136 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 137 ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 1. การใช้จำานวน (การคำานวณ 1. การแก้ปัญหาสถานการณ์ 1. ความมีเหตุผล และ ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง) ที่เกี่ยวกับความร้อน) ความรอบคอบ 2. การส่อสารสารสนเทศและ (การอภิปรายร่วมกัน) ื ู การรู้เท่าทันสื่อ 2. ความอยากร้อยากเห็น (การอภิปรายร่วมกัน) (การมีส่วนร่วมใน การอภิปรายและสรุป) ผลการเรียนรู้ 2. อธิบายกฎของแก๊สอุดมคติและคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายแบบจำาลองของแก๊สอุดมคติ 2. อธิบายกฎของแก๊สอุดมคติและคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 1. การใช้จำานวน (การคำานวณ 1. การแก้ปัญหา (สถานการณ ์ 1. ความมีเหตุผล ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง) ที่เกี่ยวกับกฎข้อที่หนึ่ง และความรอบคอบ ของอุณหพลศาสตร์) (การอภิปรายร่วมกัน) ื 2. การส่อสารสารสนเทศและ 2. ความอยากรู้อยากเห็น การรู้เท่าทันสื่อ (การมีส่วนร่วมใน (การอภิปรายร่วมกัน) การอภิปรายและสรุป) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 136 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 137 ผลการเรียนรู้ 3. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอุดมคต ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุล ำ ิ ของแก๊ส รวมทั้งคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลแก๊ส และ คำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สกับอุณหภูมิ และคำานวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ิ 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊สกับอุณหภูม และ คำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 1. การใช้จำานวน (การคำานวณ 1. การแก้ปัญหา (สถานการณ ์ 1. ความมีเหตุผล ี ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง) ท่เก่ยวกับทฤษฎีจลน์ของ และความรอบคอบ ี แก๊ส) (การอภิปรายร่วมกัน) 2. การส่อสารสารสนเทศและ 2. ความอยากรู้อยากเห็น ื การรู้เท่าทันสื่อ (การมีส่วนร่วมใน (การอภิปรายร่วมกัน) การอภิปรายและสรุป) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 138 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 139 ผลการเรียนรู้ ำ ำ ี 4. อธิบาย และคานวณงานท่ทาโดยแก๊สในภาชนะปิดโดยความดันคงตัว และอธิบายความสัมพันธ ์ ั ี ี ำ ระหว่างความร้อน พลังงานภายในระบบ และงาน รวมท้งคานวณปริมาณต่าง ๆ ท่เก่ยวข้องและ นำาความรู้เรื่องพลังงานภายในระบบไปอธิบายหลักการทำางานของเครื่องใช้ในชีวิตประจำาวัน จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายและคำานวณพลังงานภายในระบบ 2. อธิบายและคำานวณงานที่ทำาโดยแก๊ส ี 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความร้อน พลังงานภายในระบบ กับงานท่ทาโดยแก๊ส และ ำ คำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4. อธิบายการนำาความรู้เรื่องพลังงานภายในระบบไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำาวัน ทักษะกระบวนการทาง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จิตวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 1. การใช้จำานวน (การคำานวณ 1. การแก้ปัญหา (สถานการณ ์ 1. ความมีเหตุผล ี ึ ปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง) ท่เก่ยวกับกฎข้อท่หน่งของ และความรอบคอบ ี ี อุณหพลศาสตร์) (การอภิปรายร่วมกัน) 2. การส่อสารสารสนเทศและ 2. ความอยากรู้อยากเห็น ื การรู้เท่าทันสื่อ (การมีส่วนร่วมใน (การอภิปรายร่วมกัน) การอภิปรายและสรุป) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 138 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 139 ผังมโนทัศน์ ความร้อนและแก๊ส ความร อนและแก ส อุณหภูมิ แก สอุดมคติ เกี่ยวข องกับ เกี่ยวข องกับ นําไปสู เกี่ยวข องกับ การเปลี่ยน การเปลี่ยน กฎของบอยล แบบจําลอง อุณหภูมิ สถานะ กฎของชาร ล แก สอุดมคติ กฎของเกย -ลูสแซก นําไปคํานวณ นําไปคํานวณ นําไปสู ความจุความร อนและ ความร อนแฝง ทฤษฎีจลน ของแก ส ความร อนจําเพาะ กฎของ แก สอุดมคติ เกี่ยวข องกับ การชนและ การถ ายโอนความร อน โมเมนตัม กฎการอนุรักษ พลังงาน นําไปสู ความสัมพันธ ระหว าง เกี่ยวข องกับ ความดันและอัตราเร็ว สมดุลความร อน โมเลกุลของแก ส นําไปสู งาน ความสัมพันธ ระหว าง พลังงานจลน เฉลี่ยของ นําไปสู นําไปสู แก สกับอุณหภูมิ งานที่ทําโดยแก ส พลังงานภายในระบบ นําไปสู นําไปสู ความสัมพันธ ระหว าง อัตราเร็วอาร เอ็มเอส กฎข อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร กับอุณหภูมิ นําไปสู คํานวณ อธิบาย ปริมาณต าง ๆ ที่เกี่ยวข อง การประยุกต ของอุณหพลศาสตร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 140 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 141 สรุปแนวความคิดสำาคัญ ่ ่ ้ ็ ึ ี อุณหพลศาสตร์ (thermodynamics) เปนการศกษากระบวนการเปลยนแปลงระหวางความรอน และพลังงานกล ระดับความร้อนของวัตถุสามารถระบุได้ด้วยอุณหภูม (temperature) อุปกรณ์ท ี ่ ิ ์ ใช้วัดอุณหภูมิ เรียกว่า เทอร์มอมิเตอร (thermometer) หน่วยวัดอุณหภูมิที่ใช้ทั่วไปคือ องศาเซลเซียส (degree Celsius, C) แต่การศึกษาในวิชาอุณหพลศาสตร์ใช้อุณหภูมิในหน่วย เคลวิน (Kelvin, K) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า อุณหภูมิสัมบูรณ์ (absolute temperature) ่ ื ี ี ื ุ ่ ี ู ื ้ ั ้ ่ ึ ่ เมอสสารไดรบหรอคายความรอน สสารอาจมอณหภมิเปลยนไปหรออาจเปลยนจากสถานะหนง ึ ี ี ี ไปอีกสถานะหน่งโดยอุณหภูมิไม่เปล่ยนแปลง กรณีท่สสารมีอุณหภูมิเปล่ยนไป อัตราส่วนระหว่างความร้อน ี ี ท่ให้แก่สสารต่ออุณหภูมิท่เพ่มข้น เรียกว่า ความจุความร้อน (heat capacity, C) ส่วนความจุความร้อนต่อ ิ ึ หนึ่งหน่วยมวลจะขึ้นกับสารแต่ละชนิด เรียกว่า ความร้อนจำาเพาะ (specific heat, c) ความร้อนที่ทำาให้ สสารเปลี่ยนอุณหภูมิคำานวณได้จากสมการ Q = mcΔT กรณีที่สสารเปลี่ยนสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง ึ ่ ่ ี โดยอุณหภูมิไมเปล่ยนแปลง ความร้อนท่ใช้ในการเปลยนสถานะของสารหน่งหน่วยมวล เรียกว่า ี ี ความร้อนแฝง (latent heat, L) ความร้อนที่ทำาให้สสารเปลี่ยนสถานะคำานวณได้จากสมการ Q = mL ความร้อนสามารถถ่ายโอนหรือส่งผ่านจากวัตถุท่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปส่อีกวัตถุหน่งท่มีอุณหภูม ิ ึ ู ี ี ต่ำากว่าได้ การถ่ายโอนความร้อนมี 3 แบบ คือ นำาความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสีความร้อน การถ่ายโอนความร้อนดังกล่าวจะเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อไม่มีการถ่ายโอนความร้อนให้กับ ู ี ้ ี ่ ั ั ั ้ ึ ี ึ ี ่ ั ิ ้ ้ ิ สงแวดลอมภายนอก ปรมาณความรอนทวตถุหนงสญเสยจะเท่ากบปริมาณความรอนท่อกวตถุหน่งไดรบ ่ เขียนแทนได้ด้วยสมการ Q = Q การท่วัตถุมีการถ่ายโอนความร้อนจนไม่มีการถ่ายโอนความร้อน ี ลด เพิ่ม เมื่อมีอุณหภูมิเท่ากัน เรียกว่า วัตถุทั้งสองอยู่ในสมดุลความร้อน (thermal equilibrium) สารในสถานะแก๊สประกอบด้วยโมเลกุลฟ้งกระจายเต็มภาชนะบรรจ เพ่อให้การอธิบายพฤติกรรมของ ื ุ ุ แก๊สได้ง่ายขึ้น จึงมีการสร้างแบบจำาลองแก๊สอุดมคติ (ideal gas) ขึ้นมา โดยกำาหนดให้แก๊สอุดมคติเป็น ๊ ี ุ ี ุ ่ แกสท่โมเลกุลมขนาดเล็กมาก ไมมีแรงยดเหนยวระหว่างกัน มีการเคล่อนท่แบบสม และมีการชนแบบยืดหย่น ่ ี ื ี ึ ่ ความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊สอุดมคติมีความสัมพันธ์เป็นไปตามกฎของแก๊สอุดมคติ (ideal gas law) เขียนแทนได้ด้วยสมการ PV = nRT = Nk T B ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส (kinetic theory of gases) เป็นการอธิบายพฤติกรรมแก๊สในระดับโมเลกุล เพื่อนำาไปสู่การอธิบายธรรมชาติของแก๊สที่เกิดขึ้นจากโมเลกุลของแก๊สทั้งหมดที่อยู่ในระบบ เช่น อุณหภูมิ ของแก๊ส ปริมาตรของแก๊ส และความดันของแก๊ส โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับอัตราเร็วอาร์เอ็มเอส 1 Nm 2 ี ของโมเลกุลของแก๊สเป็นไปตามสมการ v ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉล่ยของ 3 V rms โมเลกุลของแก๊สกับอุณหภูมิเป็นไปตามสมการ ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉล่ย ี ของโมเลกุลของแก๊ส ความดันกับปริมาตรของแก๊สเป็นไปตามสมการ = และความสัมพันธ์ \= สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี \= 140 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 141 3kT ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสกับอุณหภูมิของโมเลกุลของแก๊สเป็นไปตามสมการ v rms m B พลังงานทั้งหมดของโมเลกุลของแก๊สที่บรรจุอยู่ในระบบ เรียกว่า พลังงานภายในระบบ (internal energy of a system) ซึ่งจะหมายถึง พลังงานภายใน (internal energy) ของแก๊ส แทนด้วยสัญลักษณ์ U 3 3 สาหรับแก๊สอุดมคติสามารถหาพลังงานภายในระบบได้จากสมการ U Nk T nRT พลังงาน ำ 2 B 2 ึ ึ ภายในระบบมีความสัมพันธ์กับความร้อนและงานซ่งเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน เรียกว่า กฎข้อทหน่ง ี ่ ของอุณหพลศาสตร์ (first law of thermodynamics) เขียนแทนด้วยสมการ Q = ΔU + W ี ี ตามกฎข้อท่หน่งของอุณหพลศาสตร์ทาให้ทราบว่า ความร้อน (heat, Q) เป็นเพียงพลังงานท่ถ่ายโอน ึ ำ ในรูปงานและพลังงานภายในระบบเท่านั้น ความรู้เรื่องพลังงานภายในระบบสามารถนำาไปประยุกต์ด้านต่าง ๆ เช่น การทำางานของเครื่องยนต์ความร้อน ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 142 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 143 เวลาที่ใช้ บทนี้ควรใช้เวลาสอนประมาณ 24 ชั่วโมง 16.1 ความร้อน 4 ชั่วโมง 16.2 แก๊สอุดมคติ 5 ชั่วโมง 16.3 ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส 8 ชั่วโมง 16.4 กฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์และการประยุกต์ 7 ชั่วโมง ความรู้ก่อนเรียน แรงดล โมเมนตัม งาน พลังงาน กฎการอนุรักษ์พลังงาน แนวการจัดการเรียนรู้ ครูนำาเข้าสู่บทที่ 16 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อตอบคำาถามว่า ความร้อนคืออะไร ตัวอย่าง ้ ำ ้ ี ำ ี ้ ความร้อนท่พบในชีวิตประจาวันมีอะไรบาง มนุษย์ใชประโยชน์จากความรอนในการดารงชวิตอยางไรบ้าง ่ และอาจใช้รูปนาบทนาอภิปรายโดยให้นักเรียนร่วมกันตอบคาถามว่า ต้เย็นมีประโยชน์อย่างไร และ ำ ำ ำ ู ี เก่ยวข้องกับความร้อนอย่างไร โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ และไม่คาดหวัง คำาตอบที่ถูกต้อง ครูชี้แจงนักเรียนว่า ในบทที่ 16 นี้ นักเรียนจะได้ศึกษาเกี่ยวกับ อุณหพลศาสตร์ (thermodynamics) ู ี ึ ซ่งเป็นการศึกษาเก่ยวกับกระบวนการเปล่ยนแปลงระหว่างความร้อนและพลังงานกลของระบบท่อย่ใน ี ี สถานะแก๊ส ของแข็ง และของเหลว โดยเน้นการอธิบายความร้อนจากพฤติกรรมของแก๊ส ครูชี้แจงคำาถามสำาคัญที่นักเรียนต้องตอบได้หลังจากการเรียนรู้บทที่ 16 และหัวข้อที่นักเรียนจะได้ เรียนรู้ในบทเรียนนี้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 142 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 143 16.1 ความร้อน จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกระดับความร้อนของวัตถุด้วยอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียสและเคลวิน 2. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการเปล่ยนอุณหภูมิกับความจุความร้อน ความร้อนจาเพาะ และ ำ ี คำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ำ ี ี 3. อธิบายการเปล่ยนสถานะของสสารท่เก่ยวข้องกับความร้อนแฝง และคานวณปริมาณต่าง ๆ ี ที่เกี่ยวข้อง 4. อธิบายการถ่ายโอนความร้อน สมดุลความร้อน และคำานวณปริมาตรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แนวการจัดการเรียนรู้ ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 16.1 โดยอาจใช้คำาถามดังตัวอย่างต่อไปนี้ - ในการเปรียบเทียบว่าวัตถุใดร้อนมากกว่ากัน จะสามารถบอกได้อย่างไร - เมื่อให้ความร้อนกับสาร สารจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง - ความร้อนมีผลต่อสถานะของสารอย่างไร - ความร้อนถ่ายโอนได้หรือไม่ อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง ี ี ่ ครูช้แจงว่า ในหัวข้อท 16.1 นักเรียนจะได้ศึกษาเก่ยวกับการบอกระดับความร้อน ผลของความร้อน ี ที่มีต่อระดับความร้อนของสารและการเปลี่ยนสถานะของสาร และการถ่ายโอนความร้อน 16.1.1 อุณหภูมิ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง 1. หน่วยของอุณหภูมิในระบบ SI คือ องศา- 1. หน่วยของอุณหภูมิในระบบ SI คือ เคลวิน เซลเซียส ี 2. อุณหภูมิท่เปล่ยนไปในหน่วยเคลวินเท่ากับ 2. อุณหภูมิท่เปล่ยนไปในหน่วยเคลวินเท่ากับ ี ี ี ี ี ี ี อุณหภูมิท่เปล่ยนไปในหน่วยองศาเซลเซียส อุณหภูมิท่เปล่ยนไปในหน่วยองศาเซลเซียส บวกด้วย 273 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 144 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 145 สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า ้ ำ ถ้าจะมีการให้นักเรียนสังเกตการรับร้ความร้อนด้วยประสาทสัมผัส ให้เตรียมภาชนะบรรจุนา ู จำานวน 3 ใบ ที่บรรจุน้ำาเย็น น้ำาอุ่น และน้ำาร้อน ตามลำาดับ แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 1 ของหัวข้อ 16.1 ตามหนังสือเรียน ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 16.1.1 โดยใช้รูป 16.1 ในหนังสือเรียน หรืออาจจัดกิจกรรมสาธิตโดยให้นักเรียน สังเกตการรับรู้ความร้อนด้วยประสาทสัมผัสจากการใช้มือจุ่มลงในภาชนะบรรจุน้ำาเย็น น้ำาอุ่น และน้ำาร้อน ั ำ ู ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จากน้น ครูให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันโดยตอบคาถามว่า การรับร้ความร้อน ของสิ่งต่าง ๆ จากประสาทสัมผัสมีข้อจำากัดอย่างไร จนสรุปได้ว่า ประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่สามารถบอก ระดับความร้อนของส่งต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยา นักวิทยาศาสตร์จึงจาเป็นต้องค้นหาวิธีการวัดระดับความร้อน ิ ำ ำ และหามาตรฐานในการบอกระดับความร้อนขึ้น จึงเป็นที่มาของการบอกระดับความร้อนด้วยอุณหภูมิของ ้ ี ่ ำ ี วัตถุน้น วัตถุท่มีอุณหภูมิสูงแสดงว่ามีระดับความร้อนมาก และวัตถุท่มีอุณหภูมิตาแสดงว่ามีระดับความรอน ั น้อย ี ์ ำ ครูให้นักเรียนศึกษาเก่ยวกับเทอร์มอมิเตอร และการกาหนดสเกลอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร ์ ในหน่วยองศาเซลเซียส และเคลวิน ในหนังสือเรียน และอภิปรายร่วมกันจนสรุปความสัมพันธ์ระหว่าง อุณหภูมิในหน่วยเคลวินและอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียสเป็นดังสมการท (16.1) โดยอุณหภูมิท ี ่ ี ่ ี ่ ี ี ่ ่ ิ ่ ่ ่ ี ั เปลยนแปลงไปในหนวยเคลวนเทากบอณหภมทเปลยนแปลงไปในหนวยองศาเซลเซยส ตามรายละเอยด ิ ี ุ ู ในหนังสือเรียน ครูใช้รูป 16.3 นานักเรียนอภิปรายเก่ยวกับเทอร์มอมิเตอร์ชนิดต่าง ๆ โดยอาจให้นักเรียนสืบค้น ี ำ เพิ่มเติมในเรื่องของวิธีใช้งาน จุดเด่นและข้อจำากัดในการใช้งานของเทอร์มอมิเตอร์แต่ละชนิด ซึ่งควรสรุป ได้ว่า เทอร์มอมิเตอร์ที่ใช้วัดอุณหภูมิมีหลายรูปแบบตามลักษณะของการใช้งาน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 144 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 145 ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู เทอร์มอมิเตอร์ที่ใช้วัดอุณหภูมิมีหลายรูปแบบตามลักษณะของการใช้งาน ดังนี้ - เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลสำาหรับวัดอุณหภูมิทั่วไป เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลสาหรับวัดอุณหภูมิท่วไปนิยมใช ้ ำ ั เทอร์มอมิเตอร์ที่มีของเหลว เช่น ปรอทหรือแอลกอฮอล์ บรรจุใน หลอดแก้วปิด ดังรูป 16.1 เทอร์มอมิเตอร์รูปแบบนี้วัดอุณหภูมิโดย อาศัยการหดและขยายตัวของของเหลวเมื่อได้รับความร้อน สามารถ ใช้วัดอุณหภูมิของสารที่มีสภาพเป็นกรดหรือด่างได้ดี แต่ข้อจำากัด ของเทอร์มอมิเตอร์นี้คือ ตัวเทอร์มอมิเตอร์ทำาจากแก้วทำาให้แตกหัก ได้ง่าย ถ้าต้องการวัดอุณหภูมิที่สูงมาก ๆ ควรเลือกใช้เทอร์มอมิเตอร์ ที่มีปรอทเป็นของเหลวบรรจุในหลอดแก้ว เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็น ของเหลวที่มีจุดเดือดค่อนข้างต่ำา เมื่อใช้วัดอุณหภูมิสูงอาจระเหย กลายเป็นไอทำาให้เทอร์มอมิเตอร์เสียหายได้ รูป 16.1 เทอร์มอมิเตอร์แบบ ขีดสเกลสำาหรับวัดอุณหภูมิทั่วไป - เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลสำาหรับวัดอุณหภูมิสูงสุดและต่ำาสุด เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลสำาหรับวัดอุณหภูมิสูงสุดและต่ำาสุดมีชื่อเรียกว่า Six's thermo- meter ประกอบด้วยหลอดแก้วรูปตัวยูซึ่งมีปรอทบรรจุอยู่ภายใน เหนือปรอทแต่ละด้านจะมีแท่ง บันทึกอุณหภูมิที่ทำาจากโลหะ เหนือปรอทด้านอุณหภูมิต่ำาสุดที่อยู่ทางด้านซ้ายจะบรรจุแอลกอฮอล์ จนเต็ม ส่วนเหนือปรอทด้านอุณหภูมิสูงสุดที่อยู่ทางด้านขวาจะบรรจุแอลกอฮอล์บางส่วนทำาให้มี ส่วนที่เป็นสุญญากาศอยู่ด้วย บริเวณด้านหลังหลอดแก้วรูปตัวยูจะมีแถบแม่เหล็ก ดังรูป 16.2 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 146 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 147 แอลกอฮอล ญ ส ศ า ก า ญ ก ็ ล ห เ ม แ บ ถ แ ิ ม ภ ห ณ อ ก ึ ท น ั บ ง ท แ น ใ ปรอทบรรจุ ห ว ั ต ป ร ว ก แ ด อ ล รูป 16.2 ส่วนประกอบของเทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลสำาหรับวัดอุณหภูมิสูงสุดและต่ำาสุด เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น แอลกอฮอล์ด้านซ้ายจะขยายตัว ทำาให้ปรอทดันแท่งบันทึกอุณหภูมิทาง ด้านขวาสูงขึ้นและอยู่ในตำาแหน่งสูงที่สุดเมื่ออุณหภูมิสูงสุด เมื่ออุณหภูมิลดลง แอลกอฮอล์ด้านซ้าย จะหดตัว ทำาให้ปรอทไปดันแท่งบันทึกอุณหภูมิทางด้านซ้ายสูงขึ้นและอยู่ในตำาแหน่งสูงที่สุดเมื่ออุณหภูมิ ต่ำาสุด แถบแม่เหล็กที่บริเวณด้านหลังจะดูดแท่งบันทึกอุณหภูมิไว้ให้อยู่ในตำาแหน่งอุณหภูมิต่ำาสุดและ สูงสุดที่บันทึกได้ เมื่อปรอทเคลื่อนต่ำาลงแท่งบันทึกอุณหภูมิจึงไม่ตกลงมา ถ้าต้องการวัดอุณหภูมิ ใหม่อีกครั้ง จะต้องกดปุ่มให้แถบแม่เหล็กเคลื่อนที่ออกห่างจากแท่งบันทึกอุณหภูมิเพื่อให้แท่งบันทึก ู ื ั อุณหภูมิเล่อนกลับลงมาอย่ระดับเดียวกับปรอทอีกคร้ง จะสังเกตได้ว่า การวัดอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร ์ ชนิดนี้ไม่ได้อาศัยการหดและขยายตัวของปรอท ำ ่ การอ่านอุณหภูมิสูงสุดและตาสุดให ้ ี ี อ่านท่ปลายล่างของแท่งบันทึกอุณหภูมิท่อย ู ่ อุณหภูมิสูงสุด ในแถบสเกล ด้านหนึ่งจะแสดงอุณหภูมิต่ำาสุด และอีกด้านหนึ่งจะแสดงอุณหภูมิสูงสุด เทอร์มอ- มิเตอร์น้เหมาะกับใช้ในการศึกษาสภาพ ี อากาศ (weather) เพื่อบันทึกอุณหภูมิต่ำาสุด อุณหภูมิตํ่าสุด และสูงสุดในแต่ละวัน ปุ มเริ่มต น รูป 16.3 แท่งบันทึกอุณหภูมิและปุ่มเริ่มต้น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 146 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 147 - เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลและแบบดิจิทัลสำาหรับวัดไข้ เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลและแบบดิจิทัลสำาหรับวัดไข้ ดังรูป 16.4 นิยมใช้วัดอุณหภูมิ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ช่องปาก รักแร้ และทวารหนัก เทอร์มอมิเตอร์วัดไข้จะถูกออกแบบ ให้สามารถคงค่าอุณหภูมิที่ต้องการวัดไว้ได้แม้อยู่ภายนอกสิ่งที่ต้องการวัด โดยอาจใส่แท่งบันทึก อุณหภูมิเข้าไปข้างในตัวเทอร์มอมิเตอร์เหนือปรอท เมื่อปรอทได้รับความร้อนและขยายตัวก็จะดัน แท่งนี้ขึ้นการอ่านอุณหภูมิจึงอ่านค่าจากตำาแหน่งที่แท่งบันทึกอุณหภูมิอยู่ หรือในบางชนิดจะมี ขดแก้วที่กันไม่ให้ปรอทไหลย้อนกลับเมื่อหดตัว ดังรูป 16.5 เมื่อต้องการใช้งานอีกครั้งจึงจำาเป็นต้อง สะบัดเทอร์มอมิเตอร์แรง ๆ เพื่อให้แท่งบันทึกอุณหภูมิหรือปรอทกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง สำาหรับ เทอร์มอมิเตอร์วัดไข้แบบดิจิทัลจะมีวงจรไฟฟ้าช่วยบันทึกอุณหภูมิให้สามารถอ่านค่าอุณหภูมิได ้ แม้นำาออกมาจากสิ่งที่วัดอุณหภูมิ ขดแก ว ก. เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลสำาหรับวัดไข้ บริเวณที่ปรอทไม ไหล ย อนกลับ ข. เทอร์มอมิเตอร์แบบดิจิทัลสำาหรับวัดไข้ รูป 16.4 เทอร์มอมิเตอร์สำาหรับวัดไข้ รูป 16.5 ขดแก้วสำาหรับกันไม่ให้ปรอทไหล ย้อนกลับเมื่อหดตัว - เทอร์มอมิเตอร์แบบแถบสำาหรับวัดไข้้ เทอร์มอมิเตอร์แบบแถบสำาหรับวัดไข้ ดังรูป 16.6 อาศัยการทำางานของผลึกเหลวที่ไวต่อ ความร้อน (heat-sensitive [thermochromic] liquid crystals) ที่เปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ วิธีการ วัดอุณหภูมิทำาได้โดยทาบแถบเทอร์มอมิเตอร์ลงบนหน้าผากแล้วกดเบา ๆ ประมาณ 15 วินาที แถบสีจะค่อย ๆ ปรากฏตามระดับความร้อนของสิ่งที่ต้องการวัดจนกระทั่งไม่เปลี่ยนแปลง แถบสี สุดท้ายที่ปรากฎจะเป็นค่าอุณหภูมิที่ต้องการวัด ดังรูป 16.7 อย่างไรก็ตาม การวัดอุณหภูมิแบบนี้มี ความคลาดเคลื่อนสูงมาก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 148 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 149 ปรากฎแถบสี ไม ปรากฎแถบส ี รูป 16.6 เทอร์มอมิเตอร์แบบแถบ รูป 16.7 การปรากฏแถบสีของ สำาหรับวัดไข้ ผลึกเหลวที่ไวต่อความร้อน - เทอร์มอมิเตอร์แบบอินฟราเรด ี วัดอุณหภูมิจากการแผ่รังสีของวัตถุท่ม ี ำ ความร้อนเช่นเดียวกับการแผ่รังสีของวัตถุดา (black body radiation) เหมาะสำาหรับการวัดอุณหภูมิ สิ่งของโดยไม่จำาเป็นต้องสัมผัสกับสิ่งของนั้น ๆ เช่น สิ่งของที่บอบบาง แตกหักง่าย หรือ เป็นอันตรายหาก ต้องเข้าใกล้ ดังรูป 16.8 รูป 16.8 เทอร์มอมิเตอร์แบบอินฟราเรด ่ ้ ิ ์ ำ - เทอรมอมเตอร์แบบขีดสเกลโดยใชขดลวดโลหะประกบสาหรับวดอุณหภูมิทวไป ั ั และสำาหรับวัดอุณหภูมิภายในวัตถุ เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลโดยใช้ขดลวดโลหะประกบสำาหรับวัดอุณหภูมิทั่วไป ดังรูป 16.9 ภายในบรรจุขดลวดทำาจากโลหะ 2 ชนิดประกบกันที่เรียกว่า bimetallic coil ดังรูป 16.10 วัดอุณหภูมิโดยอาศัยความแตกต่างของการหดและขยายตัวของโลหะ 2 ชนิดเมื่อได้รับความร้อน นิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิสิ่งของที่มีพื้นที่จำากัด เช่น ภายในตู้เย็น ภายในเตาอบ เป็นต้น นอกจากนี้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 148 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 149 ยังมีการออกแบบให้มีแท่งโลหะสำาหรับสอดเข้าไปวัดอุณหภูมิภายในวัตถุที่ต้องการวัด ดังรูป 16.11 เช่น การวัดอุณหภูมิของเนื้อย่าง การวัดอุณหภูมิของดิน เป็นต้น แต่เนื่องจากส่วนที่ใช้วัดอุณหภูมิ ของเทอร์มอมิเตอร์แบบนี้เป็นแท่งโลหะ จึงอาจไม่เหมาะกับการวัดอุณหภูมิของสิ่งที่มีสภาพเป็น กรดและด่างสูง ขดลวด รูป 16.9 เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลโดยใช้ขดลวด รูป 16.10 ขดลวดทำาจากโลหะ 2 ชนิดประกบ โลหะประกบสำาหรับวัดอุณหภูมิทั่วไป รูป 16.11 เทอร์มอมิเตอร์แบบขีดสเกลโดยใช้ขดลวดโลหะประกบสำาหรับวัดอุณหภูมิภายในวัตถุ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 150 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 151 16.1.2 ความจุความร้อนและความร้อนจำาเพาะ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง ี 1. วัตถุต่างชนิดกันท่มีมวลเท่ากันและอุณหภูม ิ 1. วัตถุต่างชนิดกันท่มีมวลเท่ากันและอุณหภูม ิ ี เท่ากัน เมื่อได้รับความร้อนปริมาณเท่ากัน เท่ากัน เม่อได้รับความร้อนปริมาณเท่ากัน ื ึ ึ จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเท่ากัน จะมีอุณหภูมิเพ่มข้นแตกต่างกันข้นกับ ิ สมบัติของสารแต่ละชนิด 2. สารชนิดเดียวกันแต่มีมวลต่างกัน จะมีความจ ุ 2. สารชนิดเดียวกันแต่มีมวลต่างกัน จะมีความจ ุ ำ ความร้อนและความร้อนจำาเพาะต่างกัน ความร้อนต่างกันแต่มีความร้อนจาเพาะ เท่ากัน สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า ถ้าจะมีการให้นักเรียนสังเกตการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิระหว่างทรายและน้ำา ให้เตรียมภาชนะ 2 ใบ ้ ่ ุ ้ ำ ำ ี ั ุ บรรจุทรายและนาท่มีมวลเท่ากันและมีอุณหภูมิเทากับอณหภูมิหอง และเทอร์มอมิเตอร์สาหรบวัดอณหภูม ิ จำานวน 2 อัน แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 2 ของหัวข้อ 16.1 ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.1.2 โดยยกสถานการณ์วัตถุท่ได้รับความร้อนแล้วมีอุณหภูมิเพ่มข้น เช่น การ ิ ่ ี ี ู ำ ึ ื ั ั ั เผาโลหะต่างชนิดกนท่มมวลเท่ากน หรืออาจจดกิจกรรมสาธตเพ่อสงเกตการเปล่ยนแปลงอณหภมิของ ิ ู ี ี ุ ั ี ำ ำ ี ื ทรายและนาท่มีมวลเท่ากันเม่อนาไปวางกลางแดดในเวลาเท่ากัน จากน้น ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน ้ ั ิ ำ โดยตอบคาถามว่า เม่อวัตถุต่างชนิดกันมีมวลเท่ากันและมีอุณหภูมิเร่มต้นเท่ากันได้รับความร้อนในปริมาณ ื เท่ากัน วัตถุนี้จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเท่ากันหรือไม่ เพราะเหตุใด ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น ื ำ ั อย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง จากน้น ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า เม่อให ้ ี ิ ความร้อนกับวัตถุจะทาให้วัตถุมีอุณหภูมิสูงข้น โดยวตถุต่างชนิดกันแม้จะมีมวลเท่ากันและมีอุณหภูมิเร่มต้น ำ ึ ั เท่ากันอาจจะมีอุณหภูมิเปล่ยนแปลงไปไม่เท่ากัน การเปล่ยนแปลงอุณหภูมิของวัตถุเม่อได้รับความร้อนจึง ี ี ื ขึ้นอยู่กับชนิดของสาร ครูให้นักเรียนศึกษาเก่ยวกับความจุความร้อนและความร้อนจาเพาะตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ี ำ ี ึ ี จนสรุปได้ว่า ความจุความร้อน คือ อัตราส่วนระหว่างความร้อนท่ให้กับวัตถุต่ออุณหภูมิท่เพ่มข้นตาม ิ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 150 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 151 ี ั ำ ี ึ สมการ (16.2) ในหนังสือเรียน ซ่งคือ ความร้อนท่ทาให้วัตถุน้นๆ มีอุณหภูมิเปล่ยนไปในหน่งหน่วย ึ ำ องศาเซลเซียส ส่วนความร้อนจาเพาะ คือ ความจุความร้อนต่อหน่งหน่วยมวล ตามสมการ (16.3) ใน ึ ำ ี ึ หนังสือเรียน ความร้อนจาเพาะมีค่าข้นกับสารแต่ละชนิด โดยท่วัตถุชนิดเดียวกันแต่มีมวลต่างกันจะม ี ความร้อนจาเพาะเท่ากันเสมอ แต่อาจมีความจุความร้อนไม่เท่ากัน กล่าวคือ วัตถุท่มีมวลมากจะมีความจ ุ ี ำ ้ ี ุ ั ี ุ ี ี ำ ุ ่ ความรอนมาก สวนวตถท่มมวลนอยจะมความจความรอนน้อย และความรอนท่ทาให้สสารเปลยนอณหภูม ิ ้ ี ้ ้ ่ จะขึ้นอยู่กับชนิดของสาร มวล และอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป ตามสมการ (16.4) ในหนังสือเรียน จากนั้น ครูให้ นักเรียนศึกษาความร้อนจำาเพาะของสารบางชนิดตามตารางที่ 16.1 ในหนังสือเรียน ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 16.1 และ 16.2 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา 16.1.3 ความร้อนแฝง ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง ี 1. เม่อให้ความร้อนกบสาร จะทาให้สารน้นม ี 1. เม่อให้ความร้อนกับสารในขณะท่สารเปล่ยน ั ำ ื ั ื ี อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเสมอ สถานะ อุณหภูมิของสารนั้นจะคงตัว ำ ี ำ ี 2. สำาหรับสารใด ๆ ความร้อนที่ทำาให้สารเปลี่ยน 2. สาหรับสารใด ๆ ความร้อนท่ทาให้สารเปล่ยน ่ ั สถานะจากของแขงเปนของเหลวมคาเทากบ สถานะจากของแข็งเป็นของเหลวมีค่าเท่ากับ ่ ็ ็ ี ี ี ความร้อนท่ทาให้สารเปล่ยนสถานะจากของ ความร้อนท่ทาให้สารเปล่ยนสถานะจากของ ี ำ ี ำ เหลวเป็นแก๊ส เหลวเป็นแก๊ส ี ำ ี ี 3. สาหรับสารใดๆ ความร้อนท่ทาให้สารเปล่ยน 3. สาหรับสารใดๆ ความร้อนท่ทาให้สารเปล่ยน ำ ี ำ ำ สถานะจากของแข็งเป็นของเหลว มีค่าไม่เท่ากับ สถานะจากของแข็งเป็นของเหลว มีค่าเท่ากับ ี ำ ี ความร้อนท่ทาให้สารเปล่ยนสถานะจากของ ความร้อนท่ทาให้สารเปล่ยนสถานะจากของ ี ำ ี เหลวเป็นของแข็ง เหลวเป็นของแข็ง สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า ้ ถ้าจะมีการให้นักเรียนสังเกตอุณหภูมิขณะท่นาแข็งกาลังหลอมเหลวและนากาลังเดือดให้เตรียม ำ ำ ำ ี ้ ำ ำ ำ ึ ภาชนะ 2 ใบ โดยใบหน่งบรรจนาแข็งและอีกใบหน่งบรรจนา ตะเกยงแอลกอฮอลหรือเตาสาหรับให ้ ุ ้ ำ ุ ์ ี ้ ึ ความร้อน จำานวน 1 อัน เทอร์มอมิเตอร์และขาจับเทอร์มอมิเตอร์ จำานวน 2 ชุด สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 152 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 153 แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 3 ของหัวข้อ 16.1 ตามหนังสือเรียน ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 16.1.3 โดยใช้รูป 16.4 ในหนังสือเรียน หรืออาจจัดกิจกรรมสาธิตโดยให้นักเรียน สังเกตอุณหภูมิของน้ำาแข็งในขณะที่กำาลังหลอมเหลว และอุณหภูมิของน้ำาในขณะที่กำาลังเดือด จากนั้น ให้ ำ ้ ื ำ ี ำ ำ นักเรียนอภิปรายร่วมกันโดยตอบคาถามว่า เม่อให้ความร้อนกับนาแข็งท่กาลังหลอมเหลว อุณหภูมิของนาแข็ง ้ ่ ี ี ำ ้ ำ ื ้ ี มีการเปล่ยนแปลงหรือไม อย่างไร และเม่อให้ความร้อนกับนาท่กาลังเดือด อุณหภูมิของนามีการเปล่ยนแปลง ำ หรือไม่ อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า เม่อให้ความร้อนในขณะท่สารกาลังเปล่ยนสถานะ ื ำ ี ี อุณหภูมิของสารจะมีค่าคงตัว และความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะของสารมวล 1 หน่วย โดยอุณหภูมิ ไม่เปลี่ยน เรียกว่า ความร้อนแฝง ความร้อนดังกล่าวหาได้จากสมการ (16.5) ในหนังสือเรียน ครูให้นักเรียนศึกษาความร้อนแฝงของสารบางชนิดแสดงในตารางที่ 16.2 ในหนังสือเรียน และนำา ึ ี นักเรียนอภิปรายเก่ยวกับสารบางชนิดท่มีการเปล่ยนสถานะจากของแข็งเป็นแก๊สซ่งเรียกว่าการระเหิด เช่น ี ี น้ำาแข็งแห้ง และการบูร ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 16.3 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู จุดเดือดของของเหลวมีค่าขึ้นอยู่กับความดันบรรยากาศ เช่น น้ำาจะมีจุดเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ที่ความดัน 1 บรรยากาศ ซึ่งอยู่ในระดับน้ำาทะเล แต่ถ้าความดันต่ำากว่า 1 บรรยากาศ เช่น บนยอดเขาสูง น้ำาจะเดือดที่อุณหภูมิต่ำากว่า 100 องศาเซลเซียส ถ้า ความดันมากกว่า 1 บรรยากาศเช่น ในหม้ออัดความดัน น้ำาจะเดือดที่อุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส จึงนิยมนำาหม้อชนิดนี้มาใช้สำาหรับฆ่าเชื้อ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 152 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 153 16.1.4 การถ่ายโอนความร้อนและสมดุลความร้อน ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง ึ ำ 1. การถ่ายโอนความร้อนเกิดข้นได้โดย 1. การถ่ายโอนเกิดข้นได้โดยการนาความร้อน ึ นาความรอน การพาความร้อน และการแผ ่ การพาความร้อน และการแผ่รังสีความร้อน ำ ้ รังสีความร้อน ซ่งไม่สามารถเกิดข้นพร้อม ซึ่งสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ ึ ึ กันได้ 2. ความร้อนจะถ่ายโอนจากบริเวณท่ม ี 2. ความร้อนจะถ่ายโอนจากบริเวณท่ม ี ี ี ี ่ ความร้อนมากไปยังบริเวณท่มีความร้อนน้อย อุณหภูมิสูงไปยังบริเวณท่มีอุณหภูมิตา ี ำ และหยุดถ่ายโอนเม่อความร้อนของท้งสอง และหยุดถ่ายโอนเมื่ออุณหภูมิของท้งสอง ื ั ั บริเวณเท่ากัน บริเวณเท่ากัน แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 4 ของหัวข้อ 16.1 ตามหนังสือเรียน ู ี ่ ำ ื ำ ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.1.4 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า การถ่ายโอนความร้อน ั สามารถเกิดข้นได้อย่างไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่าง จากน้น ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า ึ การถายโอนความรอนม 3 แบบ คอ การนาความรอน การพาความรอน และการแผรงสความรอน ้ ้ ้ ื ี ั ำ ่ ่ ้ ี ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ครูใช้รูป 16.7 ในหนังสือเรียน นานักเรียนอภิปรายเก่ยวกับการถ่ายโอนความร้อนจากเปลวไฟท่ต้มนา ี ี ำ ำ ้ สู่มือ จนสรุปได้ว่า การถ่ายโอนความร้อนสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการนำาความร้อน การพาความร้อน และ การแผ่รังสีความร้อน วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีพร้อมกัน ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ื ื ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า การถ่ายโอนความร้อนเกิดข้นเม่อใด ำ ึ ี และเก่ยวข้องกับอุณหภูมิอย่างไร โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ำ ำ ี ี ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง แล้วนานักเรียนอภิปรายเก่ยวกับการถ่ายโอนความร้อนและสมดุลความร้อน ื ตามรายละเอียดในหนังสือเรียนจนสรุปได้ว่า การถ่ายโอนความร้อนเกิดข้นเม่อสองบริเวณมีอุณหภูม ิ ึ ั ึ แตกต่างกัน และการถ่ายโอนความร้อนจะเกิดข้นจนกระท่งท้งสองบริเวณมีอุณหภูมิเท่ากัน การถ่ายโอน ั ความร้อนดังกล่าวจะเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน คานวณได้จากสมการ (16.6) ในหนังสือเรียน ำ ั ื ู ิ ี จากน้น ครูให้ความร้เพ่มเติมว่า การท่วัตถุมีการถ่ายโอนความร้อนจนไม่มีการถ่ายโอนความร้อนเม่อม ี อุณหภูมิเท่ากัน เรียกว่า วัตถุทั้งสองอยู่ในสมดุลความร้อน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 154 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 155 ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 16.4 และ 16.5 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา ครูให้นักเรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.1 และทาแบบฝึกหัด 16.1 โดยครูอาจมีการ ำ ำ เฉลยคำาตอบและอภิปรายคำาตอบร่วมกัน แนวการวัดและประเมินผล 1. ความรู้เกี่ยวกับความร้อน จากการตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.1 และการทำาแบบฝึกหัด 16.1 2. ทักษะการแก้ปัญหาและการใช้จำานวนจากการคำานวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความร้อน 3. จิตวิทยาศาสตร์/เจตคติด้านความมีเหตุผล และความรอบคอบ จากการอภิปรายร่วมกัน และจาก การทำาแบบฝึกหัด 16.1 แนวคาตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.1 ำ ำ 1. เหตุใดอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปในหน่วยเคลวินจึงมีค่าเท่ากับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปในหน่วยองศาเซลเซียส ื แนวคำาตอบ เน่องจากช่วงสเกลอุณหภูมิในหน่วยเคลวินมีค่าเท่ากับช่วงสเกลอุณหภูมิในหน่วย องศาเซลเซียส 2. ความจุความร้อนและความร้อนจำาเพาะเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร แนวคำาตอบ ไม่เหมือนกัน โดยที่ ความจุความร้อน คือ อัตราส่วนระหว่างความร้อนที่ให้แก่วัตถุ ึ ึ ิ ี ต่ออุณหภูมิท่เพ่มข้น ซ่งมีค่าไม่คงตัว ส่วนความร้อนจาเพาะ คือ ความจุความร้อนต่อหน่งหน่วยมวล ำ ึ และจะมีค่าคงตัวขึ้นกับสารแต่ละชนิด 3. ในขณะที่ประกอบอาหารภายในห้องครัวโดยใช้ความร้อนจากเปลวไฟ เพราะเหตุใด คนที่อยู่ภายใน ครัวจึงรู้สึกว่าได้รับความร้อนจากเปลวไฟนั้น ี ู แนวคำาตอบ คนท่อย่ภายในครัวได้รับความร้อนจากเปลวไฟเน่องจากมีการพาความร้อนโดย ื โมเลกุลอากาศ และการแผ่รังสีความร้อน 4. การถ่ายโอนความร้อนเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงานหรือไม่ อย่างไร แนวคำาตอบ การถ่ายโอนความร้อนเป็นไปตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน กล่าวคือ ถ้าไม่มีการ ึ ้ ี ี ิ ถ่ายโอนความร้อนให้กับส่งแวดล้อมภายนอก ความร้อนท่วัตถุหน่งให (ความร้อนท่ลดลง) จะเท่ากับ ความร้อนที่อีกวัตถุหนึ่งได้รับ (ความร้อนที่เพิ่มขึ้น) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 154 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 155 ้ ้ ำ ี ี ำ ี 5. ถ้าใส่ตะปูท่เผาจนร้อนลงในแก้วท่มีนาพอสมควร อุณหภูมิของนาและตะปูจะเปล่ยนแปลง อย่างไร เมื่อปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อุณหภูมิของน้ำาและตะปูจะเป็นอย่างไร ึ ื ี ิ ้ ำ ้ ี ำ แนวคำาตอบ เม่อใส่ตะปูท่เผาจนร้อนลงในแก้วท่มีนาพอสมควร อุณหภูมิของนาจะเพ่มข้นและ อุณหภูมิของตะปูจะลดลง เมื่อปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อุณหภูมิของน้ำาและตะปูจะเท่ากัน เฉลยแบบฝึกหัด 16.1 1. จงเปลี่ยนอุณหภูมิต่อไปนี้ ก. 30 C, −10 C, 110 C และ 12.15 C เป็นอุณหภูมิในหน่วยเคลวิน ข. 30 K, 250 K, 330 K และ 373.15 K เป็นอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส วิธีทำา ก. จากความสัมพันธ์ T = t + 273.15 เมื่อ t = 30 C จะได้ T = (30 + 273.15)K = 303.15 K เมื่อ t = −10 C จะได้ T = (−10 + 273.15)K = 263.15 K เมื่อ t = 100 C จะได้้ T = (110 + 273.15)K = 383.15 K เมื่อ t = 12.15 C จะได้้ T = (12.15 + 273.15)K = 285.30 K ข. จากความสัมพันธ์ t = T − 273.15 เมื่อ T = 30 K จะได้ t = (30 − 273.15) C = −3243.15 C เมื่อ T = 250 K จะได้ t = (250 − 273.15) C = −23.15 C เมื่อ T = 330 K จะได้้ t = (330 − 273.15) C = −56.85 C ้้ เมื่อ T = 373.15 K จะได t = (373.15 − 273.15) C = 100.00 C ตอบ ก. 303 K, 263 K, 383 K และ 285.30 K ข. –243 C, –23 C, –57 C และ 100.00 C 2. โลหะชนิดหน่งมวล 2.0 กิโลกรัม ได้รับความร้อน 2500 จูล ทาให้อุณหภูมิเปล่ยนจาก 25 ี ำ ึ องศาเซลเซียส เป็น 45 องศาเซลเซียส จงหาความจุความร้อนและความร้อนจำาเพาะของวัตถุนี้ วิธีทำา จาก C = Q T แทนค่า C = 2500 J (4525) C \= 125 J/ C สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 156 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 157 ดังนั้น C = 125 J/K จาก c = C m แทนค่า c = 125 J/K 2.0 kg ดังนั้น C = 62.5 J/kg K ำ ตอบ วัตถุน้มีความจุความร้อนเท่ากับ 125 จูลต่อเคลวิน และมีความร้อนจาเพาะเท่ากับ 62.5 ี จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน ำ ้ ำ ี 3. จงหาความร้อนท่ทาให้นาแข็งมวล 2 กิโลกรัม อุณหภูม 0 องศาเซลเซียส หลอมเหลวเป็นนา ำ ้ ิ ิ ้ ำ ี อุณหภูม 0 องศาเซลเซียส ท่ความดัน 1 บรรยากาศ กาหนดให ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว 5 ของน้ำาแข็ง (L) เท่ากับ 3.33 × 10 จูลต่อกิโลกรัม f วิธีทำา น้ำาแข็งเปลี่ยนสถานะ (หลอมเหลว) เป็นน้ำาโดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยน ความร้อนที่ใช้ในการ เปลี่ยนสถานะ (หลอมเหลว) เป็นความร้อนแฝง จาก Q = mL f 5 แทนค่า Q = (2 kg)(3.33 × 10 J/kg) \= 666 000 J ดังนั้น Q = 666 kJ ตอบ ปริมาณความร้อนที่ใช้ในการหลอมเหลวน้ำาแข็งมวล 2 กิโลกรัม เท่ากับ 666 กิโลจูล ำ 4. การทาให้นามวล 0.5 กิโลกรัม 0 องศาเซลเซียส เป็นไอนา 100 องศาเซลเซียส ต้องใช ้ ำ ้ ำ ้ ความร้อนเท่าใด ที่ความดัน 1 บรรยากาศ กำาหนดให้ความร้อนจำาเพาะของน้ำา (c water ) เท่ากับ ำ ้ 4186 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน และความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอของนา (L ) เท่ากับ v 5 22.56 × 10 จูลต่อกิโลกรัม วิธีทำา หาความร้อนที่ทำาให้น้ำา 0 C เป็นน้ำา 100 C จาก Q = mc ΔT 1 water แทนค่า Q = (0.5 kg)(4186 J/kg K)(100 K) 1 \= 209 300 J \= 209.3 kJ หาความร้อนในการเปลี่ยนสถานะจากน้ำา100 C เป็นไอน้ำาอุณหภูมิ 100 C ทั้งหมด จาก Q = mL 2 v 5 แทนค่า Q = (0.5 kg)(22.56 × 10 J/kg) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 156 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 157 \= 1 128 000 J \= 1128 kJ ดังนั้น ความร้อนที่ใช้ทั้งหมด = Q + Q 1 2 \= 209.3 kJ + 1128 kJ \= 1337.3 kJ ตอบ ต้องใช้ความร้อนเท่ากับ 1337.3 กิโลจูล 5. นำาก้อนโลหะมวล 300 กรัม ที่มีอุณหภูมิ 400 องศาเซลเซียส ใส่ลงในน้ำาแข็งที่มีมวล 300 กรัม ู ิ ึ ี ้ ำ ุ ี อุณหภูม 0 องศาเซลเซียส ซ่งอย่ในภาชนะท่ถูกห้มรอบด้วยฉนวนความร้อน ในท่สุดนาแข็ง หลอมเหลวหมดกลายเป็นน้ำาที่มีอุณหภูมิ 5.0 องศาเซลเซียส จงหา ก. ความร้อนที่ออกจากก้อนโลหะ ข. ความร้อนจำาเพาะของโลหะที่ได้จากการทดลองนี้ ้ ่ ี ุ วิธีทำา ท่สมดลความร้อน พบวา ความรอนทถายโอนจากกอนโลหะเทากบความรอนทนาแขงไดรบ ่ ้ ่ ่ ี ั ำ ้ ่ ั ้ ็ ี ้ ้ ้ ี ำ ก. เม่อพิจารณา ความร้อนท่นาแข็งได้รับ เท่ากับ Q ซ่งทาให้นาแข็งเปล่ยนสถานะและ ึ ี ำ ำ ื 1 มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น จาก Q = mL + mcΔT -3 3 3 ในที่นี้ m = 300 × 10 kg, L = 333 × 10 J/kg, c = 4.186 × 10 J/kg K และ ΔT = 5 C − 0 C = 5 C หรือ 5 K -3 3 ่ แทนคา Q = (300 × 10 kg)(333 × 10 J/kg) 1 -3 3 + (300 × 10 kg)(4.186 × 10 J/kg K)(5 K) \= 99 900 J + 6279 J ดงนน Q = 106 179 J ั ้ ั 1 ข. พิจารณา ความร้อนที่ถ่ายโอนจากก้อนโลหะ เท่ากับ Q 2 จาก Q = mcΔT ในที่นี้ m = 300 × 10 kg, ΔT = 400 C − 5 C = 395 C หรือ 395 K -3 -3 แทนคา Q = (300 × 10 kg) c (395 K) ่ 2 เนื่องจาก Q = Q จะได้ 2 1 -3 106 179 J = (300 × 10 kg) c (395 K) c = 896 J/kg K ตอบ ก. ความร้อนออกจากก้อนโลหะเท่ากับ 106 กิโลจูล ข. ความร้อนจำาเพาะของโลหะเท่ากับ 896 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 158 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 159 16.2 แก๊สอุดมคติ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายแบบจำาลองของแก๊สอุดมคติ 2. อธิบายกฎของแก๊สอุดมคติและคำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า ี ถ้าจะให้นักเรียนสังเกตรูปร่างของแก๊สท่เปล่ยนตามรูปทรงของภาชนะท่บรรจุให้เตรียมลูกโป่ง ี ี ทรงกลม 1 ลูก ถุงมือยาง 1 อัน และท่อกลวง จำานวน 1 อัน แนวการจัดการเรียนรู้ ำ ู ำ ครูนาเข้าส่หัวข้อ 16.2 โดยใช้รูป 16.8 ในหนังสือเรียน หรือจัดกิจกรรมสาธิตโดยนาถุงมือยางมาต่อ ี ั กับท่อกลวงท่ปลายข้างหน่ง จากน้นเป่าลมเข้าไปในลูกโป่งทรงกลมแล้วนามาต่อเข้ากับท่อกลวงท่ปลาย ำ ี ึ ึ ำ ื ื อีกข้างหน่ง ดังรูป 16.12 ก. แล้วให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า ถ้าใช้มือบีบลูกโป่งทรงกลมเพ่อ ื ี ี ั ู ให้แก๊สท้งหมดท่อย่ในลูกโป่งทรงกลมเคล่อนท่เข้าไปในถุงมือยาง แก๊สดังกล่าวจะมีปริมาตรและรูปทรง ำ ่ ี ี เปล่ยนไปหรือไม อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง ี ื ั จากน้น ครูนานักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า เม่อปล่อยให้แก๊สท่อย่ในลูกโป่งทรงกลมเคล่อนท่เข้าไปยัง ื ำ ี ู ถุงมือยาง ดังรูป 16.12 ข. แก๊สจะมีปริมาตรและรูปทรงเปล่ยนแปลงไปจากทรงกลมเหมือนลูกโป่งเป็น ี รูปมือเหมือนถุงมือยาง นั่นคือ แก๊สมีรูปทรงและปริมาตรเปลี่ยนแปลงได้ตามภาชนะที่บรรจุ ก.ปริมาตรและรูปทรงของแก๊สเมื่ออยู่ในลูกโป่งทรงกลม ข. ปริมาตรและรูปทรงของแก๊สเมื่ออยู่ในถุงมือยาง รูป 16.12 ปริมาตรและรูปทรงของแก๊สเมื่อภาชนะที่บรรจุเปลี่ยนแปลงไป ์ ั ั ู ั ่ ครถามนกเรยนวา ปรมาตร ความดน อณหภมของแกสมความสมพนธกนหรอไม อยางไร ครเปด ่ ู ื ิ ั ิ ุ ั ิ ่ ี ู ี ๊ โอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง จากน้น ครูช้แจงว่า ในหัวข้อท ี ่ ั ี ี ำ ี 16.2 นักเรียนจะได้ศึกษาเก่ยวกับแบบจาลองแก๊สอุคมคต และความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตร ความดัน ิ ำ อุณหภูมิของแก๊ส สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 158 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 159 16.2.1 แบบจำาลองแก๊สอุดมคติ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น - แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 5 ของหัวข้อ 16.2 ตามหนังสือเรียน ครูนำาเข้าสู่หัวข้อที่ 16.2.1 โดยใช้รูป 16.9 ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับพฤติกรรมของแก๊ส ในธรรมชาติว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างจากพฤติกรรมของแก๊สในอุดมคติอย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียน ั ี ่ ้ ิ แสดงความคิดเห็นอย่างอสระ ไม่คาดหวังคาตอบทถูกตอง จากน้น ครูให้นักเรียนศึกษาสมบัติของแก๊ส ำ ำ ในอุดมคติในหนังสือเรียน และให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า แบบจาลองของแก๊สอุดมคต ิ ื ถูกสร้างข้นเพ่อให้การอธิบายพฤติกรรมของแก๊สได้ง่ายข้น โดยแก๊สอุดมคติเป็นแก๊สท่โมเลกุลมีขนาดเล็กมาก ี ึ ึ ี ุ ุ ื ี ไม่มีแรงยึดเหน่ยวระหว่างกัน มีการเคล่อนท่แบบส่ม และมีการชนแบบยืดหย่น ตามรายละเอียดใน หนังสือเรียน 16.2.2 กฎของแก๊สอุดมคติ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง 1. ความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊ส 1. ความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊สม ี ไม่มีความสัมพันธ์กัน ในทุกสถานการณ์ ความสัมพันธ์กันตามกฎของแก๊สอุดมคต ิ เมื่ออยู่ในระบบปิด แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 6 ของหัวข้อ 16.2 ตามหนังสือเรียน ู ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.2.2 โดยทบทวนความร้เก่ยวกับกฎของบอลย กฎของชาร์ล และกฎของเกย์- ี ู ำ ่ ์ ี ลูสแซก ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จากน้น ครูให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันโดยตอบคาถามว่า ถ้านา ำ ำ ั ั ื กฎของแก๊สท้งสามมารวมกันเพ่อหาความสัมพันธ์จะได้สมการเป็นอย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดง ั ำ ำ ี ความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง จากน้น ครูนานักเรียนอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า ำ ้ ิ กฎของแก๊สสามารถนามารวมกันได ตามรายละเอียดในหนังสือเรียนจนได้กฎของแก๊สอุดมคต ดังสมการ (16.7) และ (16.8) ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 16.6 16.7 และ 16.8 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา ครูให้นักเรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.2 และทาแบบฝึกหัด 16.2 โดยครูอาจมีการเฉลย ำ ำ คำาตอบและอภิปรายคำาตอบร่วมกัน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 160 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 161 แนวการวัดและประเมินผล ี ำ ิ ำ ู 1. ความร้เก่ยวกับแก๊สอุดมคต จากการตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.2 และการทาแบบฝึกหัด 16.2 2. ทักษะการแก้ปัญหาและการใช้จำานวนจากการคำานวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแก๊สอุดมคติ 3. จิตวิทยาศาสตร์/เจตคติด้านความมีเหตุผล และความรอบคอบ จากการอภิปรายร่วมกัน และจาก การทำาแบบฝึกหัด 16.2 แนวคาตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.2 ำ ำ 1. แก๊สสามารถถูกบีบอัดให้มีปริมาตรลดลงจากเดิมได้มาก เพราะเหตุใด แนวคำาตอบ เพราะโมเลกุลของแก๊สอยู่ห่างกันทำาให้มีที่ว่างระหว่างโมเลกุลมาก 2. แก๊สอุดมคติมีสมบัติอย่างไร ี แนวคำาตอบ แก๊สอุดมคติเป็นแก๊สท่โมเลกุลมีขนาดเล็กมาก ไม่มีแรงยึดเหน่ยวระหว่างโมเลกุล ี มีการเคลื่อนที่แบบสุ่มและมีการชนแบบยืดหยุ่น 3. ความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊สอุดมคติในภาชนะปิดมีความสัมพันธ์กันหรือไม ่ อย่างไร แนวคำาตอบ ความดัน P ปริมาตร V และ อุณหภูมิ T ของแก๊สอุดมคติ มีความสัมพันธ์เป็นไป ตามกฎของแก๊สอุดมคติ คือ PV = nRT หรือ PV = Nk T B 4. พิจารณากระบอกสูบ 2 กระบอก กระบอกสูบแรกมีปริมาตรเป็นสองเท่าของกระบอกสูบที่สอง ั กระบอกสูบท้งสองมีอุณหภูมิเท่ากัน และบรรจุด้วยแก๊สชนิดเดียวกัน จะหาความดันของแก๊ส ภายในกระบอกสูบทั้งสองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด แนวคำาตอบ ไม่สามารถหาความดันของแก๊สภายในกระบอกสูบได้ เพราะไม่ทราบจำานวนโมล ๊ ื หรือจานวนโมเลกุลของแกสภายในกระบอกสูบ เน่องจากกฎของแก๊สอุดมคต (PV = nRT หรอ ื ำ ิ PV = Nk T) แม้ทราบค่าปริมาตร (V) และอุณหภูมิ (T) จากโจทย์ แต่ยังไม่เพียงพอสำาหรับ B ั ื ำ ่ ๊ ั การหาความดนของแกสภายในกระบอกสูบ (P ) เนองจากยงไม่ทราบคาจานวนโมล (n) หรอ ่ ื จำานวนโมเลกุล (N) ของแก๊สภายในกระบอกสูบ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 160 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 161 เฉลยแบบฝึกหัด 16.2 ์ 1. ยางรถยนต์มีความดันอากาศภายในยางรถยนต 200 กิโลพาสคัล และมีอุณหภูมิ 283 เคลวิน ี ื ิ ึ ้ หลังจากรถเคล่อนท่ไปได 100 กิโลเมตร อุณหภูมิของอากาศในยางรถยนต์เพ่มข้นเป็น 313 เคลวิน จงหาความดันของอากาศในยางรถยนต์ตอนหลังนี้ กำาหนดให้ปริมาตรยางคงตัว PV PV วิธีทำา จาก 1 1 = 2 2 T 1 T 2 11 จะได้ P 2 = PV T 2 2 TV 1 5 แทนค่า P 2 = (2.0010Pa)(V) (313 K) (V) (283K) ดังนั้น P = 2.21 × 10 Pa 5 2 ตอบ ความดันอากาศภายในยางรถยนต์ตอนหลังเท่ากับ 221 กิโลพาสคัล 5 2. พิจารณาภาชนะท่มีปริมาตรคงตัว บรรจุแก๊สอาร์กอนมีความดัน 3.00 × 10 พาสคัล ท่อุณหภูม ิ ี ี 300 เคลวิน เม่อเพ่มอุณหภูมิของภาชนะเป็น 400 เคลวิน หลังจากน้นแก๊สร่วไหลออกจาก ั ั ิ ื ภาชนะคิดเป็นร้อยละ 20 ของปริมาณแก๊สเริ่มต้น จงหา ก. ความดันของแก๊สอาร์กอนภายในภาชนะก่อนแก๊สรั่ว ขณะที่มีอุณหภูมิ 400 เคลวิน ข. ความดันของแก๊สอาร์กอนภายในภาชนะหลังแก๊สรั่ว ขณะที่มีอุณหภูมิ 400 เคลวิน วิธีทำา ก. จากกฎของแก๊สอุดมคติ PV = nRT PV PV จะได้ 11 = 22 nT nT 11 22 P P ก่อนรั่ว V และ n คงตัว จะได้ 1 = 2 T 1 T 2 5 3.00 10 Pa P แทนค่า = 2 300 K 400 K 5 ดังนั้น P = 4.00 × 10 Pa 2 P P ข. หลังรั่ว V และ T คงตัว จะได้ 2 = 3 n 2 n 3 5 4.00 10 Pa P แทนค่า = 3 n 2 (0.80)n 2 ดังนั้น P = 3.20 × 10 Pa 5 3 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 162 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 163 5 ตอบ ก. ความดันของแก๊สอาร์กอนภายในภาชนะก่อนแก๊สรั่ว เท่ากับ 4.00 × 10 พาสคัล 5 ข. ความดันของแก๊สอาร์กอนภายในภาชนะหลังแก๊สรั่ว เท่ากับ 3.20 × 10 พาสคัล 16.3 ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส จุดประสงค์การเรียนรู้ ำ 1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลแก๊ส และคานวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ์ ิ 2. อธบายความสัมพนธระหวางพลงงานจลนเฉล่ยของแก๊สกับอณหภม และคานวณปรมาณตาง ๆ ิ ุ ั ิ ู ำ ่ ี ์ ั ่ ที่เกี่ยวข้อง ิ 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊สกับอุณหภูม และ คำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ครูต้องเตรียมล่วงหน้า ื ี จะมีการให้นักเรียนสังเกตการเปล่ยนแปลงความดันของแก๊สเม่อได้รับความร้อน ให้เตรียมภาชนะ บรรจุน้ำาสบู่หรือน้ำายาล้างจาน 1 ใบ ภาชนะบรรจุน้ำาร้อน 1 ใบ ขวดแก้ว 1 ใบ แนวการจัดการเรียนรู้ ครูนาเข้าส่หัวข้อ 16.3 โดยใช้รูป 16.10 ในหนังสือเรียน หรือจัดกิจกรรมสาธิตโดยให้นักเรียน ำ ู ู ุ ้ ำ ้ ำ สังเกตการเปล่ยนแปลงความดันของแก๊สเม่อได้รับความร้อน โดยจ่มขวดแก้วลงในนาสบ่หรือนายาล้างจาน ี ื ุ ื ให้เกิดฟิล์มบางท่ปากขวดแก้ว จากน้นนาขวดแก้วไปจ่มนาร้อน แล้วให้นักเรียนสังเกตว่า เหตุใดเม่อแก๊ส ี ้ ั ำ ำ ได้รับความร้อนจึงมีความดันเพิ่มสูงขึ้นจนทำาให้ฟิล์มบางนูนขึ้นจากปากขวด จะสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี ้ ได้ด้วยพฤติกรรมของแก๊สในระดับโมเลกุลอย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง ี ี ครูช้แจงว่า ในหัวข้อท 16.3 นักเรียนจะได้ศึกษาเก่ยวกับทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ซ่งเป็นการศึกษา ึ ี ่ พฤติกรรมของแก๊สในระดับโมเลกุล เพื่ออธิบายสมบัติบางประการของแก๊ส ได้แก่ ความดัน ปริมาตร และ อุณหภูมิ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 162 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 163 16.3.1 ความสัมพันธ์ระหว่างความดันและอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊ส ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง ี ิ ุ ๊ 1. เมอแกสในภาชนะปิดมอณหภูมสงข้น จะ 1. เมื่อแก๊สในภาชนะปิดมีอุณหภูมิสูงขึ้น จะ ื ่ ึ ู ื ำ ำ ทาให้แก๊สเคล่อนท่ด้วยอัตราเร็วเพ่มข้น ทาให้แก๊สเคล่อนท่ด้วยอัตราเร็วเพ่มข้น ี ี ิ ื ึ ิ ึ ื ำ ู ี โมเลกุลของแก๊สจะอย่ห่างกัน ความดันของ จานวนโมเลกุลของแก๊สท่ชนต่อพ้นท ่ ี แก๊สจึงลดลง จะเพิ่มขึ้น ความดันของแก๊สจึงเพิ่มขึ้น แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 7 ของหัวข้อ 16.3 ตามหนังสือเรียน ู ี ่ ำ ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.3.1 โดยยกสถานการณ์การเป่าลมเข้าลูกโป่ง แล้วให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน ุ ำ ู ่ ู ิ ำ โดยตอบคาถามวา ทาไมลกโปงจงพองออก การเพ่มจานวนโมเลกลของอากาศในลกโปงทาใหลกโปง ่ ึ ำ ่ ่ ู ำ ้ พองออกได้อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง ี ำ ื ั ิ จากน้น ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า เม่อเป่าลมเข้าลูกโป่งเป็นการเพ่มจำานวนโมเลกุลของ อากาศ ทาให้จานวนโมเลกุลของอากาศชนกับผนังของลูกโป่งท่เวลาขณะหน่งมากข้น ความดันภายในลูกโป่ง ึ ี ำ ึ ำ จึงสูงกว่าความดันภายนอกลูกโป่ง ประกอบกับลูกโป่งมีความยืดหยุ่นสูง ลูกโป่งจึงพองตัว จากนั้น ครูชี้ให้ ำ ้ ่ ่ เห็นวา การพจารณาพฤติกรรมของแกสในระดับโมเลกลดังตัวอย่างข้างต้นชวยทาให้เขาใจสมบัตของแกส ๊ ิ ุ ิ ๊ มากยิ่งขึ้น ครูชี้แจงว่า ในหัวข้อนี้ นักเรียนจะได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความดันและอัตราเร็วโมเลกุลของ แก๊ส โดยเริ่มต้นจากแก๊สอุดมคติเพียงโมเลกุลเดียวที่บรรจุในภาชนะทรงลูกบาศก์ จากนั้น ครูใช้รูป 16.10 16.11 16.12 และ 16.13 นำานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับความดันของแก๊สโดยพิจารณาโมเลกุลของแก๊สท ี่ ี ุ ี เคลื่อนท่ชนผนังแบบยืดหย่น จนได้ความสัมพันธ์ระหว่างความดันและอัตราเร็วกาลังสองเฉล่ยของโมเลกุล ำ ของแก๊สตามสมการ (16.10) และ (16.11) และความสัมพันธ์ระหว่างความดันและอัตราเร็วอาร์เอ็มเอส ของโมเลกุลของแก๊ส ตามสมการ (16.12) ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ครูใช้รูป 16.15 นานักเรียนอภิปรายเก่ยวกับการอธิบายพฤติกรรมของแก๊สตามกฎของบอยล์โดย ี ำ ใช้มุมมองทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 164 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 165 ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู อัตราเร็วอาร์เอ็มเอส (v ) เป็นอัตราเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สอีกแบบหนึ่งที่มาจากการ rms พิจารณาการเคลื่อนที่ของแก๊สในแนว x y และ z ทำาให้ต่างจากค่าเฉลี่ยทั่วไป โดยอัตราเร็ว อาร์เอ็มเอส (v ) อาจจะไม่เท่ากับอัตราเร็วเฉลี่ย (v) ก็ได้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่แก๊สมีโมเลกุล 5 rms ตัว เคลื่อนที่ในทิศทางต่าง ๆ กัน มีอัตราเร็ว 300 350 400 450 และ 500 เมตรต่อวินาที เมื่อหา อัตราเร็วเฉลี่ยและอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสจะได้ v = 1 (300 m/s+350m/s 400 m/s 450 m/s500 m/s) 5 \= 400 m/s 2 300 m/s+ 350m/s 2 400 m/s 2 450 m/s 2 500 m/s 2 v rms = 5 \= 406.2 m/s ดังนั้น ในกรณีนี้ อัตราเร็วเฉลี่ย (v) ไม่เท่ากับ อัตราเร็วอาร์เอ็มเอส (v ) rms 16.3.2 ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สกับอุณหภูมิ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง ี ิ ู ิ ่ ่ ี ิ ื ึ ้ ั ึ ่ ๊ 1. เมอแกสมีอณหภมเพมขน พลงงานจลน์เฉลย 1. เม่อแก๊สมีอุณหภูมิเพ่มข้น พลังงานจลน์เฉล่ย ื ุ ึ ของแก๊สยังคงเดิมเสมอ ของแก๊สจะเพ่มข้น โดยมีความสัมพันธตาม ิ ์ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ึ ี ้ ู ่ ั ์ ั ี ่ ู 2. พลงงานจลนเฉลยของแกสขนอยกบมวล 2. พลังงานจลน์เฉล่ยของแก๊สข้นอย่กับอุณหภูม ิ ึ ๊ ั รวมทั้งหมดของแก๊ส ของแก๊สแต่ไม่ข้นกับมวลรวมท้งหมดของ ึ แก๊ส 3. ท่อุณหภูมิหน่ง แก๊สอะตอมเด่ยวท่มีมวล 3. ท่อุณหภูมิหน่ง แก๊สอะตอมเด่ยวทุกชนิด ึ ี ี ี ี ึ ี ์ ี ึ ั ่ ่ ๊ มาก จะมพลงงานจลนเฉลยมากกวาแกส จะมีพลังงานจลน์เฉล่ยเท่ากัน ไม่ข้นกับ ี ี อะตอมเดี่ยวที่มีมวลน้อย มวลของแก๊ส สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 164 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 165 แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 8 ของหัวข้อ 16.3 ตามหนังสือเรียน ี ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.3.2 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า ถ้าอุณหภูมิของ ่ ำ ู ื ำ แก๊สเพิ่มขึ้น พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สจะเป็นอย่างไร และความสัมพันธ์ตามสมการ (16.12) จะสามารถ หาความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉล่ยของแก๊สกับอุณหภูมิได้อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดง ี ั ความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง จากน้น ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันจนได ้ ำ ี ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉล่ยของแก๊สกับอุณหภูมิตามสมการ (16.14) ตามรายละเอียด ี ในหนังสือเรียน ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 16.9 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา 16.3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊สกับอุณหภูมิ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง ื ึ ึ ิ ิ ื 1. เม่อแก๊สมีอุณหภูมิเพ่มข้น อัตราเร็วอาร์เอ็มเอส 1. เม่อแก๊สมีอุณหภูมิเพ่มข้น อัตราเร็วอาร์เอ็มเอส ึ ิ ของโมเลกุลของแก๊สยังคงเดิมเสมอ ของโมเลกุลของแก๊สจะเพ่มข้น โดยม ี ความสัมพันธ์กันตามทฤษฎีจลน์ของแก๊ส แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 9 ของหัวข้อ 16.3 ตามหนังสือเรียน ำ ื ู ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.3.3 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า จากความสัมพันธ ์ ำ ี ่ ระหว่างพลังงานจลน์กับอุณหภูมิตามสมการ (16.14) จะสามารถหาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอส ิ ็ ู ิ ั ี ของโมเลกลของแกสกบอณหภมไดอยางไร ครเปดโอกาสใหนกเรยนแสดงความคดเหนอยางอสระ ้ ู ิ ้ ุ ๊ ั ุ ่ ่ ิ ำ ั ี ่ ั ู ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง จากน้น ครและนกเรียนอภิปรายรวมกันจนได้ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็ว อาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊สกับอุณหภูมิตามสมการ (16.15) ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 16.10 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา ำ ครูใช้รูป 16.16 นานักเรียนอภิปรายเก่ยวกับการใช้ทฤษฎีจลน์ของแก๊สเพ่ออธิบายการหดตัวของ ี ื ลูกโป่งเมื่อแช่ในน้ำาเย็น และการขยายตัวของลูกโป่งเมื่อแช่ในน้ำาร้อน ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 166 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 167 แนวการวัดและประเมินผล 1. ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีจลน์ของแก๊ส จากการตอบคำาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.3 และการทำา แบบฝึกหัด 16.3 2. ทักษะการแก้ปัญหาและการใช้จำานวนจากการคำานวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีจลน์ ของแก๊ส 3. จิตวิทยาศาสตร์/เจตคติด้านความมีเหตุผล และความรอบคอบ จากการการอภิปรายร่วมกัน และ จากการทำาแบบฝึกหัด 16.3 แนวคาตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.3 ำ ำ 1. การเพิ่มและลดอุณหภูมิของแก๊สในภาชนะปิดปริมาตรคงตัว มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความดัน ของแก๊สหรือไม่ เพราะเหตุใด ิ ี แนวคำาตอบ มีผลการเปล่ยนแปลงความดันของแก๊ส เพราะการเพ่มอุณหภูมิของแก๊สทาให ้ ำ ้ ี ิ ั ุ ึ ี ื ์ ื ั โมเลกลของแก๊สมพลงงานจลนเพ่มข้นและเคล่อนท่ดวยอัตราเร็วมากข้น เม่อชนกบผนังภาชนะ ึ จึงเกิดแรงกระทำาต่อผนังมากขึ้น ทำาให้มีความดันสูงขึ้น ในขณะที่การลดอุณหภูมิของแก๊สทำาให้ โมเลกุลของแก๊สมีพลังงานจลน์ลดลงและเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วลดลง เมื่อชนกับผนังภาชนะจึง มีความถี่ในการชนผนังภาชนะลดลงและเกิดแรงกระทำาต่อผนังลดลง ทำาให้มีความดันลดลง ื 2. เม่ออุณหภูมิของแก๊สเฉ่อยมีค่าเป็น 0 เคลวิน โมเลกุลแก๊สเฉ่อยมีการเคล่อนท่หรือไม เพราะเหตุใด ่ ื ื ื ี แนวคำาตอบ โมเลกุลไม่มีการเคลื่อนที่ เพราะเมื่ออุณหภูมิของแก๊สเฉื่อย T มีค่าเป็น 0 เคลวิน พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลซึ่งเป็นไปตามสมการ มีค่าเป็นศูนย์ ่ ี ี ำ ื 3. เม่อนากล่อง 2 ใบ ท่มีปริมาตร และความดันภายในกล่องเท่ากัน กล่องใบท 1 บรรจุแก๊ส ไนโตรเจนจำานวน 1.0 โมล กล่องใบที่ 2 บรรจุแก๊สออกซิเจนจำานวน 1.0 โมล เท่ากัน ก. อุณหภูมิของแก๊สในกล่องแต่ละใบมีค่าเท่ากันหรือไม่ ข. อัตราเร็วอาร์เอ็มเอส (v ) ของโมเลกุลของแก๊สในกล่องแต่ละใบแตกต่างกันหรือไม่ rms แนวคำาตอบ ก. อุณหภูมิของแก๊สในกล่องแต่ละใบมีค่าเท่ากัน เน่องจากแก๊สในกล่องแต่ละใบมีความดัน P ื ปริมาตร V และจานวนโมล n ของแก๊สเท่ากัน เม่อพิจารณาตามกฎของแก๊สอุดมคต ิ ื ำ (PV = nRT) อุณหภูมิของแก๊สในกล่องทั้งสองจึงเท่ากับ T เหมือนกัน ข. อัตราเร็วอาร์เอ็มเอส(v ) ของแก๊สออกซิเจนในกล่องที่ 1 น้อยกว่าแก๊สไนโตรเจนในกล่องที่ 2 rms ั ี เน่องจาก พลังงานจลน์เฉล่ยของแก๊สท้งสองมีค่าตามสมการ โดยอุณภูม ิ ื สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 166 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 167 ั ของแก๊สท้งสองเท่ากันพลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สจึงเท่ากันด้วย แต่แก๊สออกซิเจนมีมวล ั มากกว่าแก๊สไนโตรเจน ดังน้นอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของแก๊สออกซิเจนจึงน้อยกว่าแก๊สไนโตรเจน เฉลยแบบฝึกหัด 16.3 1. แก๊สฮีเลียมจำานวน 1.00 โมล บรรจุในลูกโป่ง ซึ่งมีอุณหภูมิ 400 เคลวิน จงหา ก. พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สฮีเลียม ข. พลังงานจลน์รวมของโมเลกุลทั้งหมดของแก๊สฮีเลียม วิธีทำา ก. พลังงานจลน์เฉลี่ย ( ) ของแก๊สฮีเลียม ซึ่งเป็นแก๊สอะตอมเดี่ยว มีค่าตามสมการ -23 แทนค่า (1.38 × 10 J/K)(400 K) -21 ดังนั้น = 8.28 × 10 J ข. พลังงานจลน์รวมของโมเลกุลทั้งหมด (E ) สามารถหาได้จาก k E = N k ่ แต N = nN เมื่อ n คือ จำานวนโมล และ N คือ ค่าคงตัวอโวกาโดร A A นั่นคือ E = nN k A 23 -1 -21 ่ แทนคา = (1.00 mol)(6.02 × 10 mol )(8.28 × 10 J) \= 4984 J ดังนั้น E = 4.98 kJ k -21 ตอบ ก. พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สฮีเลียม เท่ากับ 8.28 × 10 จูล ข. พลังงานจลน์รวมของโมเลกุลทั้งหมดของแก๊สฮีเลียม เท่ากับ 4.98 กิโลจูล 2. ภาชนะใบหน่ง มีอุณหภูมิคงตัว บรรจุแก๊สผสมระหว่างนีออนกับอาร์กอน ซ่งมวลอะตอมของ ึ ึ อาร์กอนมีค่าเป็นสองเท่าของนีออน ถ้าอัตราเร็วอาร์เอ็มเอส (v ) ของแก๊สนีออนมีค่า 300 เมตร rms ต่อวินาที จงหาอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของอาร์กอน วิธีทำา อัตราเร็วอาร์เอ็มเอส v กับอุณหภูมิ T ของแก๊ส มีความสัมพันธ์ตามสมการ rms 3kT v = B rms m สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 168 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 169 ให ้ v rms Ne และ v rms Ar เป็นอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของแก๊สนีออนและอาร์กอนตามลำาดับ m และ m เป็นมวลอะตอมของแก๊สนีออนและอาร์กอน ตามลำาดับ โดย m = m Ne Ne Ar Ar โจทย์กำาหนดให้อุณหภูมิของแก๊สทั้งสองมีค่าเท่ากัน นั่นคือ T = T = T จะได้ Ar Ne 3kT (1) v rms Ne = m B Ne 3kT v rms Ne = 3kT m B และ v rms Ar = m B Ne (2) B v rms = Ar 3kT (2) v rms Ar Ar Ne m Ar นำา จะได้ = v (1) v rms Ne rms Ar = m Ar Ne v rms v m m แทนค่า Ar rms = Ne Ne Ar v 300 m/s Ar = 2m Ne m Ne rms \= 1502 m/s ดังนั้น v 300 m/s 2m Ne rms Ar v ตอบ อัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของอาร์กอนเท่ากับ = 1502 m/s เมตรต่อวินาที หรือ 212 เมตรต่อวินาที rms Ar 16.4 กฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายและคำานวณพลังงานภายในระบบ 2. อธิบายและคำานวณงานที่ทำาโดยแก๊ส ำ ี 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความร้อน พลังงานภายในระบบ กับงานท่ทาโดยแก๊ส และ คำานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4. อธิบายการนำาความรู้เรื่องพลังงานภายในระบบไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำาวัน แนวการจัดการเรียนรู้ ครูนำาเข้าสู่หัวข้อ 16.4 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อตอบคำาถามว่า ปัจจัยใดบ้างที่ทำาให้แก๊ส ำ เกิดการเปล่ยนแปลงปริมาตร และการเปล่ยนแปลงปริมาตรของแก๊สสามารถนามาประยุกต์ใช้ในชีวิต ี ี ประจาได้อย่างไร ครูอาจยกตัวอย่างการใช้กระบอกสูบเติมลมลูกโป่งหรือลูกบอลแล้วให้นักเรียนอภิปราย ำ ำ ร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า แก๊สมีการทางานหรือไม และอุณหภูมิของแก๊สในกระบอกสูบมีการเปล่ยนแปลง ่ ำ ี ื อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง ี ่ ี ครูช้แจงว่า ในหัวข้อท 16.4 นักเรียนจะได้ศึกษาเก่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานภายในระบบ ี งาน และความร้อน ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาตรของแก๊ส สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 168 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 169 16.4.1 พลังงานภายในระบบ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง 1. พลังงานภายในของแก๊สหรือพลังงานภายใน 1. พลังงานภายในของแก๊สหรือพลังงานภายใน ระบบข้นอย่กับอุณหภูมิของแก๊ส แต่ไม่ข้น ระบบข้นอย่กับอุณหภูมิของแก๊สและ ึ ึ ู ู ึ ู ำ อย่กับจานวนโมเลกุลของแก๊สท่มีในระบบ จำานวนโมเลกุลของแก๊สที่มีในระบบ ี แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 10 ของหัวข้อ 16.4 ตามหนังสือเรียน ำ ื ำ ี ู ่ ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.4.1 โดยอาจยกสถานการณ์ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า ถ้ามีภาชนะ 2 ใบ บรรจุแก๊สชนิดเดียวกันและมีอุณหภูมิเท่ากัน พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สเท่ากัน หรือไม่ และพลังงานทั้งหมดของโมเลกุลที่บรรจุในภาชนะแต่ละใบเท่ากันหรือไม่ อย่างไร ซึ่งควรสรุปได้ว่า ั ี ื พลังงานจลน์เฉล่ยของโมเลกุลแก๊สในภาชนะท้งสองใบเท่ากัน เน่องจากอุณหภูมิเท่ากัน แต่พลังงานจลน ์ ึ ู ำ ื ั ท้งหมดในภาชนะอาจไม่เท่ากันข้นอย่กับจานวนโมเลกุล จากน้นครูให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบ ั ี ำ ู คาถามว่า พลังงานท้งหมดของโมเลกุลแก๊สท่บรรจุอย่ในระบบสามารถหาได้อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียน ั แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง จากน้น ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกัน ั ี ำ ี เก่ยวกับพลังงานภายในระบบ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนได้สมการ (16.16) (16.17) และ (16.18) 16.4.2 งานที่ทำาโดยแก๊ส ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง ี ื ี 1. งานท่ทาโดยแก๊สภายในลูกสูบเป็นบวก 1. เม่อลูกสูบเคล่อนท่ออก งานท่ทาโดย ำ ื ี ำ ื เสมอ ไม่ว่าจะในกรณีที่ลูกสูบเคลื่อนที่เข้า แก๊สภายในลูกสูบเป็นบวก แต่เม่อลูกสูบ หรือเคลื่อนที่ออก เคล่อนท่เข้า งานท่ทาโดยแก๊สภายใน ี ื ำ ี ลูกสูบเป็นลบ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 170 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 171 แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 11 ของหัวข้อ 16.4 ตามหนังสือเรียน ่ ำ ี ำ ู ื ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.4.2 โดยใช้รูป 16.17 ในหนังสือเรียน นาให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อ ี ื ี ำ ตอบคาถามว่า ถ้าให้ความร้อนแก่แก๊สท่บรรจุในกระบอกสูบท่ลูกสูบสามารถเคล่อนท่ได้คล่อง จะเกิดการ ี ิ ี ึ เปล่ยนแปลงอย่างไร ซ่งควรสรุปได้ว่า แก๊สะขยายตัวมีปริมาตรเพ่มข้นและดันลูกสูบให้เคล่อนท่ข้น จากน้น ึ ี ื ั ึ ครูให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า เม่อแก๊สขยายตัวจนมีปริมาตรเพ่มข้น แก๊สมีการทางาน ึ ำ ำ ื ิ ื ี ำ ำ ู หรือไม ร้ได้อย่างไร และถ้าแก๊สมีการทางาน จะสามารถหางานท่ทาโดยแก๊สได้อย่างไร ครูเปิดโอกาสให ้ ่ ี ั นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ถูกต้อง จากน้น ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกัน ำ เกี่ยวกับงานที่ทำาโดยแก๊สจนได้สมการ (16.19) ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเก่ยวกับความแตกต่างระหว่างงานท่ทาโดยแก๊สและงานท่ทาต่อ ี ี ี ำ ำ ื ั ู ้ ึ ั ่ ู ๊ ี ิ ื แกสตามรายละเอียดในหนงสอเรยน โดยใชรป 16.18 ในหนงสอเรียนประกอบการอภปราย ซงครอาจ ทบทวนเรื่องงานที่เป็นบวกและงานที่เป็นลบ โดยให้นักเรียนสังเกตทิศทางของแรงและการกระจัด ซึ่งควร สรุปได้ว่า งานเป็นบวกเมื่อแรงและการกระจัดมีทิศทางเดียวกัน ส่วนงานเป็นลบเมื่อแรงและการกระจัดมี ทิศทางตรงข้ามกัน ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 16.11 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา 16.4.3 กฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น - แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 12 ของหัวข้อ 16.4 ตามหนังสือเรียน ี ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.4.3 โดยอาจยกสถานการณ์ให้นักเรียนอภิปรายเก่ยวกับความสัมพันธ ์ ู ำ ่ ี ำ ี ระหว่างพลังงานภายในระบบและงานท่ทาโดยแก๊ส เช่น ถ้ามีภาชนะ 2 ใบ ท่บรรจุแก๊สชนิดเดียวกัน ี ิ ึ ี ึ ำ มีจานวนโมลเท่ากัน และมีอุณหภูมิเร่มต้นเท่ากัน โดยภาชนะใบหน่งลูกสูบสามารถเคลื่อนท่ข้นและลงได ้ ั ึ อย่างอิสระ ส่วนภาชนะอีกใบหน่งลูกสูบไม่สามารถเคล่อนท่ได ถ้าให้ความร้อนกับภาชนะท้งสองเท่ากัน ื ี ้ ่ ึ ี ดังรูป 16.13 จะเกิดการเปล่ยนแปลงเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม อย่างไร และอุณหภูมิท่เพ่มข้นในภาชนะ ี ิ ่ ื ำ แต่ละใบเท่ากันหรือไม อย่างไร จากน้นครูให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า ความร้อนม ี ั ี ความสัมพันธ์กับพลังงานภายในระบบและงานท่ทาโดยแก๊สอย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดง ำ ความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 170 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 171 ก. ให้ความร้อนกับแก๊สในภาชนะที่ลูกสูบ ข. ให้ความร้อนกับแก๊สในภาชนะที่ลูกสูบไม่ สามารถเคลื่อนที่ขึ้นและลงได้อย่างอิสระ สามารถเคลื่อนที่ขึ้นและลงได้อย่างอิสระ รูป 16.13 การให้ความร้อนกับแก๊สในภาชนะที่แตกต่างกัน ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเก่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานภายในระบบ ความร้อน ี ี ำ ี ึ และงานท่ทาโดยแก๊ส ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน จนได้สมการ (16.20) ซ่งเรียกความสัมพันธ์น้ว่า ี ึ ี ์ ู ำ กฎข้อท่หน่งของอุณหพลศาสตร จากน้น ครูอาจให้นักเรียนนาความร้เก่ยวกับกฎข้อท่หน่งของ ั ี ึ อุณหพลศาสตร์ไปอธิบายสถานการณ์ในการให้ความร้อนกับแก๊สในภาชนะท่แตกต่างกันดังรูป 16.13 ี จนสรุปได้ว่า ถ้าให้ความร้อนกับภาชนะทั้งสองเท่ากัน จะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน คือ ภาชนะใบแรก ี ึ ี ี ท่ลูกสูบสามารถเคล่อนท่ข้นและลงได้อย่างอิสระ ความร้อนท่ให้กับแก๊สส่วนหน่งจะเปล่ยนเป็นงานท่ทา ำ ื ี ึ ี ำ ี ื ำ โดยแก๊สทาให้ลูกสูบเคล่อนท่ข้น และความร้อนส่วนท่เหลือจะถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานภายในระบบทาให ้ ี ึ แก๊สมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่วนภาชนะใบที่สองที่ลูกสูบไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ความร้อนทั้งหมดที่ให้กับแก๊สจะ ถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานภายในระบบทำาให้แก๊สมีอุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้น อุณหภูมิของแก๊สในภาชนะที่สอง จะสูงกว่าอุณหภูมิของแก๊สในภาชนะที่หนึ่ง ดังรูป 16.4 ก. การเปลี่ยนแปลงของแก๊สในภาชนะที่ลูกสูบ ข. การเปลี่ยนแปลงของแก๊สในภาชนะที่ลูกสูบ สามารถเคลื่อนที่ขึ้นและลงได้อย่างอิสระ ไม่สามารถเคลื่อนที่ขึ้นและลงได้อย่างอิสระ รูป 16.14 การเปลี่ยนแปลงของแก๊สในภาชนะที่แตกต่างกัน หลังจากได้รับความร้อนในปริมาณที่เท่ากัน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 172 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 173 ี ู ็ ่ ี ั ้ ่ ำ ้ ู ้ ่ ครใหความรเสริมวา จากสมการ (16.20) ทาใหทราบวา ความร้อนเปนเพยงพลงงานทถายโอนใน ่ รูปงานและพลังงานภายในระบบเท่านั้น จากนั้น ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับเครื่องหมายของ ความร้อน พลังงานภายในระบบ และงานที่ทำาโดยแก๊ส ตามกฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์ โดยใช้ตาราง 16.3 ในหนังสือเรียนประกอบการอภิปราย ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง 16.12 และ 16.13 โดยครูเป็นผู้ให้คำาแนะนำา 16.4.4 การประยุกต์ของอุณหพลศาสตร์ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ความเข้าใจคลาดเคลื่อน แนวคิดที่ถูกต้อง ื 1. เคร่องยนต์เบนซินและเคร่องยนต์ดีเซลแม ้ 1. เคร่องยนต์เบนซินและเคร่องยนต์ดีเซลม ี ื ื ื ื ื จะใช้เช้อเพลิงแตกต่างกัน แต่มีกลไกการ การใช้เช้อเพลิงแตกต่างกัน และมีกลไก ี ื จุดระเบิดที่เหมือนกัน การจุดระเบิดท่แตกต่างกัน โดยเคร่องยนต ์ เบนซินใช้หัวเทียนในการจุดระเบิด ส่วน ื ื เคร่องยนต์ดีเซลใช้ระบบฉีดเช้อเพลิงใน การจุดระเบิด ้ ู ื ำ 2. สารทาความเยนในตเยนและเครองปรบ 2. สารทาความเย็นในต้เย็นและเคร่องปรับ ็ ู ็ ื ำ ่ ั ู ี ำ ี ำ อากาศทาหน้าท่ให้ความเย็นภายในต้เย็น อากาศทาหน้าท่ถ่ายโอนความร้อนจากภายใน และภายในห้อง ตู้เย็นหรือภายในห้องให้ออกสู่ภายนอก แนวการจัดการเรียนรู้ ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อที่ 13 ของหัวข้อ 16.4 ตามหนังสือเรียน ู ื ำ ี ี ่ ำ ครูนาเข้าส่หัวข้อท 16.4.4 โดยให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่อตอบคาถามว่า ความร้เก่ยวกับ ู ึ ื กฎข้อทหน่งของอุณหพลศาสตร์สามารถนามาประยุกต์ใชงานการออกแบบและสรางเคร่องยนต์ความร้อน ้ ี ่ ้ ำ ต้เย็น และเคร่องปรับอากาศได้อย่างไร ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ู ื ไม่คาดหวังคำาตอบที่ถูกต้อง ื ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเก่ยวกับเคร่องยนต์ความร้อนซ่งแบ่งออกเป็นเคร่องยนต ์ ึ ี ื สันดาปภายนอกและเคร่องยนต์สันดาปภายในตามรายละเอียดในหนังสือเรียน โดยใช้รูป 16.20 ใน ื ื ี ำ หนังสือเรียนประกอบการอภิปรายเก่ยวกับการทางานของเคร่องยนต์สันดาปภายนอก และใช้รูป 16.21 ในหนังสือเรียน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 172 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 173 ประกอบการอภิปรายเกี่ยวกับการทำางานของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ู ื ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเก่ยวกับต้เย็นและเคร่องปรับอากาศตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ี ี โดยใช้รูป 16.23 ในหนังสือเรียน ประกอบการอภิปรายเก่ยวกับการทางานของตู้เย็น และใช้รูป 16.24 ำ ในหนังสือเรียน ประกอบการอภิปรายเกี่ยวกับการทำางานของเครื่องปรับอากาศ ความรู้เพิ่มเติมสำาหรับครู หน่วยของความร้อน นอกจากความร้อนมีหน่วยจูลแล้วยังมีหน่วยอื่นอีก เช่น แคลอรี (calrorie, cal) และหน่วยความร้อนบริติช หรือ บีทียู (British thermal unit: Btu) ซึ่งมีความหมายดังนี้ 1 แคลอรี คือ ความร้อนที่ทำาให้น้ำามวล 1 กรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส ที่ความดัน 1 บรรยากาศ โดยที่ 1 cal = 4.186 J 1 บีทียู คือ ความร้อนที่ทำาให้น้ำามวล 1 ปอนด์ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาฟาเรนไฮต์ ที่ความดัน 1 บรรยากาศ โดยที่ 1 Btu = 252 cal = 1055 J การบอกขนาดเครื่องปรับอากาศนิยมบอกเป็น บีทียู (BTU) ต่อชั่วโมง หรือ ตัน เพื่อแสดงว่า อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถถ่ายโอนความร้อนออกไปได้เท่าใดในเวลา 1 ชั่วโมง เช่น เครื่องปรับอากาศ ขนาด 12 000 บีทียู (ขนาด 1 ตัน) หมายถึง ในเวลา 1 ชั่วโมง เครื่องปรับอากาศเครื่องนี้สามารถถ่าย โอนความร้อนออกสู่ภายนอกได้ 12 000 บีทียู หรือ 12 000 Btu × 1055 J/Btu = 12.66 × 10 J 6 การใช้ตู้เย็นให้ประหยัดไฟฟ้า มีดังนี้ 1. เลือกใช้ตู้เย็นขนาดเหมาะสมและได้รับฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ิ ู ี ู 2. ปิดประตูต้เย็นให้สนิท และ หลีกเล่ยงการเปิดประตูต้เย็นบ่อยๆ หรือเปิดค้างท้งไว้เป็น เวลานาน 3. ไม่นำาของร้อนเข้าไปในตู้เย็นทันที ควรปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นก่อนนำาเข้าไปไว้ในตู้เย็น 4. ไม่ปล่อยให้มีน้ำาแข็งเกาะหนาบริเวณช่องแช่แข็ง และไม่ใส่ของในตู้เย็นแน่นจนเกินไป ควรเหลือที่ว่างพอให้อากาศในตู้เย็นเคลื่อนจากด้านบนลงสูงด้านล่างได้ 5. ควรต้งต้เย็นในบริเวณท่อากาศถ่ายเทได้สะดวกโดยด้านหลังและข้างต้เย็น ู ี ั ู ควรห่างผนัง หรือสิ่งของต่างๆ ไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร และควรตั้งตู้เย็นให้ห่างจาก แหล่งกำาเนิดความร้อนอื่น ๆ 6. ตรวจเช็คให้ยางขอบประตูให้สามารถปิดได้สนิทเสมอ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 174 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 175 การใช้เครื่องปรับอากาศให้ประหยัดไฟฟ้า มีดังนี้ 1. ติดตั้งขนาดเครื่องปรับอากาศให้เพียงพอกับการทำาความเย็นในห้อง โดยขนาดไม่เล็ก หรือใหญ่เกินไป และควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 2. ติดตั้งตำาแหน่งเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม ไม่มีสิ่งกีดขวางทางลม และให้ลมจาก เครื่องปรับอากาศพัดมายังพื้นที่ใช้สอย 3. ห้องควรปิดมิดชิด ไม่มีอากาศจากภายนอกรั่วไหลเข้ามาในห้อง หากมีการใช้งาน พัดลมดูดอากาศควรใช้งานเท่าที่จำาเป็นในช่วงสั้น ๆ 4. ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำากว่า 25 องศาเซลเซียส เมื่ออากาศในห้องเย็นแล้ว ปรับเพิ่มอุณหภูมิ และเปิดพัดลมร่วมด้วย 5. ป้องกันแสงแดดและความร้อนเข้ามาในห้อง ผนังและหน้าต่างที่เป็นกระจกควรมีม่าน ทึบแสง 6. กรณีนอนหลับในเวลากลางคืน เมื่อภายในห้องมีอุณหภูมิที่ต้องการแล้ว ควรตั้งอุณหภูมิ ประมาณ 27 หรือ 28 องศาเซลเซียส แล้วเปิดพัดลมร่วมด้วย 7. หลีกเลี่ยงใช้อุปกรณ์ให้ความร้อนในห้อง เช่น เตาหุงต้ม เตารีด 8. ควรถอดแผ่นกรองฝุ่นที่คอยล์เย็นมาทำาความสะอาดเดือนละครั้ง 9. ควรให้ช่างเคร่องปรับอากาศมาตรวจเช็คและทาความสะอาดเคร่องปรับอากาศอย่าง ื ื ำ น้อยปีละ 2 ครั้ง แนวการวัดและประเมินผล ์ ำ ์ ี ึ ี 1. ความร้เก่ยวกับกฎข้อท่หน่งของอุณหพลศาสตรและการประยุกต จากการตอบคาถามตรวจสอบ ู ความเข้าใจ 16.4 และการทำาแบบฝึกหัด 16.4 ี ี ี ึ ำ 2. ทักษะการแก้ปัญหาและการใช้จานวนจากการคานวณปริมาณต่างๆ ท่เก่ยวข้องกับกฎข้อท่หน่ง ำ ของอุณหพลศาสตร์และการประยุกต์ 3. จิตวิทยาศาสตร์/เจตคติด้านความมีเหตุผล และความรอบคอบ จากการอภิปรายร่วมกัน และ จากการทำาแบบฝึกหัด 16.4 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 174 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 175 แนวคาตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.4 ำ ำ ี 1. ในระหว่างแช่เย็นขวดแก้วท่บรรจุแก๊สฮีเลียมซ่งปิดสนิท จงบอกการเปล่ยนแปลงของความร้อน ี ึ พลังงานภายในระบบ และงาน (ให้ประมาณว่าปริมาตรของขวดแก้วคงตัว) แนวคำาตอบ ความร้อนลดลง พลังงานภายในระบบลดลง และงานเป็นศูนย์ 2. การบีบอัดแก๊สและการขยายตัวของแก๊สอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการถ่ายโอนความร้อน มีผลต่อ พลังงานภายในระบบและอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊สหรือไม่ อย่างไร ำ ิ แนวคำาตอบ การบีบอัดแก๊สทาให้พลังงานภายในระบบและอุณหภูมิของระบบเพ่มข้น ส่วนการ ึ ขยายตัวของแก๊สทำาให้พลังงานภายในระบบและอุณหภูมิของระบบลดลง ี 3. การถ่ายโอนความร้อนจากบริเวณท่มีอุณหภูมิตากว่าไปยังบริเวณท่มีอุณหภูมิสูงกว่าสามารถทา ่ ี ำ ำ ได้หรือไม่ อย่างไร ่ ำ ำ ี ้ ำ แนวคำาตอบ สามารถทาได โดยการใช้สารทาความเย็นรับความร้อนจากบริเวณท่มีอุณหภูมิตา ไปถ่ายโอนความร้อนไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง ผ่านการทำางานของเครื่องยนต์ความร้อน เช่น ตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ เฉลยแบบฝึกหัด 16.4 1. แก๊สจำานวนหนึ่งในกระบอกสูบมีปริมาตร V ทำาให้มีปริมาตร V โดยความดันคงที่ P จงหางาน 1 2 ที่ทำาโดยแก๊สและงานที่ทำาต่อแก๊ส วิธีทำา หางานที่ทำาโดยแก๊ส จาก W = PΔV แทนค่า จะได้ W = P(V − V ) 2 1 ี ี งานท่ทาต่อแก๊สมีเคร่องหมายตรงข้ามกับงานท่ทาต่อแก๊ส เท่ากับ −P(V − V ) หรือ ื ำ ำ 2 1 P(V − V ) 1 2 ตอบ งานที่ทำาโดยแก๊สเท่ากับ P(V − V ) และ งานที่ทำาต่อแก๊ส เท่ากับ P(V − V ) 2 1 1 2 4 2. จงหางานในการอัดแก๊สอาร์กอน 1 กิโลโมล จากปริมาตร 2.24 × 10 ลูกบาศก์เดซิเมตร ท ี ่ 5 4 0 องศาเซลเซียส ความดัน 1.01 × 10 นิวตันต่อตารางเมตร ให้มีปริมาตรเป็น 1.40 × 10 ลูกบาศก์เดซิเมตร ที่ความดันเดียวกัน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 176 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 177 วิธีทำา หางานในการอัดแก๊สที่ความดันคงตัว ได้จาก งานที่ทำาโดยแก๊ส ΔW = PΔV 5 2 4 -3 3 4 -3 3 แทนค่า ΔW = (1.01 × 10 N/m )(1.40 × 10 × 10 m − 2.24 × 10 × 10 m ) 5 2 1 3 \= (1.01 × 10 N/m )(−0.84 × 10 m ) 5 \= −8.484 × 10 J เนื่องจากงานที่อัดแก๊สจะมีเครื่องหมายตรงข้ามกับงานที่ทำาโดยแก๊ส 5 ดังนั้น งานในการอัดแก๊ส เท่ากับ +8.484 × 10 J 5 ตอบ งานในการอัดแก๊สที่ความดันคงตัวเท่ากับ 8.48 × 10 จูล ี ่ ี ้ ี ้ ี 3. จากขอ 2 พลังงานภายในของแก๊สของแก๊สอาร์กอนท่เปล่ยนไป และความร้อนทแก๊สนคาย ออกมาเป็นเท่าใด วิธีทำา หาอุณหภูมิของแก๊สภายหลังจากการอัดแก๊ส จาก PV = nRT หรอ = PV T ื nR 2 3 3 5 แทนค่า T = (1.0110N/m )(1.40 10 4 10 m) 3 (1 10 mol)(8.31 J/mol K) \= 170 K หาพลังงานภายในของแก๊สที่เปลี่ยนไป จาก ΔU = nRΔT 3 แทนค่า ΔU = (1 × 10 mol)(8.31 J/mol K)(170 K − 273 K) ดังนั้น ΔU = −1.284 × 10 J 6 หาความร้อนที่แก๊สนี้คายออกมา จาก Q = ΔU + ΔW 6 5 แทนค่า Q = −1.284 × 10 J + (−8.484 × 10 J) \= −2.1324 × 10 J 6 6 ตอบ พลังงานภายในของแก๊สอาร์กอนที่ลดลงเท่ากับ 1.28 × 10 จูล และความร้อนที่แก๊สนี้ 6 คายออกมาเท่ากับ 2.13 × 10 จูล สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 176 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 177 เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 16 คำาถาม 1. จงอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างสเกลเซลเซียสและสเกลเคลวิน ำ แนวคาตอบ สเกลเซลเซียสและสเกลเคลวินมีความเหมือนกันคือใช้จุดเยือกแข็งและจุดเดือด ็ ำ ้ ของนาเปนจุดอ้างอิงเหมือนกน และแบ่งช่วงอุณหภูมิระหว่างจุดเยือกแข็งและจุดเดือดของนา ำ ้ ั ที่ความดัน 1 บรรยากาศ เป็น 100 ส่วนเท่า ๆ กันเหมือนกัน ความแตกต่างคือ อุณหภูมิที่ใช้ ในการกำาหนดจุดเยือกแข็งและจุดเดือดของน้ำาแตกต่างกัน โดยสำาหรับสเกลเซลเซียสจุดเยือกแข็ง ำ ำ ้ ้ ำ ของนาเป็น 0 องศาเซลเซียส และจุดเดือดของนาเป็น 100 องศาเซลเซียส แต่สาหรับเคลวิน จุดเยือกแข็งของน้ำาเป็น 273.15 เคลวิน และจุดเดือดของน้ำาเป็น 373.15 เคลวิน 2. สารชนิดหนึ่งมีความร้อนจำาเพาะ 1000 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน มีความหมายอย่างไร แนวคำาตอบ ในการทำาให้สารนั้นที่มีมวล 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 เคลวิน หรือ 1 องศา- เซลเซียส ต้องให้ความร้อน 1000 จูล 3. แท่งเหล็กมวล 1 กิโลกรัม และ 2 กิโลกรัม มีความจุความร้อนและความร้อนจาเพาะเท่ากัน ำ หรือต่างกัน อย่างไร ็ ุ แนวคาตอบ แท่งเหลกมวล 2 กโลกรัม มีความจความร้อนมากกว่าแทงเหลกมวล 1 กิโลกรัม ิ ็ ่ ำ ึ ิ เพราะการให้ความร้อนกับแท่งเหล็กท้งสองมีอุณหภูมิเพ่มข้น 1 องศาเซลเซียสเท่ากัน แท่งเหล็ก ั ี ท่มีมวลมากต้องใช้ความร้อนมากกว่า แต่ความร้อนจาเพาะของแท่งเหล็กท้งสองมีค่าเท่ากัน ั ำ ึ ำ เพราะความร้อนจาเพาะเป็นความจุความร้อนต่อมวลหน่งหน่วย โดยสารหน่งจะม ี ึ ค่าความร้อนจำาเพาะคงตัว โดยเหล็กมีความร้อนจำาเพาะเท่ากับ 450 จูล/กิโลกรัม เคลวิน ื ี ั ้ ำ 4. บริเวณชายหาดท้งบริเวณท่เป็นพ้นทรายและนาทะเลได้รับปริมาณแสงอาทิตย์เท่ากัน แต่ทราย กลับมีอุณหภูมิสูงกว่าน้ำาทะเล เป็นเพราะเหตุใด แนวคำาตอบ เนื่องจากทรายมีความร้อนจำาเพาะ 800 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน ซึ่งหมายความว่า ้ ำ การทาให้ทรายมวล 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพ่ม 1 เคลวิน ต้องใช้ความร้อน 800 จูล แต่นาม ี ำ ิ ความร้อนจำาเพาะ 4180 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน ซึ่งหมายความว่า การทำาให้น้ำามวล 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 เคลวิน ต้องใช้ความร้อน 4180 จูล ดังนั้น เมื่อสารทั้งสองได้รับความร้อน เท่า ๆ กัน ทรายจะมีอุณหภูมิสูงกว่า สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 178 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 179 ำ ้ ำ 5. นากับเอทิลแอลกอฮอล์มีความร้อนจาเพาะเท่ากับ 4186 และ 2400 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน ี ึ ั ำ ิ ตามลาดับ ถ้าต้องการให้ความร้อนกับสารท้งสองท่มีมวลเท่ากันให้มีอุณหภูมิเพ่มข้นเท่ากัน สารใดต้องการความร้อนมากกว่ากัน เพราะเหตุใด ์ ำ ำ ำ แนวคาตอบ เน่องจากนามีความร้อนจาเพาะมากกว่าเอทิลแอลกอฮอล ดังน้น ถ้าต้องการให ้ ้ ื ั ึ ึ ิ สารท้งสองซ่งมีมวลเท่ากัน มีอุณหภูมิเพ่มข้นเท่ากัน ต้องให้ความร้อนแก่นามากกว่า ั ้ ำ เอทิลแอลกอฮอล์ นั่นคือ น้ำาต้องการความร้อนมากกว่าเอทิลแอลกอฮอล์ 6 ้ ำ 6. นามีความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอเท่ากับ 2.256 × 10 จูลต่อกิโลกรัม หมายความว่าอย่างไร ้ ำ ำ ้ ำ ิ ำ ี แนวคาตอบ ในการทาให้นามวล 1 กิโลกรัม ท่อุณหภูม 100 องศาเซลเซียส กลายเป็นไอนา 6 ทั้งหมดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ต้องใช้ความร้อนทั้งสิ้น 2.256 × 10 จูล 7. ถ้าต้องการทำาให้น้ำาแข็งมวล 1 กิโลกรัม ที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส หลอมเหลวเป็นน้ำาหมดที่ อุณหภูมิเดิม ต้องใช้ความร้อนเท่าใด ำ ี ้ แนวคาตอบ นาแข็งมวล 1 กิโลกรัม ท่อุณหภูม 0 องศาเซลเซียส หลอมเหลวเป็นนาหมดท่อุณหภูม ิ ิ ำ ี ำ ้ ำ ้ ำ ึ เดิม เป็นการเปล่ยนสถานะจากนาแข็งเป็นนา ต้องใช้ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวซ่ง ้ ี เท่ากับ 333 กิโลจูลต่อกิโลกรัม ดังนั้น สำาหรับน้ำาแข็งมวล 1 กิโลกรัม ต้องใช้ความร้อนเท่ากับ 333 กิโลจูล ี ำ ้ 8. ในการทาให้นา 100 องศาเซลเซียส มวล 1 กิโลกรัม กลายเป็นไอหมดท่อุณหภูมิเดิม ต้องใช ้ ำ ความร้อนเท่าใด แนวคำาตอบ น้ำาเดือดมวล 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เป็นไอหมดที่อุณหภูมิเดิม ี เป็นการเปล่ยนสถานะจากนาเป็นไอ ต้องใช้ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอเท่ากับ ้ ำ ั ำ 2256 กิโลจูลต่อกิโลกรัม ดังน้น สาหรับนาเดือดมวล 1 กิโลกรัม ต้องใช้พลังงานความร้อนเท่ากับ ้ ำ 2256 กิโลจูล 9. นาท่ความดัน 1 บรรยากาศมีจุดควบแน่นอย่ท่อุณหภูมิเท่าใด และมีความร้อนแฝงของการควบแน่น ี ี ู ำ ้ เป็นเท่าใด ื ู แนวคาตอบ เน่องจากการควบแน่นอย่ท่อุณหภูมิเดียวกับการกลายเป็นไอ และความร้อนแฝง ำ ี ั ของการควบแน่นมีค่าเท่ากับความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ ดังน้น นาท่ความดัน ี ้ ำ 1 บรรยากาศ มีจุดควบแน่นที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส และมีความร้อนแฝงของ การควบแน่นเท่ากับ 2256 กิโลจูลต่อกิโลกรัม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 178 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 179 ้ ี ำ ำ ำ ี ้ ำ ี 10. ในปริมาณของนาท่เท่ากัน ระหว่างนาท่แข็งตัวเป็นนาแข็งกับไอนาท่ควบแน่นเป็นหยดนา ้ ้ ้ ำ กระบวนการใดมีการคายความร้อนมากกว่ากัน ำ ื แนวคาตอบ เน่องจากความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอเท่ากับความร้อนแฝงของ การควบแน่น (เท่ากับ 2256 กิโลจูลต่อกิโลกรัม) และความร้อนแฝงของการแข็งตัวเท่ากับ ้ ั ำ ำ ้ ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวของนา (เท่ากับ 333 กิโลจูลต่อกิโลกรัม) ดังน้น ไอนาท ี ่ ควบแน่นเป็นหยดน้ำาจะมีการคายความร้อนมากกว่าน้ำาที่แข็งตัวเป็นน้ำาแข็ง 11. ก่อนฝนตก เหตุใดเราจึงรู้สึกว่าอากาศรอบตัวเราร้อนกว่าปกติ ำ ้ ื แนวคาตอบ ก่อนฝนตก ไอนาจะควบแน่นโดยคายความร้อนออกมาเพ่อเปล่ยนสถานะจาก ำ ี ไอน้ำาเป็นหยดน้ำาจึงทำาให้เรารู้สึกว่าอากาศรอบตัวเราร้อนกว่าปกติ ี ั ำ ้ ั ิ ้ ำ 12. ถ้านานาแข็งใส่แก้วต้งไว้ในห้อง นาแข็งจะเปล่ยนแปลงอย่างไร และถ้าต้งท้งไว้เป็นเวลาพอ ำ ้ ็ สมควร อุณหภมิของนาแขงในตอนแรกและหลงจากหลอมเหลวหมดแลว จะเปล่ยนแปลงอย่างไร ั ำ ี ู ้ แนวคาตอบ เม่อนานาแข็งใส่แก้ววางต้งไว้ในห้อง นาแข็งจะรับความร้อนจากส่งแวดล้อม เช่น ั ำ ้ ิ ้ ำ ำ ื ำ อากาศและแก้ว ทำาให้น้ำาแข็งหลอมเหลว และขณะที่หลอมเหลวนั้น อุณหภูมิของน้ำาแข็งและ ั ้ ั ำ ี นาจะคงตัวเท่ากับอุณหภูมิท่จุดหลอมเหลว จนกระท่งนาแข็งหลอมเหลวหมดท้งก้อน หลังจาก ้ ำ นั้นเมื่อตั้งทิ้งไว้ต่อไปอีก น้ำาที่อยู่ในแก้วจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนเท่ากับอุณหภูมิห้อง ี ึ 13. กราฟแสดงการเปล่ยนสถานะของสารชนิดหน่ง อุณหภูมิ (°C) 80 เป็นดังรูป F ก. กราฟช่วง AB BC CD DE และ EF 60 D E สารอยู่ในสถานะใด 40 ข. จงอธิบายการเปลี่ยนแปลงในกราฟช่วง CD 20 ค. จุดเดือดของสารมีค่าเท่าใด 0 B C A ง. จุดหลอมเหลวของสารมีค่าเท่าใด -20 เวลา (นาที) 0 4 8 12 16 20 24 แนวคำาตอบ รูป ประกอบคำาถามข้อ 13 ี ี ก. สารชนิดน้มีการเปล่ยนสถานะในช่วง BC และ DE เพราะท้งสองช่วงมีอุณหภูมิคงตัว โดยท ี ่ ั - กราฟช่วง AB สารอยู่ในสถานะของแข็ง - กราฟช่วง BC สารอยู่ในสถานะของแข็งและของเหลว - กราฟช่วง CD สารอยู่ในสถานะของเหลว - กราฟช่วง DE สารอยู่ในสถานะของเหลวและแก๊ส - กราฟช่วง EF สารอยู่ในสถานะแก๊ส สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 180 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 181 ข. กราฟช่วง CD สารได้รับความร้อนมีอัตราการเปลี่ยนอุณหภูมิสูงกว่าช่วงอื่น ค. จุดเดือดของสารเท่ากับ 50 องศาเซลเซียส ง. จุดหลอมเหลวของสารเท่ากับ -10 องศาเซลเซียส อุณหภูมิ (°C) ึ ี ี 14. กราฟการเย็นตัวของสารชนิดหน่งท่กาลังเปล่ยน ำ 65 A สถานะจากของเหลวเป็นของแข็งเป็นดังรูป ก. กราฟช่วง AB BC และ CD สารมีสถานะใด 60 ข. จุดหลอมเหลวของสารมีค่าเท่าใด 55 ค. ความร้อนแฝงที่ใช้ในกราฟช่วง BC B C มีชื่อเรียกว่าอะไร 50 D 45 เวลา (นาที) 0 2 4 6 8 10 แนวคำาตอบ รูป ประกอบคำาถามข้อ 14 ก. กราฟช่วง AB BC และ CD สารมีสถานะของเหลว ของเหลวปนของแข็ง และของแข็ง ตามลำาดับ ข. จุดหลอมเหลวของสารเท่ากับ 55 องศาเซลเซียส ค. ความร้อนแฝงที่ใช้ในกราฟช่วง BC เรียกว่า ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว 15. สาร x มีสมบัติดังตาราง จุดหลอมเหลว จุดเดือด ความร อนแฝงของ ความร อนแฝงของ ( C) ( C) การหลอมเหลว (J/kg) การกลายเป นไอ (J/kg) ° ° -114 79 1.04 x 10 5 8.54 x 10 5 ก. ที่อุณหภูมิห้อง (25 ˚C) สาร x มีสถานะใด ข. ที่จุดเดือดของน้ำา สาร x จะมีสถานะใด ค. ถ้าสาร x มีมวล 1 กิโลกรัม ความร้อนที่ทำาให้สาร x ที่อุณหภูมิ 79 องศาเซลเซียส เปลี่ยนสถานะหมด โดยที่อุณหภูมิไม่เปลี่ยนมีค่าเท่าใด แนวคำาตอบ ก. เนื่องจากสาร x มีจุดหลอมเหลวที่ -114 ˚C และจุดเดือดที่ 79˚C ดังนั้นที่อุณหภูมิห้อง ำ ่ ึ (ซ่งมีอุณหภูมิอุณหภูมิสูงกว่า -114 ˚C และมีอุณหภูมิตากว่า 79 ˚C) สาร x มีสถานะของเหลว ข. เนื่องจากสาร x มีจุดเดือดที่ 79˚C ซึ่งน้อยกว่าที่จุดเดือดของน้ำา (100 ˚C) ดังนั้น สาร x มีสถานะแก๊ส สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 180 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 181 5 ค. ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอของสาร x จากตาราง คือ 8.54 × 10 จูลต่อกิโลกรัม 5 ดังนั้น สาร x มวล 1 กิโลกรัม ต้องใช้ความร้อนเท่ากับ 8.54 × 10 จูล 16. เหตุใดผ้าห่มหรือเสื้อผ้าที่ทำาด้วยเส้นใยหนา ๆ ช่วยทำาให้ร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว ำ ำ ึ ื ู แนวคาตอบ ระหว่างเส้นใยของผ้าห่มหรือเส้อผ้ามีอากาศซ่งนาความร้อนได้ไม่ดีแทรกอย่มาก ำ ื ี ื ้ และเน่องจากเส้นใยลดความสามารถในการเคล่อนท่ของโมเลกุลของอากาศ ทาใหความสามารถ ในการพาความร้อนของอากาศลดลงจึงมีการถ่ายโอนความร้อนจากร่างกายส่ภายนอกผ้าห่ม ู ื ื หรือเส้อผ้าได้น้อย ทาให้อุณหภูมิภายในผ้าห่มหรือเส้อผ้าคงตัว (37 องศาเซลเซียส) หรือ ำ แตกต่างจากอุณหภูมิของร่างกายน้อยมาก ผ้าห่มหรือเสื้อผ้าที่ทำาด้วยเส้นใยหนา ๆ จึงช่วยให้ ร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว 17. เมื่ออัดแก๊สให้มีปริมาตรลดลง ความดันของแก๊สจะเพิ่มขึ้นเพราะเหตุใด ื แนวคาตอบ เพราะเม่อลดปริมาตรลง ทาให้โมเลกุลของแก๊สมีความถ่ในการชนผนังภาชนะ ี ำ ำ เพิ่มขึ้น จึงทำาให้มีความดันเพิ่มขึ้น 18. เมื่อแก๊สชนิดหนึ่งมีอุณหภูมิสูงขึ้น อัตราเร็วของโมเลกุลของแก๊สจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ู ั ้ ึ ้ ๊ ู ็ ึ ุ ิ ๊ ี ่ ำ ื ุ ู แนวคาตอบ เมอแกสมอณหภมสงขน อตราเรวของโมเลกลของแกสจะสงขนตามสมการ 3kT หรือ v rms m B 19. แก๊สต่างชนิดกัน ถ้ามีอุณหภูมิเท่ากัน พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลเท่ากันหรือไม่ แนวคำาตอบ พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลจะเท่ากัน เพราะว่า พลังานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุล แก๊สจะขึ้นกับอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊สเพียงอย่างเดียว ตามสมการ ้ ู ุ ๊ 20. ถาความดันและปรมาตรของแกสเปล่ยนไปโดยจานวนโมเลกลและอณหภมิคงตว พลังงาน ิ ำ ั ุ ี ภายในของระบบจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร ๊ แนวคาตอบ จากสมการ สามารถสรปไดวา พลงงานภายในของแกส (U) ่ ำ ุ ้ ั ุ ิ ำ ำ แปรผันตรงกับจานวนโมเลกลและอุณหภูมสัมบูรณ์ของแก๊ส ถ้าจานวนโมเลกลของแก๊สและ ุ อุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊สคงตัว พลังงานภายในของระบบก็จะมีค่าคงตัว ดังน้น พลังงานภายใน ั ของระบบจึงไม่เปลี่ยนแปลง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 182 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 183 ั ้ ่ ื 21. เมออดแก๊สในภาชนะใหมีปริมาตรลดลง ถ้าไมมีการถ่ายโอนความร้อนเข้าหรือออกจากระบบ ่ พลังงานภายในระบบจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร แนวคาตอบ การอัดแก๊สในภาชนะให้มีปริมาตรน้อยลง งานท่ทาโดยแก๊สมีค่าเป็นลบ (W เป็นลบ) ี ำ ำ ื และเน่องจากไม่มีการถ่ายโอนความร้อนเข้าหรือออกจากระบบ (Q เท่ากับศูนย์) จาก กฎข้อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์ Q = ΔU + W จะได้ 0 = ΔU − W นั่นคือ ΔU = W ดังนั้น พลังงานภายในของระบบจะเพิ่มขึ้น (ΔU เป็นบวก) 22. จงใช้สมการ Q = ΔU + W อธิบายการเปลี่ยนแปลงพลังงานภายในระบบในกรณีต่อไปนี้ ก. แก๊สในกระป๋องสเปรย์ ขณะถูกเผาไฟ ข. ไอน้ำาในห้องอบไอน้ำาความดันสูง ขณะที่ได้รับหรือคายความร้อน ค. ไอน้ำาในหม้อต้มน้ำาของเครื่องจักรไอน้ำา ขณะเครื่องจักรกำาลังทำางาน แนวคำาตอบ ๋ ก. ขณะกระปองสเปรย์ถกเผาไฟจะมการถายโอนความรอนไปยงแกสในกระป๋อง นนคอ ๊ ้ ่ ู ั ี ่ ั ื Q เป็นบวก โดยที่กระป๋องไม่ขยายตัว นั่นคือ W = 0 ดังนั้น จะได้ว่า Q = ΔU กล่าวคือ ิ ิ ึ ึ ึ ึ แก๊สในกระป๋องมีพลังงานภายในเพ่มข้น ซ่งก็คือมีอุณหภูมิเพ่มข้น โดยอุณหภูมิเพ่มข้นน ้ ี ิ ึ จะมีผลให้ความดันของแก๊สภายในกระป๋องเพ่มข้น ซ่งเป็นไปตามความสัมพันธ P α T ึ ์ ิ ในที่สุดจะมีผลทำาให้กระป๋องระเบิดได้ ำ ้ ้ ่ ข. ขณะทหองอบไอนาได้รบหรอคายความรอน แสดงวา มการเปลยนแปลง Q โดยทีไอนา ื ี ้ ่ ี ่ ่ ี ้ ำ ั ถูกกักในห้องอบซึ่งมีปริมาตรคงตัว นั่นคือ W = 0 ดังนั้น Q = ΔU จะได้ว่า พลังงานของ ไอน้ำา ΔU จะเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของ Q หรือกล่าวได้ว่า พลังงานของไอน้ำา ื ำ ้ ำ ื ้ ึ ิ ภายในห้องอบไอนาเพ่มข้นเม่อได้รับความร้อน และพลังงานของไอนาลดลงเม่อมีการถ่ายโอน ความร้อนออกจากห้องอบไอน้ำา ื ำ ี ค. ในห้องต้มนาของเครื่องจักรไอนามีการส่งไอนาไปดันลูกสูบให้เคล่อนท น่นคือ มีงานท่ทา ำ ั ้ ่ ี ้ ำ ำ ้ ้ ำ ้ ี ้ ้ โดยแกสเกดขน ในกรณน เมอใหความรอนไปยังห้องตมนา พลงงานภายในของไอนาจะ ี ำ ึ ้ ้ ้ ั ิ ๊ ่ ื ื ำ ำ ึ ำ ้ เพ่มข้นตามสมการ Q = ΔU และเม่อนาพลังงานภายในของไอนาไปทาให้เกิดงานใน ิ การดันลูกสูบให้เคลื่อนที่ ช่วงนี้ ΔQ = 0 ดังนั้น W = −ΔU นั่นคือ เมื่อลูกสูบเคลื่อนที่จะ ทำาให้พลังงานภายในของไอน้ำาลดลง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 182 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 183 ปัญหา 1. จงเปลี่ยนอุณหภูมิต่อไปนี้ ก. 27 ˚C, –155 ˚C, 115 ˚C และ –78.50 ˚C เป็นอุณหภูมิในหน่วยเคลวิน ข. 450 K, 89 K, 172 K และ 4.20 K เป็นอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส วิธีทำา ก. จากความสัมพันธ์ T = t + 273.15 เมื่อ t = 27 ˚C จะได้ T = (27+273.15) K = 300.15 K เมื่อ t = −115 ˚C จะได้ T = (−155+273.15) K = 118.15 K เมื่อ t = 115 ˚C จะได้ T = (115+273.15) K = 388.15 K เมื่อ t = −78.50 ˚C จะได้ T = (−78.50+273.15) K = 194.65 K ข. จากความสัมพันธ์ t = T − 273.15 เมื่อ T = 450 K จะได้ t = (450 – 273.15) ˚C = 176.85 ˚C เมื่อ T = 89 K จะได้ t = (89 – 273.15) ˚C = –184.15 ˚C เมื่อ T = 172 K จะได้ t = (172 – 273.15) ˚C = –101.15 ˚C เมื่อ T = 4.20 K จะได้ t = (4.20 – 273.15) ˚C = –268.95 ˚C ตอบ ก. 300 K, 118 K, 388 K และ 194.65 K ข. 177 ˚C, –184 ˚C, –101 ˚C และ –268.95 ˚C 2. เมื่อให้ความร้อนกับตะกั่ว 1500 จูล พบว่า อุณหภูมิของตะกั่วสูงขึ้น 12 องศาเซลเซียส ความจุ ความร้อนของตะกั่วก้อนนี้เป็นเท่าใด วิธีทำา จากโจทย์ Q = 1500 J และ ΔT = 12˚C หรือ 12 K จากสมการ Q = CΔT แทนค่า 1500 J = C (12 K) ดังนั้น C = 125 J/K ตอบ ความจุความร้อนของตะกั่วเท่ากับ 125 จูลต่อเคลวิน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 184 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 185 6 3. สระน้ำาแห่งหนึ่งมีน้ำา 1.00 × 10 กิโลกรัม ในตอนกลางวันได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ทำาให้ อุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำาในสระสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียส น้ำาในสระได้รับความร้อนเท่าใด 6 วิธีทำา จากโจทย์ m = 1.00 × 10 kg, c = 4186 J/kg K และ ΔT = 2 ˚C หรือ 2 K จากสมการ Q = mcΔT 6 สำาหรับน้ำาจะได้ Q = (1.00 × 10 kg)(4186 J/kg K)(2 K) \= 8.37 × 10 J 9 9 ตอบ น้ำาในสระได้รับความร้อนเท่ากับ 8.37 × 10 จูล ึ ำ ้ ิ ี ึ 4. จงหาความร้อนท่ทาให้นา ทรายและทองแดง ซ่งมีมวลอย่างละ 4.00 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพ่มข้น ำ เท่ากัน คือ 10 องศาเซลเซียส วิธีทำา จากโจทย์ m = m ทราย = m ทองแดง = 4.00 kg น้ำา ΔT = ΔT ทราย = ΔT ทองแดง = 10 ˚C หรือ 10 K น้ำา c = 4186 J/kg K, c ทราย = 800 J/kg K และ c ทองแดง = 390 J/kg K น้ำา จากสมการ Q = mcΔT สำาหรับน้ำาจะได้ Q = (4.00 kg)(4186 J/kg K)(10 K) น้ำา 5 \= 1.67 × 10 J สำาหรับทรายจะได้ Q ทราย = (4.00 kg)(800 J/kg K)(10 K) 5 \= 0.32 × 10 J สำาหรับทองแดงจะได้ Q ทองแดง = (4.00 kg)(390 J/kg K)(10 K) 5 \= 0.156 × 10 J 5 5 ตอบ ต้องให้ความร้อนกับน้ำา ทราย และทองแดง เท่ากับ 1.67 × 10 จูล, 0.32 × 10 จูล และ 5 0.156 × 10 จูล ตามลำาดับ 4 5. เมื่อให้ความร้อนจำานวน 10 จูล กับโลหะชนิดหนึ่งที่มีมวล 2 กิโลกรัม พบว่าอุณหภูมิของโลหะ เพิ่มขึ้น 10 องศาเซลเซียส จงหาความร้อนจำาเพาะของโลหะนี้ 4 วิธีทำา จากโจทย์ Q = 10 J, m = 2 kg และ ΔT = 10 ˚C หรือ 10 K จากสมการ Q = mcΔT 4 แทนค่า 10 J = (2 kg)(c)(10 K) จะได้ c = 500 J/kg K ตอบ ความร้อนจำาเพาะของโลหะเท่ากับ 500 จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 184 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส ฟิสิกส์ เล่ม 5 ฟิสิกส์ เล่ม 5 บทที่ 16 | ความร้อนและแก๊ส 185 6. ความร้อนปริมาณหนึ่งทำาให้อะลูมิเนียมมวล m มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 60 องศาเซลเซียส ความร้อน ปริมาณนี้ จะทำาให้ทองแดงมวล m มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเท่าใด วิธีทำา เนื่องจากความร้อนที่ให้กับอะลูมิเนียมและทองแดงมีปริมาณเท่ากัน ดังนั้น จะได้ แทนค่า \= 138.5 K หรือ 138.5 ˚C ตอบ ทองแดงมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 138.5 องศาเซลเซียส 7. ในการทำาให้น้ำาแข็งมวล 2.0 กิโลกรัม อุณหภูมิ –5 องศาเซลเซียส เป็นไอน้ำาเดือดหมดที่ 100 องศาเซลเซียส ต้องใช้ความร้อนทั้งหมดเท่าใด วิธีทำา การเปลี่ยนสถานะของน้ำาแข็ง 2.0 kg อุณหภูมิ –5 ˚C เป็นไอน้ำาเดือดหมดที่ 100 ˚C มีขั้นตอนดังนี้ น้ำแข็ง ใช�ความร�อน Q = mc T 1 1 1 น้ำแข็ง ใช�ความร�อนแฝง Q = mL 2 2 น้ำ ใช�ความร�อน Q = mc T 3 3 3 น้ำ ใช�ความร�อนแฝง Q = mL 4 4 ไอน้ำเดือด สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |