การศ กษาความพ งพอใจของน กเร ยนท ม ต อการจ ดการเร ยนการสอนแบบโครงงาน

และทกั ษะทเี่ กิดข้ึนในห้องเรยี นปกติกับห้องเรยี นท่ี จัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน ซ่ึงสรปุ เปรียบเทยี บได้ ดังนี้

ตารางท่ี 1 ข้อแตกตา่ งของการสอนทัว่ ไปกบั การจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงาน

การสอนปกติ การจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน

1. เพอ่ื ฝึกทกั ษะการแสวงหาความรู้ 1. เพื่อฝึกทกั ษะการวางแผนเก็บข้อมลู

2. กจิ กรรมเป็นไปตามท่ีกำหนดไว้ 2. กิจกรรมเป็นแบบอิสระมีเสรภี าพ

3. ครเู ปน็ ผู้บอกหรือใหน้ ักเรยี นทำกจิ กรรม 3.ครูเปน็ ผใู้ ห้แนวทางแกน่ กั เรียน

4. นักเรยี นเรยี นตามขนั้ ตอนทค่ี รกู ำหนด 4. นักเรยี นมอี ิสระในการเลือกทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ

4

5. แรงจูงใจภายนอกมีบทบาทสำคัญในการ กระตุ้น 5. แรงจงู ใจภายในของนักเรยี นมบี ทบาทสำคัญท่ี ใหน้ ักเรยี นเรียนร กระตุ้น ให้นักเรยี นร่วมกิจกรรมกบั กลมุ่

6. ครูคอยตรวจสอบข้อบกพร่องของนักเรยี น 6. ค รูตระหนักถึงการพฒั นาศกั ยภาพของนักเรียน ให้เกิดข้ึน

ตารางที่ 2 ตัวอยา่ งของกจิ กรรมและทักษะที่เกดิ ขนึ้ ในห้องเรยี นปกติกับห้องเรยี นทจี่ ัดการ เรียนรแู้ บบ

โครงงาน

การสอนปกติ การจดั การเรยี นรูแ้ บบโครงงาน

ตัวอย่างกจิ กรรม ครกู ำหนดเวลา นักเรยี นทำกจิ กรรมสำรวจเพ่ือดู

สรา้ งกราฟแท่ง การเปลย่ี นแปลงของมลภาวะน้ำ

ออกแบบการทดลอง

ลักษณะกิจกรรม กำหนดขน้ั ตอนจำกัด เชอ่ื มโยงกับบรบิ ทสภาพจริง การ

เลอื กมาจากความพงึ พอใจ ของ

นักเรียนกจิ กรรม สบื เสาะ และ

เป็นแบบปลายเปดิ

ครู คอยสอน ให้แนวทาง

คอยส่งั ให้คำแนะนำเป็นทางเลอื ก

คอยบอก สังเกตฟังตั้งคำถามกระตนุ้ ให้

กระตุ้นใหน้ ักเรียนใช้ความ นกั เรยี นแสดงความคิด

พยายาม

นกั เรียน ยงั ไม่สามารถทำกิจกรรมตาม สามารถใช้ทักษะต่าง ๆ เลือกทำ

ลำพังโดยไม่มีครูคอยประเมิน กจิ กรรมไดอ้ ยา่ งอสิ ระและมีการ

ขอคำปรกึ ษาและความ ร่วมมือ

จากผู้เกย่ี วข้อง

ประเภทของโครงงาน โครงงานท่นี ำมาใช้ในการจัดการเรยี นรอู้ าจจดั ได้เป็น 3 ประเภท คอื

  1. โครงงานสำรวจ โครงงานสำรวจเปน็ การสำรวจความรู้ท่มี ีอยแู่ ลว้ ในธรรมชาติ หรอื สภาพที่เปน็ อยู่ในปจั จุบนั (What it

is) โครงงานประเภทน้ีเป็นโครงงานท่ีมวี ัตถุประสงค์เพ่ือสำรวจและรวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกับ เรือ่ งใดเร่ืองหนึ่ง แล้วนำขอ้ มูล ท่ีไดจ้ ากการสำรวจน้นั มาจำแนกเปน็ หมวดหมู่ และนำเสนอแบบต่างๆ อย่างมี แบบแผนเพ่อื ให้ เหน็ ถงึ ลักษณะหรือความสัมพันธข์ องเร่ืองดงั กลา่ วได้ชดั เจนย่งิ ข้นึ การปฏิบตั ิ ตามโครงงานน้ีนกั เรยี นจะต้องไป ศกึ ษารวบรวมข้อมลู ดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ เชน่ สอบถาม สมั ภาษณ์ สำรวจโดยใช้เครือ่ งมือ เช่น แบบสงั เกต แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ แบบบนั ทึก ฯลฯ ในการ รวบรวมขอ้ มูลที่ตอ้ งการศึกษา

  1. โครงงานทดลอง โครงงานประเภทนเ้ี ปน็ โครงงานทีม่ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ การศึกษา เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงว่าจะเกิด อะไรหรอื จะมีอะไรเกิดขึน้ (What it will be) เมอื่ มีการทดลองสิ่งท่ีจดั กระทำขน้ึ คือ ตัวแปรตน้ เพ่ือ ศึกษาว่าจะมผี ล

5

ตอ่ ตัวแปร ที่ต้องการศึกษาคือตัวแปรตามอยา่ งไร ดว้ ยมีการควบคมุ ตวั แปรอ่ืนๆ คือ ตัวแปร ควบคมุ ท่ีอาจมี

ผลต่อตวั แปรตาม

  1. โครงงานประดิษฐ์

โครงงานประเภทนีเ้ ป็นโครงงานทีม่ วี ัตถปุ ระสงคค์ ือ การนำความรู้ มีทฤษฎี หลกั การหรือ แนวคิดมา

ประยุกต์ใช้ โดยการประดิษฐเ์ ป็นเครอ่ื งมือ และเคร่ืองใช้ต่างๆ เพอ่ื ประโยชน์ในการเรียน การทำงาน หรือการ

ใชส้ อยอน่ื ๆ มี การประดิษฐ์คิดค้นตามโครงงานนีอ้ าจเป็นการประดิษฐข์ น้ึ มาใหม่ โดยทยี่ ังไม่มีใครทำ หรืออาจ

เปน็ การปรับปรงุ เปลี่ยนแปลง และดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แลว้ ใหม้ ี ประสทิ ธิภาพสงู ขน้ึ กวา่ ทเ่ี ปน็ อยู่ รวมทั้ง

การสรา้ งแบบจำลองต่างๆ โครงงานประเภทนี้มีการทดลอง เพ่ือปรับปรุงแก้ไขเปน็ ระยะจงึ เรียกว่า โครงงาน

ทดลองเชงิ พฒั นา

โครงงานทั้ง 3 ประเภท มีความเหมอื นและความแตกต่างกัน ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี

ตารางท3่ี การเปรยี บเทยี บความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ ง การทำโครงงานสำรวจ โครงงานทดลอง

และโครงงานประดษิ ฐ์

ความเหมือน ความแตกต่าง

โครงงานสำรวจ โครงงานทดลอง โครงงานประดิษฐ์

1. ใชว้ ิธกี ารทาง 1. หาคำตอบที่มอี ยู่แล้ว 1. ยงั ไม่มีคำตอบท่ี 1. สรา้ ง/ประดษิ ฐ์ /

วทิ ยาศาสตร์ โดยให้ (What it is) ชัดเจน/ถูกตอ้ ง (What พัฒนาชิ้นงานใหม่

นกั เรียนทำเอง it will be) พรอ้ มดว้ ยวิธกี าร ใหม่

สูตรใหม่

2. ไดอ้ งคค์ วามรู้ ใหม่ 2. ใช้วธิ ีการหาขอ้ มูล 2. ตอ้ งมีการตรวจสอบ 2 ตอ้ งมีการทดลองเชิง

ชิ้นงาน หลากหลาย เช่น สังเกต คำตอบ โดยมีตวั แปร พฒั นาเป็นระยะ ๆ และ

สอบถาม สัมภาษณ์ ตน้ /ตัวแปรจัดกระทำ ต้องบนั ทึกข้อมูลเป็น

สืบคน้ เอกสารเปน็ ตน้ ระยะ ๆ ด้วย

3. ปญั หาเรม่ิ จาก การ 3. ตอ้ งมกี ารวเิ คราะห์ 3. เก็บข้อมูลด้วยการ 3. เกบ็ ขอ้ มลู ด้วยการ

คิด/ สังเคราะห์ การ ข้อมลู และอาจใชต้ วั เลข ทดลองและวธิ ีรวบรวม สำรวจ และทดลองเปน็

รเิ ริม่ ประกอบการวเิ คราะห์ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ระยะ ๆ จนกวา่ จะได้

ประกอบการทดลอง ส่ิงประดิษฐใ์ หม่ เปน็ การ

ทดลองเชงิ พัฒนา

6

บทท่ี 2 ขัน้ ตอน บทบาท และการประเมนิ ของการเรยี นรู้แบบโครงงานเปน็ ฐาน

ข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน การจดั การเรยี นรู้แบบโครงงานมีกระบวนการหรอื ขน้ั ตอน ในการจดั การเรียนรู้ท่ไี ม่ตายตัว เนน้ ท่ีการ

นำกระบวนการในการทำโครงงาน (project) มาใช้เป็นแนวทางหรือขั้นตอนของกิจกรรมการเรยี นรใู้ นชนั้ เรยี น ดงั นั้นในบางครั้งการจัดการเรียนรใู้ นรปู แบบน้ีจงึ ถูกเรียกวา่ การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน ซ่งึ แตกต่างไปจากการการทำ โครงงานส้ัน ๆ เช่น Baron (2010) กลา่ วถึง 6 ขนั้ ตอนการวางแผนสำหรบั การทำโครงงานที่จะประสบ ความสำเรจ็ ดังนี้

ขัน้ ตอนท่ี 1. การพัฒนาหัวข้อทน่ี า่ สนใจที่ครอบคลมุ และเปิดโอกาสให้นักเรียนไดท้ ำ โครงงานอยา่ งอสิ ระ

ขนั้ ตอนท่ี 2. การพัฒนาหรือการออกแบบผลิตภัณฑ์สุดทา้ ยที่ครอบคลมุ ท่ีนักเรียนแตล่ ะคน จะมีบทบาทในการสร้างและสามารถนำมาใช้ในชีวติประจำวนั

ขน้ั ตอนท่ี 3. การมสี ว่ นร่วมกับองค์กรวิชาชีพ และผเู้ ช่ียวชาญจากทุกส่วนเพ่อื สัมพันธ์กับ การศกึ ษาทางวิชาการกบั โลกแห่งความจริง และให้นกั เรียนสวมบทบาทเป็นมืออาชีพ หมายถงึ การทำ วิจยั อย่างมอื อาชีพ

ขนั้ ตอนท่ี 4. การระบุและการจดั ระเบยี บแหล่งการเรยี นรู้ท่ีสำคญั สำหรบั การค้นหาขอ้ มูล ขัน้ ตอนที่ 5. การประสานงานจัดตาราง การวางแผน เพ่อื ใหแ้ นใ่ จวา่ งานแตล่ ะชน้ิ จะทำ ได้อย่างราบรน่ื จากที่หน่ึงไปยังอีกทีห่ นึง่ ขั้นตอนที่ 6. วางแผนนำประสบการณ์สดุ ท้ายหรือ เหตกุ ารณ์สงู สุด ผลงานของนักเรียน แสดงให้โรงเรียน ชุมชนไดช้ ม KM CHIL (2015) อธิบายขัน้ ตอนทส่ี ำคัญในการจัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน ดังนี้ STEP 1 การเตรียมความพร้อม ครูเตรยี มมอบหมายโครงงานโดยระบุในแผนการสอนในช้ัน เรียนครู อาจกำหนดขอบเขตของโครงงานอย่างกว้างๆ ให้สอดคล้องกบั รายวิชาหรอื ความถนัดของ นกั เรยี น และ เตรียมแหลง่ เรยี นรู้ ขอ้ มลู ตัวอย่างเพอ่ื เปน็ แนวทางให้นักเรียนไดศ้ ึกษา ค้นคว้าเพ่ิมเตมิ สามารถใชเ้ ว็บไซต์หรอื โปรแกรม moodle ในการ update ข้อมูลแหลง่ เรยี นร้แู ละ การกำหนดหนัด หมายตา่ ง ๆ เกย่ี วกับการดำเนิน โครงงานได้ STEP 2 การคิดและเลือกหวั ข้อใหน้ กั เรียนเป็นผ้สู รา้ งทางเลือกในการออกแบบ โครงงาน เองเพื่อเปิด โอกาสให้รู้จกั การค้นควา้ และสรา้ งสรรคค์ วามรู้เชิงนวตั กรรม ครอู าจใหผ้ ูเ้ รยี น ทบทวน วรรณกรรมท่เี ก่ยี วข้อง ก่อนเพ่ือเปน็ แนวทางในการเลอื กหวั ขอ้ การทำงานเปน็ ทีม กระตุ้น ใหเ้ กิด brain storm จะทำให้เกดิ ทักษะ ทกั ษะการคิดเชงิ วิพากษ์ ทักษะการสอ่ื สารและทักษะการ สร้าง ความร่วมมอื

STEP 3 การเขียนเค้าโครง การเขยี นเคา้ โครงของโครงงาน เป็นการสร้าง mind map แสดงแนวคิด แผนและขนั้ ตอนการทำโครงงานเพื่อใหผ้ เู้ กี่ยวข้องมองเหน็ ภาระงาน บทบาท และ ระยะเวลาในการ ดำเนินงานทำใหส้ ามารถปฏิบัตโิ ครงงานได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพมากขนึ้

7

STEP 4 การปฏบิ ัติโครงงานนักเรียนลงมอื ปฏบิ ัติตามแผนท่ีวางไวใ้ นเคา้ โครงของโครงงาน ถา้ มกี าร วางเค้าโครงเอาไว้แล้วนกั เรียนจะรูไ้ ด้เองวา่ จะตอ้ งทำอะไรในข้ันตอนต่อไป โดยไมต่ ้องรอถาม ครูในระหวา่ ง การดำเนนิ การครูผ้สู อนอาจมีการให้คำปรึกษาอย่างใกลช้ ดิ หรอื ร่วม แก้ปญั หาไปพรอ้ ม ๆ กบั นักเรียน

STEP 5 การนำเสนอโครงงาน นักเรยี นสรุปรายงานผล โดยการเขยี นรายงานหรือการ นำเสนอใน รปู แบบอ่นื ๆ เช่น แผน่ พับ โปสเตอร์จัดนิทรรศการรายงานหนา้ ชั้นส่งงานทางเวบ็ ไซต์หรือ อีเมลถ้ามีการ ประกวดหรือแขง่ ขันด้วยจะทำให้นักเรียนเกิดความกระตือรอื ร้นมากขึ้น

STEP 6 การประเมินผลโครงงานการประเมนิ โครงงานควรมีการประเมินผลการ เรยี นรโู้ ดย หลากหลาย (muiti evaluation) เช่น นักเรียนประเมินตนเอง ประเมินซง่ึ กันและกัน ประเมนิ จาก บุคคลภายนอกการประเมนิ จะไม่วดั เฉพาะความรู้หรอื ผลงานสุดทา้ ยเพยี งอย่างเดียวแต่ จะวดั กระบวนการที่ ไดม้ าซึ่งผลงานด้วย การประเมินโดยครหู ลายคนจะเปน็ การสร้างปฏิสัมพนั ธ์ และทำให้ เกิดการแลกเปล่ยี น เรียนรู้ระหว่างครูดว้ ยกันอีกด้วย

ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงาน สำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษาและกระทรวงศกึ ษาธิการ ทม่ี า: //candmbsri.wordpress.com/2015/04/08/ %8A-2/

1. ขน้ั นำเสนอ หมายถึง ขัน้ ที่ผู้สอนใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาใบความรู้ กำหนดสถานการณ์ ศกึ ษาสถานการณ์ เลน่ เกม ดูรูปภาพ หรือผู้สอนใช้เทคนิคการตง้ั คำถามเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ท่ีกำหนดในแผนการจัดการ เรียนรแู้ ต่ละแผน เช่น สาระการเรยี นรตู้ ามหลักสุตรและสาระการเรยี นร้ทู ีเ่ ป็นขั้นตอนของโครงงานเพ่ือใช้เปน็ แนวทางในการวางแผนการเรียนรู้

2. ข้นั วางแผน หมายถึง ขน้ั ท่ีผู้เรยี นร่วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารือข้อสรุป ของกลุ่ม เพ่ือใช้เปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิ

3. ขั้นปฏบิ ัติ หมายถึง ขัน้ ที่ผู้เรยี นปฏบิ ัตกิ ิจกรรม เขยี นสรุปรายงานผลทีเ่ กดิ ขึ้นจากการวางแผน ร่วมกนั

4. ข้นั ประเมินผล หมายถึง ขั้นการวดั และประเมินผลตามสภาพจริง โดยใหบ้ รรลจุ ดุ ประสงคก์ าร เรยี นรู้ทีก่ ำหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยมีผ้สู อน ผู้เรยี นและเพ่ือนร่วมกนั ประเมิน

วิจารณ์ พาณิช (2555 :71-75) กลา่ ววา่ เครอ่ื งมอื ของการเรียนรอู้ ยา่ งมีพลังคือ จกั รยานแห่ง การ เรยี นรู้ ซ่ึงมีวงลอ้ ประกอบดว้ ย ๔ สว่ น คือ Define, Plan, Do และ Review วงล้อมี ๒ วง วงหนง่ึ เป็นของ นักเรยี นอีกวงหน่ึงเปน็ ของครูหลักสำคญั คือ วงล้อจกั รยานแหง่ การเรยี นร้ขู องนักเรียนกับครู ต้องไปดว้ ยกัน อย่างสอดคล้องเช่ือมโยงกัน “จกั รยาน” น้ีคือโมเดลการเรียนรูแ้ บบ PBL นั่นเองโดย จะมีชน้ิ อน่ื ๆ มา

8

ประกอบเขา้ เปน็ จักรยานแห่งการเรียนรแู้ บบ PBL และจะต้องมี “พ้นื ถนน” ท่มี ี “ความลาดเอียง” เปน็ ส่วนประกอบของการเรียนรทู้ ี่จะกลา่ วถึงภายหลงั หากจะให้การเรียนรู้มพี ลัง จดจำ ไปจนวันตายตอ้ งเรียนโดย ลงมือทำเปน็ โครงงาน (project) ร่วมมือกนั ทำเปน็ ทีม ทำกับปัญหา ทีอ่ ยใู่ นชีวิตจรงิ ในแต่ละชิน้ ส่วน (Define, Plan, Do, Review) ของวงล้อมกี ารเรยี นรเู้ ล็ก ๆ อยู่เต็มไป หมดหากครูโค้ชดีการเรียนรเู้ หลา่ นแ้ี หละท่ีทำให้ เกดิ การเรียนรู้อยา่ งมีพลงั ตรงกันข้ามหากครูโค้ช ไม่ เป็นการเรยี นร้กู ็จะต้ืนไม่เช่ือมโยงไม่สนุกและไมม่ ีพลัง แตเ่ ราตอ้ งไม่ลมื วา่ การเรียนแบบนเ้ี ป็น ของใหมไ่ ม่มคี รูคนไหนโคช้ เป็นจึงต้องทำไปเรยี นรู้ไปรวมทงั้ มีเครือขา่ ย เรียนรคู้ รูเพ่ือศษิ ย์เปน็ ตัวช่วย การแลกเปล่ยี นเรยี นรวู้ ธิ โี คช้

โมเดล จกั รยานแหง่ การเรยี นรแู้ บบ PBL ท่มี า: //candmbsri.wordpress.com/2015/04/08/ %8A-2/ 1. Define คือ ข้นั ตอนการทำใหส้ มาชกิ ของทมี งาน รว่ มทง้ั ครูดว้ ยมคี วามชดั เจนรว่ มกนั ว่า คำถาม ปญั หา ประเดน็ ความทา้ ทายของโครงการคืออะไร และเพ่ือใหเ้ กิดการเรยี นรู้อะไร 2. Plan คือ การวางแผนการทำงานในโครงการ ครูก็ตอ้ งวางแผน กำหนดทางหนีทไี ล่ในการทำหนา้ ที่ โคช้ รวมท้งั เตรียมเคร่อื งอำนวยความสะดวกในการทำโครงการของนกั เรยี น และทส่ี ำคัญ เตรียมคำถามไว้ถาม ทมี งานเพ่ือกระตุน้ ใหค้ ิดถงึ ประเด็นสำคญั บางประเดน็ ที่นักเรยี นมองข้าม โดยถือหลักวา่ ครูตอ้ งไมเ่ ข้าไป ช่วยเหลอื จนทีมงานขาดโอกาสคิดเองแกป้ ญั หาเอง นกั เรียนท่เี ป็นทมี งานกต็ ้องวางแผนงานของตน แบ่งหนา้ ท่ี รบั ผดิ ชอบ การประชุมพบปะระหวา่ งทีมงาน การแลกเปลย่ี นข้อคน้ พบแลกเปลีย่ นคำถาม แลกเปลีย่ นวธิ กี าร ยิง่ ทำความเขา้ ใจร่วมกนั ไว้ชดั เจนเพียงใด งานในข้นั Do ก็จะสะดวกเลื่อนไหลดเี พียงนั้น 3. Do คอื การลงมอื ทำ มักจะพบปัญหาท่ีไม่คาดคดิ เสมอ นกั เรียนจึงจะได้เรยี นรู้ทักษะในการ แกป้ ญั หา การประสานงาน การทำงานร่วมกันเป็นทมี การจดั การความขัดแย้ง ทักษะในการทำงานภายใต้ ทรพั ยากรจำกดั ทักษะในการค้นหาความรเู้ พ่มิ เติมทักษะในการทำงานในสภาพที่ทีมงานมีความแตกตา่ ง หลากหลาย ทักษะการทำงานในสภาพกดดนั ทักษะในการบันทึกผลงาน ทักษะในการวเิ คราะหผ์ ล และ แลกเปล่ยี นขอ้ วเิ คราะห์กับเพื่อนร่วมทมี เป็นต้น

9

ในขน้ั ตอน Do น้ี ครูเพ่ือศิษย์จะได้มโี อกาสสงั เกตทำความรู้จักและเขา้ ใจศิษยเ์ ป็นรายคน และเรียนรู้หรอื ฝึก ทำหนา้ ทีเ่ ปน็ “วาทยากร” และโคช้ ดว้ ย

4. Review คือ การท่ที ีมนักเรียนจะทบทวนการเรียนรู้ ทไ่ี มใ่ ช่แคท่ บทวนว่า โครงการได้ผลตามความ มุ่งหมายหรือไม่ แตจ่ ะต้องเน้นทบทวนวา่ งานหรือกจิ กรรม หรือพฤติกรรมแต่ละขัน้ ตอนได้ให้บทเรียนอะไรบา้ ง เอาทง้ั ขั้นตอนท่ีเปน็ ความสำเร็จและความลม้ เหลวมาทำความเขา้ ใจ และกำหนดวธิ ที ำงานใหม่ทถ่ี ูกต้อง เหมาะสมรวมทั้งเอาเหตุการณร์ ะทึกใจ หรือเหตุการณ์ท่ีภาคภูมิใจ ประทับใจ มาแลกเปลีย่ นเรยี นร้กู นั ข้นั ตอน นี้เปน็ การเรยี นรู้แบบทบทวนไตรต่ รอง (reflection) หรือในภาษา KM เรยี กวา่ AAR (After Action Review)

5. Presentation คอื การนำเสนอโครงการต่อชั้นเรียน เป็นข้ันตอนท่ีใหก้ ารเรยี นรู้ทักษะอีกชดุ หนึ่ง ต่อเนื่องกับขนั้ ตอน Review เปน็ ขน้ั ตอนท่ีทำใหเ้ กิดการทบทวนขน้ั ตอนของงานและการเรยี นรทู้ ่เี กิดขน้ึ อย่าง เข้มขน้ แล้วเอามานำเสนอในรปู แบบท่ีเรา้ ใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้ (ปัญญา) ทีมงานของนกั เรียนอาจสรา้ ง นวตั กรรมในการนำเสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนำเสนอเปน็ การรายงานหน้าชน้ั มี เพาเวอร์ พอยท์ (PowerPoint) ประกอบ หรอื จดั ทำวดี ิทศั นน์ ำเสนอ หรือนำเสนอเป็นละคร เป็นตน้

ในแนวทางการจัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน จะใชข้ องดุษฎี โยเหลา และคณะ เพราะขน้ั ตอนมีความชดั แจน ไม่ซบั ซ้อน สามรรถนำไปปรบั ใชไ้ ดง้ า่ ย

ดษุ ฎี โยเหลา และคณะ (2557) แนวคดิ ทป่ี รบั จากการศกึ ษาการจดั การเรียนรู้ แบบ PBL ท่ีไดจ้ าก โครงงานสรา้ งชดุ ความรเู้ พ่ือสร้างเสรมิ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเดก็ และเยาวชน: จากประสบการณ์ ความสำเร็จของโรงเรยี นไทยมที งั้ หมด 6 ขนั้ ตอน ดงั นี้

ขั้นตอนการจดั การเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ท่ีมา: //candmbsri.wordpress.com/2015/04/08

10

1. ข้นั ใหค้ วามรพู้ น้ื ฐาน ครูให้ความร้พู น้ื ฐานเก่ียวกบั การทำโครงงานก่อนการเรียนรู้ เน่ืองจากการทำ โครงงานมีรปู แบบและขนั้ ตอนทชี่ ัดเจนและรดั กุม ดังนัน้ ผเู้ รียนจึงมคี วาม จำเป็นอยา่ งยิ่งท่จี ะต้องมีความรู้ เกีย่ วกบั โครงงานไวเ้ ป็นพ้ืนฐาน เพื่อใช้ในการปฏิบตั ิขณะทำงานโครงงานจรงิ ในขน้ั แสวงหาความรู้

2. ขนั้ กระตุ้นความสนใจ ครูเตรยี มกิจกรรมทีจ่ ะกระตนุ้ ความสนใจของผเู้ รียน โดยตอ้ งคิด หรอื เตรียม กจิ กรรมที่ดึงดูดใหผ้ ู้เรียนสนใจ ใคร่รู้ ถงึ ความสนุกสนานในการทำโครงงาน หรือกจิ กรรม ร่วมกัน โดยกจิ กรรม นนั้ อาจเป็นกิจกรรมท่ีครูกำหนดขึ้น หรอื อาจเปน็ กจิ กรรมที่ ผเู้ รียนมคี วามสนใจ ต้องการจะทำอยู่แลว้ ทั้งน้ีใน การกระตนุ้ ของครจู ะต้องเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รยี น เสนอจากกจิ กรรมท่ีได้ เรยี นรผู้ า่ นการจดั การเรยี นร้ขู องครูท่ี เกีย่ วข้องกับชมุ ชนท่ีผเู้ รยี นอาศัยอยู่หรอื เป็นเรื่องใกลต้ ัวที่ สามารถเรยี นรู้ได้ด้วยตนเอง

3. ขั้นจัดกลมุ่ ร่วมมือ ครูให้ผเู้ รียนแบ่งกลุ่มกนั แสวงหาความรู้ ใชก้ ระบวนการกล่มุ ในการ วางแผนดำ เนนิ กจิ กรรม โดยนกั เรยี นเป็นผรู้ ว่ มกนั วางแผนกจิ กรรมการเรียนของตนเอง โดยระดม ความคิดและหารือ แบง่ หนา้ ที่เพือ่ เปน็ แนวทางปฏิบตั ริ ว่ มกัน หลงั จากทไ่ี ด้ทราบหวั ขอ้ สิง่ ทต่ี นเองต้อง เรยี นรใู้ นภาคเรียนน้นั ๆ เรยี บร้อยแล้ว

4. ขน้ั แสวงหาความรู้ ในขัน้ แสวงหาความรูม้ แี นวทางปฏิบัตสิ ำหรับผูเ้ รียนในการทำ กจิ กรรมดงั นี้ นักเรยี นลงมือปฏิบัติกิจกรรมโครงงานตามหวั ข้อท่ีกล่มุ สนใจ ผ้เู รยี นปฏบิ ตั ิหน้าที่ ของ ตนตามข้อตกลงของกลมุ่ พร้อมท้ังรว่ มมอื กันปฏิบัติกิจกรรม โดยขอคำปรึกษาจากครเู ป็นระยะ เมื่อมี ขอ้ สงสัยหรอื ปัญหาเกิดข้ึนผเู้ รยี นรว่ มกันเขยี นรูปเลม่ สรุปรายงานจากโครงงานที่ตนปฏิบัติ

5. ขัน้ สรปุ ส่ิงทีเ่ รียนรคู้ รใู ห้ผู้เรียนสรุปส่ิงที่เรยี นรู้จากการทำกจิ กรรม โดยครใู ช้ คำถาม ถามผูเ้ รยี นนำไปสู่การสรปุ ส่ิงทเ่ี รียนรู้

6. ขั้นนำเสนอผลงาน ครใู หผ้ เู้ รียนนำเสนอผลการเรยี นรู้ โดยครูออกแบบกิจกรรม หรือจัด เวลาใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ สนอสงิ่ ท่ตี นเองได้เรยี นรู้ เพื่อให้เพ่ือนร่วมช้นั และผู้เรยี นอืน่ ๆ ในโรงเรียนได้ชม ผลงานและเรยี นรู้กจิ กรรมทผ่ี ู้เรยี นปฏบิ ตั ิในการทำโครงงาน บทบาทผู้สอนและผเู้ รียนของการจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงาน

บทบาทของครกู ่อนการจดั การเรยี นรใู้ นการจัดการเรยี นรู้แต่ละครั้ง ครจู ะตอ้ งเปน็ ผูท้ ี่มีความ พรอ้ ม และมีความแม่นยำในเน้อื หา เพอ่ื ใหก้ ารจดั การเรียนรูเ้ ปน็ ไปอย่างราบรน่ื และสามารถอำนวย ความสะดวกให้ ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้ได้ขณะปฏบิ ตั ิกิจกรรม ซง่ึ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ดงั กลา่ วมีแนวทางในการจดั การ เรียนรู้ 2 รปู แบบ คอื การจัดกิจกรรมตามความสนใจของผู้เรียนและการจัด กจิ กรรมตามสาระการเรยี นรู้

การจัดกิจกรรมตามความสนใจของผู้เรยี นเปน็ การจัดกิจกรรมทีใ่ ห้ ผเู้ รยี นเลอื กศกึ ษาโครงงานจากส่งิ ทสี่ นใจอยากรทู้ ่มี ีอยใู่ นชีวติ ประจำวัน ส่งิ แวดลอ้ มในสงั คมหรือจาก ประสบการณ์ต่าง ๆ ทย่ี งั ต้องการคำตอบ ขอ้ สรปุ ซ่ึงอาจจะอยนู่ อกเหนือจากสาระการเรยี นรู้ใน บทเรยี นของหลกั สตู ร

การจัดกิจกรรมตามสาระการเรยี นรู้ เป็นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยยดึ เน้อื หาสาระตามท่ี หลักสตู ร กำหนด ผู้เรียนเลอื กทำโครงงานตามที่สาระการเรยี นรู้ จากหนว่ ยเนอื้ หาทเี่ รียนในชั้นเรียน นำมาเปน็ หัวขอ้ โครงงาน

11

ตารางที่ 4 บทบาทผ้สู อนและผู้เรยี นในการจัดการเรยี นร้แู บบโครงงานเปน็ ฐาน แสดงตามข้นั ตอนการจัดการ เรยี นรโู้ ครงงานเป็นฐานของดุษฎี โยเหลา และคณะ

ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรู้ บทบาทผู้สอน บทบาทผูเ้ รยี น โครงงานเป็นฐาน • ให้ความรพู้ ้ืนฐานเกย่ี วกับการทำ • ต้องมคี วามรู้เก่ยี วกับโครงงานไว้ 1. ข้ันให้ความรพู้ น้ื ฐาน 2. ขั้นกระตุ้นความสนใจ โครงงานก่อนการเรียนรู้ เปน็ พื้นฐานเพื่อใชใ้ นการปฏบิ ัติ

3. ข้ันจดั กลุ่มรว่ มมือ ขณะทำงานโครงงานจริง

• เตรียมกจิ กรรมทจี่ ะกระตนุ้ • ความเขา้ ใจและ วเิ คราะห์

ความสนใจของผู้เรียน โดยต้องคิด สถานการณ์ อย่างละเอียด

หรือเตรียมกจิ กรรมท่ีดงึ ดูดให้ • กำหนดปญั หาท่ตี ้องการแก้ไข

ผู้เรียนสนใจ ใครร่ ู้ ถงึ ความ

สนุกสนานในการทำโครงงาน

• กำหนดสถานการณ์เพ่ือให้

ผู้เรยี น คดิ แกป้ ญั หาหรือสนอง

ความตอ้ งการ ซ่ึงสถาน การณ์

อาจเกิดจากสงิ่ ที่ ประสบในชวี ติ

จริง ชุมชนและ สังคม

• สรา้ งความตระหนกั เพื่อให้

ผู้เรียน เห็นความสำคัญของการ

แกป้ ัญหา หรือสนองความ

ต้องการ

• จัดเตรียมวัสดทุ ีจ่ ำเป็นและ • ออกแบบโดยถ่ายทอดความคิด

อุปกรณ์ เครือ่ งมือในการ เก่ียวกบั โครงงานเปน็ ภาพรา่ ง

ปฏบิ ัตงิ าน ความคิดหรือผังงานแล้วพฒั นา

• ให้คำแนะนำและรว่ มพจิ ารณา ความคิดโดยใชค้ วามคดิ

เลอื ก ภาพร่างความคิดให้ สร้างสรรค์ ให้ไดค้ วามคิดที่

เหมาะสมและ สอดคลอ้ งกบั หลากหลาย มี ความแปลกใหม่

โครงงาน • วิเคราะห์ และเลอื กภาพร่าง

• กระตุน้ ใหผ้ ู้เรียนใชค้ วามคิด ความคดิ ท่เี หมาะสมทีส่ ดุ นำเสนอ

สร้างสรรค์ในการออกแบบ และแลกเปลยี่ นเรียนรู้

• ให้คำแนะนำและเน้นย้าการใช้ • วางแผนการทำงานและลงมือ

อปุ กรณ์ เคร่ืองมือให้ถูกต้องและ ปฏบิ ตั ิเพ่อื สร้างโครงงาน โดยใช้

ปลอดภัย รวมท้ังใหค้ วาม งานอุปกรณ์ เครื่องมือเหมาะสม

ช่วยเหลือ ผู้ เรียนในการ ใชง้ าน กับประเภทของงาน ทำงาน

อปุ กรณ์ เคร่อื งมอื บางอย่างท่ีมี ถกู ต้อง และปลอดภยั

ความซบั ซ้อน และอันตรายในการ

ปฏบิ ตั งิ าน

12

4. ขั้นแสวงหาความรู้ • ใหค้ ำาแนะนำาและร่วม • ลงมอื ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมโครงงาน

5.ขั้นสรปุ สง่ิ ท่เี รียนรู้ ตรวจสอบ โครงานเพ่ือหา ตามหัวข้อทกี่ ลมุ่ สนใจ ผู้ปฏิบัติ 6.ขั้นนำเสนอผลงาน จดุ บกพร่องที่ ต้องปรบั ปรุงแกไ้ ข หนา้ ที่ ของตนตามขอ้ ตกลงของ

• จัดเตรยี ม สื่อและแหลง่ เรยี นรู้ กลมุ่ พร้อมทั้งรว่ มมือกันปฏบิ ัติ

สำหรบั การรวบรวมขอ้ มลู เพอ่ื ใช้ กิจกรรม

ปรบั ปรุงแก้ไขโครงงาน • ตรวจสอบโครงงานเพื่อหา

• ให้คำแนะนำและรว่ มวิเคราะห์ จุดบกพร่องทีต่ ้องปรับปรุงแก้ไข

ขอ้ มูลจากการตรวจสอบทดสอบ พรอ้ มทง้ั บนั ทึกข้อมลู

โครงงาน รวมทั้งแนวทางการ

ปรับปรงุ แก้ไขข้อบกพร่อง

• ให้คำแนะนำหากต้องยอ้ นกลับ

ไป ปรับปรุงแก้ไขในขัน้ ตอนต่าง

ๆ เชน่ การย้อนกลบั ไปรวบรวม

ขอ้ มูลอกี ครั้ง หรอื เลือกวธิ ีการ

ใหม่ หรือออกแบบและปฏบิ ัติการ

อกี ครั้ง

• ให้คำแนะนำการนาเสนอผลของ • สะทอ้ นสิง่ ทตี่ นเองได้เรียนรู้

โครงงาน

• สรุปและใหข้ อ้ เสนอแนะ

• ออกแบบกิจกรรม หรือจัด • นำเสนอผลของโครงงาน

เวลาใหผ้ เู้ รียนไดเ้ สนอสิง่ ทต่ี นเอง • การประเมนิ ตนเอง

ได้เรยี นรู้ เพ่ือใหเ้ พื่อนร่วมชน้ั

และผ้เู รยี นอ่นื ๆ ในโรงเรียนไดช้ ม

ผลงาน

• ประเมินผลตามสภาพจรงิ

การประเมินผลการเรียนรแู้ บบโครงงาน

ในการวางแผนดำเนินการ และจดั การประเมนิ การเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามหมาย ผู้ประเมนิ ต้อง มีความรู้ และเข้าใจในประเด็นต่อไปนี้

1. พฤติกรรมหรือการปฏบิ ตั ิการของนักเรียนท่ตี ้องประเมินมีอะไรบ้าง 2. กระบวนการหรอื วธิ กี ารประเมนิ มีอะไรบา้ ง 3. เป้าหมายของการประเมินการเรียนร้คู ืออะไร . 4. จดุ เนน้ ทต่ี ้องการประเมินการเรียนรคู้ ืออะไร 5. ผู้มีหนา้ ทปี่ ระเมินการเรียนรมู้ ีใครบา้ ง ในการประเมนิ การเรยี นรู้ เป็นการประเมนิ การเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ (authentic assessment) การ ประเมนิ การเรยี นรู้ตามสภาพจริงนนั้ เปน็ การประเมนิ ใน เรื่องต่อไปน้ี

13

1. ผลการเรียนดา้ นวิชาการ คือ ความรู้ ความเข้าใจในสาระ 2.การใชเ้ หตผุ ล คอื การใชก้ ระบวนการแก้ปญั หา การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตรก์ ารใช้ กระบวนการสรา้ งความรู้ 3. ทักษะและสมรรถนะ เชน่ ทกั ษะการนำเสนอ ทักษะการเขยี น ทักษะการทำงานเปน็ ทีม ทักษะการจัดระบบ และวิเคราะหข์ ้อมูล ทักษะการใช้เทคโนโลยี ทักษะการทำงานดว้ ย ความอดทนและฟนั ฝ่าอุปสรรค ทักษะการแกป้ ัญหาความขัดแยง้ เป็นตน้ 4. เจตคตเิ ช่น การพฒั นาเจตคตติ อ่ การเรียน การรักเรยี น ความเปน็ พลเมืองดีใฝ่รู้ใฝเ่ รยี น เป็นนกั อา่ น 5. นิสยั การทำงาน เช่น การทำงานได้สำเร็จตรงตามเวลา ใช้เวลาอยา่ งมคี า่ ความ รับผิดชอบ ความอดทนเพ่ือให้ไดง้ านท่ีมีคุณภาพ การทำงานอยา่ งต่อเน่อื ง วิธกี ารประเมินการเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ วิธีท่ใี ชป้ ระเมินการเรียนรูต้ ามสภาพจรงิ อาจใช้วิธี ตอ่ ไปนี้ 1. การอภิปรายตามวตั ถุประสงค์ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน 3. แบบทดสอบท่ีพัฒนาโดยครู 4. การเขยี นบนั ทึกผลการเรยี นรู้ 5. การนำเสนอด้วยวาจา 6. โครงงาน 7. การปฏบิ ตั ทิ ดลอง 8. แฟ้มสะสมงาน/ผลงาน (portfolios) 9. การสังเกต 10. การบันทึก 11. การสร้างสถานการณ์จำลอง 12. แบบสอบถาม 13. แบบสัมภาษณ์ 14. บนั ทกึ การเรยี นรู้ 15. การประเมินโดยตัวผเู้ รียนเอง 16. การประเมินโดยเพ่ือน 17. การประชมุ ของผปู้ กครอง การประเมนิ กระบวนการและผลผลติ การประเมนิ กระบวนการ เป็นการประเมินกระบวนการเรียนรู้ การสอน การปฏิบัติ หรือการ ทำงาน รวมท้งั ประเมินผลผลิต ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 1.การประเมนิ กระบวนการเรียนรู้ (process of learning) การประเมินกระบวนการเรียนรู้ท่ี ผู้เรียนใชเ้ ปน็ วิธกี ารสร้างความรดู้ ว้ ยตนเองดว้ ยการใชก้ ระบวนการคดิ และกระบวนการกลุ่ม ตวั อย่างเช่น ตอ้ งการประเมินการทำงานกลมุ่ ของนักเรยี น เปน็ ต้น ซ่ึง นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ต้องสามารถทำางาน กลุ่มได้อยา่ งมีคุณภาพ จงึ ตอ้ งประเมิน 1) บทบาทของหัวหนา้ 2) บทบาทของสมาชิกกลุ่มในการทำงานเปน็

14

ทมี 3) ประเมนิ กระบวนการทำงานกลุ่ม คือ การวางแผนและการปฏบิ ัติตามแผน ประเมินผลเป็นระยะ ๆ การ วเิ คราะห์ รวมท้ังการสรุปผลงาน จากนั้นจงึ นำาผล การประเมินไปใช้เปน็ แนวทางปรบั ปรงุ แกไ้ ขต่อไป

2. การประเมนิ กระบวนการเรียนการสอน (process of instruction) เปน็ กระบวนการ ประเมินการ จัดการเรียนการสอนของครูโดย 1) ให้คำนยิ ามของ กระบวนการจัดการเรียนการสอน 2) ประมวลผลจากครทู ่ี เก่ียวขอ้ ง 3) สรุปผล 4) วางแผนเพอ่ื ปรับปรงุ

3.การประเมินการปฏบิ ัติการทำงาน (performance) การประเมินพฤติกรรมการปฏบิ ัติงาน ของ นกั เรียน ครสู ามารถประเมนิ ในประเด็นต่อไปนี้1) การใช้เหตุผล เช่น กระบวนการแก้ปัญหา การ ใช้วธิ กี ารทาง วิทยาศาสตร์ ในการแกป้ ัญหา หรือทดลองเพื่อหาคำตอบ 2) ทกั ษะ เชน่ ทกั ษะการ ทำงานเปน็ ทีม ทกั ษะการ เขียน ทกั ษะการทดลอง ทกั ษะการทำโครงงาน 3) เจตคติของนักเรยี น ความพอใจ ความสนใจ 4) นสิ ยั การ ทำงาน 5) ความใฝ่รใู้ ฝ่เรียน

4. การประเมนิ ผลผลิต (Product) สามารถประเมนิ ในส่ิงต่อไปนี้ 1) ผลการเรยี นรู้ คือ ความรู้เชงิ วิชาการ 2) ผลผลิต คอื ผลงานตา่ ง ๆ ทสี่ ามารถนับเปน็ ชิ้นได้ เชน่ รายงาน สง่ิ ประดษิ ฐ์ และช้ินงานลักษณะ ต่าง ๆ ลกั ษณะท่สี ำคัญของการประเมินการเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ

1. เป็นการประเมินท่กี ระทำไปพรอ้ มๆ กบั การจัดกจิ กรรมการเรยี น การสอนและการเรียนรู้ ของผเู้ รียนซ่งึ สามารถทำไดต้ ลอดเวลากบั ทุกสถานการณ์ ทงั้ ท่ีโรงเรยี น บา้ นและชมุ ชน

2. เป็นการประเมินทเ่ี น้นพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียน ทแ่ี สดงออกมาจรงิ ๆ 3. เนน้ การพัฒนาผเู้ รยี นอย่างเด่นชัด 4. เน้นการประเมินตนเองของผเู้ รยี น 5. เนน้ คณุ ภาพของผลงานทีผ่ ู้เรียนสร้างข้นึ ซงึ่ เป็นการบรู ณาการความรู้ ความสามารถหลาย ด้านของผเู้ รยี น 6. เนน้ การวดั ความสามารถในการคิดระดับสงู 7. เนน้ การมีสว่ นรว่ มระหว่างผ้เู รยี น ครู ผปู้ กครอง การพัฒนาตัวบง่ ชแ้ี ละเกณฑ์การประเมนิ การเรียนรู้

15

บทท่ี 3 ตวั อยา่ งแผนการจดั การเรยี นรู้

แบบโครงงานเปน็ ฐาน

16

แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้และการประเมินผล

กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ รหัส ค 40211 วชิ า ทักษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร์

ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 แผนการเรียนรู้ท่ี 4

เรื่องโครงงานคณิตศาสตร์ เวลารวม 1 ช่ัวโมง ครูผู้สอน นางสายชล วนาธรัตน์

1. สาระ โครงงาน (Project Approach) คือ กิจกรรมที่เปิ ดโอกาสให้ ผเู้ รียนไดท้ าการศึกษาคน้ ควา้ และฝึก

ปฏิบตั ิดว้ ยตนเองตามความสามารถ ความถนดั และความสนใจ โดยอาศยั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอ่ืนๆ ไปใชใ้ นการศึกษาหาคาตอบ โดยมีครูผสู้ อนคอยกระตุน้ แนะนาและใหค้ าปรึกษา แก่ผเู้ รียนอยา่ งใกลช้ ิด ต้งั แต่การเลือกหวั ขอ้ ที่จะศึกษา คน้ ควา้ ดาเนินงานตามแผน กาหนดข้นั ตอนการ ดาเนินงานและการนาเสนอผลงาน ซ่ึงอาจทาเป็นบุคคลหรือเป็นกลมุ่

โครงงาน คอื การศึกษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั ส่ิงใดส่ิงหน่ึง หรือหลายๆส่ิงที่อยากรู้คาตอบใหล้ ึกซ้ึง หรือเรียนรู้ในเร่ืองน้นั ๆใหม้ ากข้ึน โดยใชก้ ระบวนการ วธิ ีการท่ีศึกษาอยา่ งมีระบบ เป็นข้นั ตอน มีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบตั ิงานตามแผนท่ีวางไว้ จนไดข้ อ้ สรุปหรือผลสรุปท่ีเป็น คาตอบในเรื่องน้นั ๆ

2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ค 5.1 : เขา้ ใจและใชว้ ิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้ มาตรฐาน ค 5.2 : ใชว้ ิธีการทางสถิติและความรู้เก่ียวกบั ความน่าจะเป็นในการคาด การณ์ไดอ้ ยา่ ง สมเหตุสมผล มาตรฐาน ค 6.4 : มีความสามารถในการเช่ือมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์และเช่ือมโยง คณิตศาสตร์กบั ศาสตร์อ่ืนๆได้ มาตรฐาน ค 6.5 : มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์

3.มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ัน ค 6.1.3 ใชค้ วามรู้ทกั ษะ กระบวนการทางคณิตศาสตร์ และเทคโนโลยกี ารแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม ค 6.5.1 มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ค 6.6.2 นาความรู้และทกั ษะที่ไดจ้ ากการเรียนคณิตศาสตร์ไปประยกุ ตใ์ นการเรียนรู้ และในการดารงชีวิต

17

4. ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวัง 4.1 ดา้ นความรู้ : นกั เรียนสามารถ 1. แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง จากแหลง่ เรียนรู้ 2. มีการวางแผนในการจดั การ และมีความคดิ สร้างสรรค์ 3. คน้ ควา้ แสวงหาความรู้ สร้างองคค์ วามรู้และการนาเสนอ 5. ใชอ้ งคค์ วามรู้ท่ีไดจ้ ากการแสวงหาความรู้ มาพฒั นาโครงงานไดต้ ามความสนใจ

4.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ : นกั เรียนสามารถ 4.2.1ทกั ษะดา้ นกระบวนการกลมุ่

4.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ : นกั เรียน รู้จกั ทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืน เช่ือมน่ั ในตนเอง รับผิดชอบ

5. หลกั ฐานการเรียนรู้ของผู้เรียน ใบกิจกรรม , ผลการคน้ ควา้ และรวบรวมขอ้ มูล

6 . เนื้อหา

ความหมายของโครงงาน โครงงาน (Project Approach) คอื กิจกรรมท่ีเปิ ดโอกาสให้ ผเู้ รียนไดท้ าการศึกษา

คน้ ควา้ และฝึกปฏิบตั ิดว้ ยตนเองตามความสามารถ ความถนดั และความสนใจ โดยอาศยั กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอ่ืนๆ ไปใชใ้ นการศึกษาหาคาตอบ โดยมีครูผสู้ อนคอยกระตนุ้ แนะนาและ ใหค้ าปรึกษาแก่ผเู้ รียนอยา่ งใกลช้ ิด ต้งั แต่การเลือกหวั ขอ้ ที่จะศึกษา คน้ ควา้ ดาเนินงานตามแผน กาหนดข้นั ตอนการดาเนินงานและการนาเสนอผลงาน ซ่ึงอาจทาเป็นบคุ คลหรือเป็นกลมุ่

โครงงาน คือ การศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั ส่ิงใดส่ิงหน่ึง หรือหลายๆส่ิงที่อยากรู้คาตอบใหล้ ึกซ้ึง หรือเรียนรู้ในเรื่องน้นั ๆใหม้ ากข้นึ โดยใชก้ ระบวนการ วิธีการที่ศึกษาอยา่ งมีระบบ เป็นข้นั ตอน มีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบตั ิงานตามแผนที่วางไว้ จนไดข้ อ้ สรุปหรือผลสรุปท่ีเป็น คาตอบในเร่ืองน้นั ๆ

การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน จึงเป็นการจดั ประสบการณ์ในการปฏิบตั ิงาน ใหแ้ ก่เด็ก เหมือนกบั การทางานในชีวติ จริง เพือ่ ใหเ้ ด็กมีประสบการณ์ตรง เดก็ จะไดเ้ รียนรู้วิธีการ แกป้ ัญหารู้จกั

18

การทางานอยา่ งมีระบบ รู้จกั การวางแผนในการทางาน ฝึกการคดิ วเิ คราะห์ ฝึกการทางานร่วมกบั ผอู้ ื่น และสามารถสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง โดยใชเ้ ทคนิควิธีการหลายรูปแบบมาผสมผสานกนั ระหวา่ ง กระบวนการกล่มุ การสอนการคดิ การสอนแกป้ ัญหา การสอนเนน้ ทกั ษะกระบวนการ การสอนแบบ ปริศนาความคิด และการสอนแบบร่วมกนั คดิ เพ่อื ม่งุ หวงั ใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้เรื่องใดเร่ืองหน่ึง จาก ความสนใจจากความอยากรู้อยากเรียนของนกั เรียน โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ นกั เรียนลงมือ ปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆ เพ่ือคน้ หาคาตอบดว้ ยตนเอง ซ่ึงเป็นการสอนที่ม่งุ เนน้ ใหผ้ เู้ รียน เรียนรู้จาก ประสบการณ์ตรงกบั แหลง่ เรียนรู้เบ้ืองตน้ จนผเู้ รียนสามารถสรุปความรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง

หลกั การทสี่ าคญั ของกจิ กรรมโครงงาน • เนน้ การแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง • ผเู้ รียนเป็นผวู้ างแผนในการศึกษาคน้ ควา้ เอง • ลงมือปฏิบตั ิเอง • นาเสนอโครงงานเอง • ร่วมกาหนดแนวทางวดั ผลและประเมินผล จุดมุ่งหมายของการทาโครงงาน • เพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษาขอ้ มูลจากแหลง่ ความรู้ต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง • เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงออกซ่ึงความคดิ ริเร่ิมสร้างสรรค์ • เพื่อใหผ้ เู้ รียนเกิดคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ เช่น รู้จกั ทางานร่วมกบั บคุ คลอ่ืน มีความเช่ือมนั่

ในตนเอง มีความรับผดิ ชอบฯ • เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนใชค้ วามรู้และประสบการณ์เลือกทาโครงงานตามความสนใจ

ประเภทโครงงาน

แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่

1. โครงงานตามสาระการเรียนรู้ เป็นการใชบ้ รู ณาการร่วมกบั การเรียนรู้ ทกั ษะและเป็นพ้ืนฐาน ในการกาหนดโครงงานและปฏิบตั ิ

2. โครงงานตามความสนใจ เป็นโครงงานท่ีผเู้ รียนกาหนดข้นั ตอน ความถนดั ความสนใจ ความ ตอ้ งการ โดยใชท้ กั ษะความรู้ จากกล่มุ สาระการเรียนรู้ตา่ งๆมาบูรณาการเป็นโครงงานและปฏิบตั ิ

สามารถแบ่งได้ ๔ รูปแบบ ตามวตั ถปุ ระสงค์

1. โครงงานที่เป็นการสารวจ รวบรวมขอ้ มลู 2. โครงงานที่เป็นการศึกษาคน้ ควา้ ทดลอง

19

3. โครงงานท่ีเป็นการศึกษาทฤษฎี หลกั การ หรือแนวคดิ ใหม่ ๆ ในการพฒั นาผลงาน 4. โครงงานท่ีเป็นการสร้างประดิษฐ์ คิดคน้

1. โครงงานที่เป็ นการสารวจ รวบรวมข้อมูล

เป็นโครงงานท่ีมีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการรวบรวมขอ้ มลู เร่ืองใดเรื่องหน่ึง แลว้ นาขอ้ มูลน้นั มาจาแนก

เป็นหมวดหมู่ ในรูปแบบท่ีเหมาะสม ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ะนาไปปรับปรุงพฒั นาผลงาน ส่งเสริมผลผลิตใหม้ ี

คุณภาพดียง่ิ ข้ึน ขอ้ มูลดงั กล่าว อาจมีผจู้ ดั ทาข้ึนแลว้ แตม่ ีการเปล่ียนแปลง จึงตอ้ งมีการจดั ทาใหม่เพ่ือใหม้ ี

ความทนั สมยั สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผศู้ ึกษาโครงงาน โดยใชว้ ิธีการเกบ็ ขอ้ มูลดว้ ย

แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบนั ทึก เช่น

- การสารวจแหลง่ เรียนรู้ในชุมชน

- การสารวจงานบริการและสถานประกอบการในทอ้ งถิ่น

2. โครงงานทเ่ี ป็ นการศึกษาค้นคว้า ทดลอง

เป็นโครงงานที่มีวตั ถุประสงค์ เพือ่ การศึกษาเรื่องใดเรื่องหน่ึงโดยเฉพาะ โดยศึกษาหลกั การและ

ออกแบบการคน้ ควา้ ในรูปแบบการทดลองเพื่อยนื ยนั หลกั การ ทฤษฎี เพื่อศึกษาหาแนวทางในการเพมิ่

คณุ คา่ และการใชป้ ระโยชนใ์ หม้ ากข้นึ เช่น

- การปลกู พืชโคยไม่ใชส้ ารเคมี

- การทาขนมอบชนิดตา่ ง ๆ โดยใชว้ สั ดุในทอ้ งถิ่น

- การควบคุมการเจริญเติบโตของตน้ ไมป้ ระเภทเถา

- การศึกษาสูตรเคร่ืองด่ืมท่ีผลิตจากธญั ญพชื

3. โครงงานท่เี ป็ นการศึกษาทฤษฎี หลกั การ หรือแนวคิดใหม่ๆ

เป็นโครงงานที่มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื เสนอความรู้ หรือหลกั การใหม่ๆ เกี่ยวกบั เร่ืองใดเรื่องหน่ึงท่ียงั

ไมม่ ีใครเคยคิด หรือคดิ ขดั แยง้ หรือขยายจากของเดิมที่มีอยู่ จากเน้ือหาวชิ าการ หลกั การ ทฤษฎีต่าง ๆ

นามาปรับปรุง พฒั นา ใหส้ อดคลอ้ งมีความชดั เจน มีผลงานที่เป็นรูปธรรม ซ่ึงตอ้ งผ่านการพสิ ูจนอ์ ยา่ งมี

หลกั การและเชื่อถือได้ เช่น

- การใชส้ มุนไพรในการปราบศตั รูพชื

- การใชพ้ ลงั งานแสงอาทิตยใ์ นการถนอมอาหาร และปรุงอาหาร

- เกษตรแบบผสมผสาน

- เทคนิคการแกโ้ จทยป์ ัญหา

4.โครงงานท่ีเป็ นการสร้างประดษิ ฐ์ คดิ ค้น

เป็นโครงงานท่ีมีวตั ถปุ ระสงค์ คอื การนาความรู้ทฤษฎี หลกั การ มาประยกุ ตใ์ ช้ โดยประดิษฐ์เป็น

เครื่องมือ เคร่ืองใชต้ ่างๆ เพื่อประโยชน์ตา่ งๆ หรืออาจเป็นการสร้างสรรคส์ ่ิงประดิษฐ์ข้นึ มาใหม่ หรือ

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv แปลภาษาอาหรับ-ไทย lmyour แปลภาษา ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง แปลภาษาเวียดนามเป็นไทยทั้งประโยค Google Translate การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 หยน อาจารย์ ตจต เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คาราโอเกะ app แปลภาษาไทยเป็นเวียดนาม การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 บบบย ศัพท์ทหารบก แปลภาษาจีน การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 1 ขุนแผนหลวงปู่ทิม มีกี่รุ่น ชขภใ ตม.เชียงใหม่ เซ็นทรัลเฟสติวัล พจนานุกรมศัพท์ทหาร รหัสจังหวัด อําเภอ ตําบล รหัสประจำจังหวัด 77 จังหวัด สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม หนังสือราชการ ตัวอย่าง ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คอร์ด อเวนเจอร์ส ทั้งหมด แปลภาษา มาเลเซีย ไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค ่้แปลภาษา Egp G no Reconguista Google map ขุนแผนหลวงปู่ทิมรุ่นแรก ข้อสอบภาษาไทยพร้อมเฉลย ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง ค้นหา ประวัติ นามสกุล จองคิว ตม เชียงใหม่ ชื่อเต็ม ร.9 คําอ่าน ดีแม็กมือสองราคาไม่เกิน350000 ตัวอย่างรายงานการประชุมสั้นๆ