่สนใจ ให้นำไปใช้ประโยชน์หรือเป็นแนวทางในการพัฒนางานทัศนศิลป์ได้ 5. เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ความรู้เกี่ยวกับผลงานทัศนศิลป์ สามารถชื่นชมผลงานทางทัศนศิลป์ได้ 6. เพื่อให้เห็นคุณค่าของงานทัศนศิลป์และได้สัมผัสในรสของศิลปะ การทำแฟ้มสะสมงานทัศนศิลป์ การจัดทำแฟ้มสะสมงาน เป็นสิ่งสำคัญต่อผลงานของตนเอง เพราะผลงานแต่ละชิ้นที่นำมารวบรวมไว้นั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและวามก้าวหน้าของตนเอง ความหมายของแฟ้มสะสมงาน แฟ้มสะสมงาน คือ การรวบรวมผลงานของตัวเอง ที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งที่กำหนด ออกมาเป็นรูปเล่ม มีรายละเอียดเกี่ยวกับผลงาน เพื่อสะท้อนความคิดเห็น ภาพแห่งความสำเร็จ และรูปแบบงานของตนเอง วัตถุประสงค์ของการจัดทำแฟ้มสะสมงาน 1. เพื่อให้ผู้สอนใช้เป็นเครื่องมือในการวัดผลพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน 2. เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสะท้อนความคิดเห็นที่เกิดจากการเรียนรู้ 3. เพื่อเป็นเครื่องมือให้กับผู้สอนในการพัฒนาการเรียนการสอน ส่วนประกอบของแฟ้มสะสมผลงานทัศนศิลป์ 1. ปก ระบุชื่อผู้เรียน เลขประจำตัว ชื่อโรงเรียน โดยออกแบบปกให้สวยงาม 2. คำนำ บอกถึงเหตุผลในการจัดทำแฟ้มสะสมงาน 3. สารบัญ เรียงหัวข้อให้เป็นระเบียบ เพื่อสะดวกในการค้นหาผลงาน 4. ประวัติส่วนส่วนตัว บอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง 5. กิจกรรม บันทึกกิจกรรม / ภาระงานที่ได้รับมอบหมาย 6. บันทึกการปฎิบัติงานและแหล่งเรียนรู้ เขียนบอก วัน เดือน ปี สถานที่ หรือแหล่งค้นคว้าในการเรียนรู้และปฎิบัติงาน 7. วิธีปฎิบัติงาน อธิบายขั้นตอนตั้งแต่ขั้นเตรียม ขั้นปฎิบัติ และขั้นสรุปผลงาน 8. ผลงาน / การประเมิน บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผลงานที่นำมาเก็บไว้มนแฟ้มสะสมงานทัศนศิลป์ 9. แบบประเมินเพิ่มเติม เป็นประเมินที่นักเรียนใช้ประเมินตนเอง หรือผู้อื่นป็นคนประเมินนีกเรียน 10. ภาคผนวก เป็นส่วนของข้อมูลเพิ่มเติม ประโยชน์ของการจัดทำแฟ้มสะสมงาน การจัดทำแฟ้มสะสมงานทัศนศิลป์ เป็นการรวมรวมผลงานที่ผู้เขียนสร้างสรรค์ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เรียน โดยจะเป็นเครื่องมือสำหรับสะท้อนความภาคภูมิใจที่เกิดจากการใช้จินตนาการสร้างสรรค์ผลงานมีโอกาสทบทวนเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ออกมาเป็นผลงานที่มีคุณภาพ นอกจากนี้การทำแฟ้มสะสมงาน ทัศนศิลป์ ยังเป็นประโยชน์ในการศึกษาต่อรวมถึงการทำงาน เพราะเป็นเครื่องการันตีความสามารถได้เป็นอย่างดี |