ใบงานที่1.2 ความสําคัญและการเผยแพร่พระไตรปิฎก

การเผยแผ่พระไตรปิฎก

            พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนใช้ศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้รู้ทั่วถึงพระธรรมวินัยและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พระไตรปิฎกจึงเรียกว่า พระปริยัติสัทธรรมเพราะเป็นบรรทัดฐานให้เกิดมีพระปฏิบัติสัทธรรมคือ ศีล สมาธิ ปัญญา และมีปฏิเวธสัทธรรม คือ มรรค ผล นิพพานเป็นที่สุด ดังนั้น การเผยแผ่พระไตรปิฏกจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา ซึ่งวิธีการเผยแผ่พระไตรปิฎกเป็นดังนี้

            1. การเผยแผ่โดยวิธี “มุขปาฐะ” หรือแบบปากต่อปาก โดยหลังจากพุทธปรินิพพานพระมหาสาวกทั้งหลายได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรกด้วยการรวบรวมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจัดเป็นพระไตรปิฎก คือพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระสงฆ์สาวกต่อ ๆ มาก็ทรงจำแบบจากปากต่อปากที่เรียกว่า “มุขปาฐะ” สั่งสอนสืบต่อ ๆ กันมา 

            2. การเผยแผ่เป็นลายลักษณ์อักษร ในการทำสังคายนาครั้งที่ 5 ในประเทศศรีลังกา (ประมาณ พ.ศ. 433) ได้มีการทำสังคายนาด้วยเกรงว่าการท่องจำพระพุทธจวนะอาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้   ควรจะมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร จึงมีการจารึกเป็นภาษาบาลี(มคธ) ขึ้น และมีการสังคายนาและแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาให้เป็นภาษาของตน 

            3. การเผยแผ่เป็นฉบับภาษาไทย ในประเทศไทยได้มีการแปลเป็นภาษาไทย โดยแบ่งออกเป็น 2 สำนวน คือ แปลโดยอรรถตามความในพระบาลีพิมพ์เป็นเล่มเรียกว่า “พระไตรปิฎกภาษาไทย และอีกสำนวนหนึ่งแปลเป็นสำนวนเทศนา พิมพ์ลงในใบลานเรียกว่า พระไตรปิฏกเทศนาฉบับหลวง

ต่อมาใน พ.ศ. 2514 ได้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาไทยเป็นครั้งที่ 2 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 ได้เสวยราชสมบัติครบ 25 ปี เรียกว่า พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง และครั้งสุดท้ายมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้มีการแปลและจัดพิมพ์ดังได้กล่าวมาแล้ว ในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกให้เป็นภาษาไทย เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เป็นคนไทยทุกคนสามารถเข้ามาศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกได้ ซึ่งเป็นการเผยแผ่พระไตรปิฎกอีกลักษณะหนึ่ง 

            เสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้กล่าวถึงวิธีการถ่ายทอดพระไตรปิฎกว่า ในพระสูตรหลายแห่งเช่น อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต บอกวิธีการศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้การถ่ายทอดคำสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพไว้ 5 ประการคือ 

1. ต้องฟังมาก โดยหาโอกาสสดับตรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้มาก 

 2. จำได้ โดยเมื่อฟังแล้วพยายามจำให้ได้ จับหลักหรือสาระได้ ทรงจำไว้แม่นยำ 

 3. ท่องบ่นสาธยายจนคล่องปาก 

 4. เพ่งพินิจพิจารณาความหมายด้วยใจจนนึกครั้งใดก็ปรากฏเนื้อหาความสว่างชัด 

 5. ขบให้แตก คือทำความเข้าใจลึกซึ้ง มองเห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ทั้งแง่ความหมายและเหตุผล 

            วิธีการทั้ง 5 นี้ เอื้ออำนวยให้ระบบการถ่ายทอดหลักคำสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสืบทอดต่อ ๆ กันมาเป็นเวลานานหลังจากพุทธปรินิพพาน เนื่องจากคำสอนของพระพุทธองค์มีมากมาย เกินความสามารถของปัจเจกบุคคลคนเดียวจะจำได้หมด จึงได้มีการแบ่งหน้าที่กันในหมู่สงฆ์ ให้บางรูปที่เชี่ยวชาญทางพระวินัยรับผิดชอบท่องจำพระวินัย บางรูปท่องพระสูตร เป็นต้น

สาระสำคัญ/ความคิดรวมยอด

 พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาไว้เป็นหมวดหมู่ นับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับใช้เป็นหลักปฏิบัติตนของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน แบ่งเป็น ๓ หมวด คือ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ในพระไตรปิฎก มีเรื่องน่ารู้มากมายรวมถึงพุทธศาสนสุภาษิต ซึ่งเป็นพุทธวจนะที่เป็นคติสอนใจให้กระทำความดี

ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้

ตัวชี้วัด ป.๕/๔ อธิบายองค์ประกอบและความสำคัญของพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ของศาสนาที่ตนนับถือ

จุดประสงค์

ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K)

๑.  อธิบายความหมายและความสำคัญของพระไตรปิฎกได้

ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)

๑. วิเคราะห์ถึงองค์ประกอบและความสำคัญของพระไตรปิฎกได้

ด้านคุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A)

๑. ตระหนักในความสำคัญและคุณค่าของพระไตรปิฎก

การวัดผลและประเมินผล

๑. แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม

๒. แบบประเมินการตอบคำถาม

๓. แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้

๔ แบบประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน