การเผยแผ่พระไตรปิฎก พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนใช้ศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้รู้ทั่วถึงพระธรรมวินัยและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พระไตรปิฎกจึงเรียกว่า พระปริยัติสัทธรรมเพราะเป็นบรรทัดฐานให้เกิดมีพระปฏิบัติสัทธรรมคือ ศีล สมาธิ ปัญญา และมีปฏิเวธสัทธรรม คือ มรรค ผล นิพพานเป็นที่สุด ดังนั้น การเผยแผ่พระไตรปิฏกจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา ซึ่งวิธีการเผยแผ่พระไตรปิฎกเป็นดังนี้ 1. การเผยแผ่โดยวิธี “มุขปาฐะ” หรือแบบปากต่อปาก โดยหลังจากพุทธปรินิพพานพระมหาสาวกทั้งหลายได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรกด้วยการรวบรวมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจัดเป็นพระไตรปิฎก คือพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระสงฆ์สาวกต่อ ๆ มาก็ทรงจำแบบจากปากต่อปากที่เรียกว่า “มุขปาฐะ” สั่งสอนสืบต่อ ๆ กันมา 2. การเผยแผ่เป็นลายลักษณ์อักษร ในการทำสังคายนาครั้งที่ 5 ในประเทศศรีลังกา (ประมาณ พ.ศ. 433) ได้มีการทำสังคายนาด้วยเกรงว่าการท่องจำพระพุทธจวนะอาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้ ควรจะมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร จึงมีการจารึกเป็นภาษาบาลี(มคธ) ขึ้น และมีการสังคายนาและแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาให้เป็นภาษาของตน 3. การเผยแผ่เป็นฉบับภาษาไทย ในประเทศไทยได้มีการแปลเป็นภาษาไทย โดยแบ่งออกเป็น 2 สำนวน คือ แปลโดยอรรถตามความในพระบาลีพิมพ์เป็นเล่มเรียกว่า “พระไตรปิฎกภาษาไทย และอีกสำนวนหนึ่งแปลเป็นสำนวนเทศนา พิมพ์ลงในใบลานเรียกว่า พระไตรปิฏกเทศนาฉบับหลวง ต่อมาใน พ.ศ. 2514 ได้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาไทยเป็นครั้งที่ 2 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 ได้เสวยราชสมบัติครบ 25 ปี เรียกว่า พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง และครั้งสุดท้ายมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้มีการแปลและจัดพิมพ์ดังได้กล่าวมาแล้ว ในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกให้เป็นภาษาไทย เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เป็นคนไทยทุกคนสามารถเข้ามาศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกได้ ซึ่งเป็นการเผยแผ่พระไตรปิฎกอีกลักษณะหนึ่ง เสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้กล่าวถึงวิธีการถ่ายทอดพระไตรปิฎกว่า ในพระสูตรหลายแห่งเช่น อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต บอกวิธีการศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้การถ่ายทอดคำสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพไว้ 5 ประการคือ
วิธีการทั้ง 5 นี้ เอื้ออำนวยให้ระบบการถ่ายทอดหลักคำสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสืบทอดต่อ ๆ กันมาเป็นเวลานานหลังจากพุทธปรินิพพาน เนื่องจากคำสอนของพระพุทธองค์มีมากมาย เกินความสามารถของปัจเจกบุคคลคนเดียวจะจำได้หมด จึงได้มีการแบ่งหน้าที่กันในหมู่สงฆ์ ให้บางรูปที่เชี่ยวชาญทางพระวินัยรับผิดชอบท่องจำพระวินัย บางรูปท่องพระสูตร เป็นต้น สาระสำคัญ/ความคิดรวมยอดพระไตรปิฎก คือ คัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาไว้เป็นหมวดหมู่ นับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับใช้เป็นหลักปฏิบัติตนของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน แบ่งเป็น ๓ หมวด คือ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ในพระไตรปิฎก มีเรื่องน่ารู้มากมายรวมถึงพุทธศาสนสุภาษิต ซึ่งเป็นพุทธวจนะที่เป็นคติสอนใจให้กระทำความดี ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ตัวชี้วัด ป.๕/๔ อธิบายองค์ประกอบและความสำคัญของพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ของศาสนาที่ตนนับถือ จุดประสงค์ ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) ๑. อธิบายความหมายและความสำคัญของพระไตรปิฎกได้ ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ๑. วิเคราะห์ถึงองค์ประกอบและความสำคัญของพระไตรปิฎกได้ ด้านคุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A) ๑. ตระหนักในความสำคัญและคุณค่าของพระไตรปิฎก การวัดผลและประเมินผล๑. แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ๒. แบบประเมินการตอบคำถาม ๓. แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ๔ แบบประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน |