ต ดต อสอบถามเข าชมเมร มาส ม ว ลแชร

- แพ็กเกจเสริม Internet Booster เล่นเน็ตความเร็วสูงสุดได้เพิ่มขึ้นอีก 20GB ใช้ได้นาน 15 วัน ราคา 199 บาท - ค่าบริการยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม

- แพ็กเกจเสริม Internet Booster เล่นเน็ตความเร็วสูงสุดได้เพิ่มขึ้นอีก 50GB ใช้ได้นาน 30 วัน ราคา 349 บาท - ค่าบริการยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม

- ค่าบริการยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม - ความเร็วสูงสุด 1 Mbps - ต่ออายุอัตโนมัติหรือจนกว่าจะยกเลิก - รับฟรีโบนัสเงินคืน 25บ. จะใช้ได้ 15 วัน สามารถนำไปใช้จ่ายค่าเน็ต, ค่าโทร หรือซื้อโปรเสริมอื่นๆ ได้ และรับฟรีอินเทอร์เน็ตเต็มสปีด 3GB ใช้ได้นาน 30 วัน เมื่อสมัครหรือต่ออายุโปรเสริมที่ร่วมรายการสำเร็จในแต่ละครั้ง - กดรับสิทธิ์ฟรีโบนัสเงินคืน และฟรีเน็ตเต็มสปีด 10GB/30วัน ทุกครั้งที่ดีแทคแอป - ระยะเวลาในการกดรับสิทธิ์ฟรีโบนัสเงินคืน และฟรีเน็ตเต็มสปีด ที่ดีแทคแอปได้ 7 วัน - สิทธิ์พิเศษฟรีโบนัสเงินคืน และฟรีเน็ตเต็มสปีด เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.65 - 31 ธ.ค.66 หรือจนกว่าจะมีการแจ้งยกเลิกฟรีโบนัสเงินคืนหรือฟรีเน็ตเต็มสปีด - สิทธิ์โบนัสเงินคืน 25บ. หรือโบนัสทั้งหมดที่ลูกค้าสะสม และฟรีเน็ตเต็มสปีด 3GB/30วัน ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด หรืออื่นๆได้ - บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงการเสนอขายได้ตามสมควร - บริษัทสงวนสิทธิในการจัดการบริหารเครือข่ายตามความเหมาะสมเพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพของบริการและเพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการโดยรวมสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นจำกัดหรือลดความเร็วหรือดำเนินการใดๆในการรับส่งข้อมูลต่างๆ การใช้งาน Bit Torrent, การดาวน์โหลด และ/หรืออัพโหลดไฟล์ขนาดใหญ่, หรือการใช้งานใดที่มีการรับส่งข้อมูลในปริมาณมากอย่างต่อเนื่องหรือที่มีผลต่อการใช้บริการหรือเกิดความไม่เป็นธรรมก่อหรืออาจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใช้บริการอื่นและ/หรือต่อเครือข่ายหรือการให้บริการโดยรวมของบริษัท ทั้งนี้ การลดความเร็วอาจลดต่ำกว่าที่ระบุในแพ็กเกจตามแต่ลักษณะการใช้งาน พื้นที่ให้บริการและอุปกรณ์ที่รองรับ

โรคตับแข็ง คือภาวะที่ตับมีการก่อตัวของเนื้อเยื่อพังผืดส่วนเกิน อันเป็นผลจากภาวะตับอักเสบเรื้องรังจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น โรคพิษสุราเรื้อรัง ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง หรือไขมันคั่งในตับ เป็นต้น เมื่อเกิดการอักเสบเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน ตับจะทำการซ่อมแซมตัวเอง กระบวนการซ่อมแซมจะสร้างเนื้อเยื่อพังผืดสะสมจนเกิดเป็นโรคตับแข็ง ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้ปกติ โรคตับแข็งระยะท้ายๆเป็นภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับอีกด้วย

โรคตับแข็งในระยะท้ายส่งผลให้เกิดความเสียหายของตับอย่างถาวร แต่หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ และรักษาอย่างเหมาะสม ก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความบาดเจ็บเสียหายที่จะเพิ่มตามมาได้

อาการของโรคตับแข็ง

ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งมักจะไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าตับจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โดยอาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • รู้สึกอ่อนเพลีย
  • เลือดออกง่าย หรือเป็นจ้ำเลือดได้ง่าย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้
  • ขา เท้า หรือข้อเท้าบวม
  • น้ำหนักลด
  • อาการคันที่ผิวหนัง
  • ภาวะดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • มีน้ำสะสมในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้น (ภาวะท้องมาน)
  • เกิดเส้นเลือดฝอยลักษณะคล้ายใยแมงมุมที่บริเวณหน้าอก หรือแผ่นหลัง
  • ฝ่ามือแดงเข้มขี้น
  • สำหรับผู้หญิง จะเกิดการหมดประจำเดือนหรือประจำเดือนขาดที่ไม่เกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือน
  • สำหรับผู้ชาย จะพบความผิดปกติทางเพศ ลูกอัณฑะฝ่อ หรือเต้านมโต
  • รู้สึกสับสน ซึมลง หรือพูดไม่ชัด

สาเหตุโรคตับแข็ง

  • การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซี และดี
  • โรคไขมันคั่งตับที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์
  • ภาวะฮีโมโครมาโตซิส
  • โรคซิสติกไฟโบรซิส
  • โรควิลสัน
  • โรคท่อน้ำดีตีบตันในทารก
  • การขาดสารต้านทริปซินอัลฟ่า-1
  • โรคกาแลคโตซีเมียหรือภาวะที่มีการสะสมไกลโคเจนในตับมากผิดปกติ
  • โรคตับที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคตับอักเสบจากภูมิต้านตนเอง โรคท่อน้ำดีอักเสบจากภาวะภูมิต้านตนเองทั้งท่อน้ำดีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคตับแข็ง

  • การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป – การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับแข็ง
  • โรคอ้วน – การมีน้ำหนักเกิน จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะต่างๆ ที่อาจนำไปสู่โรคตับแข็งได้ เช่น โรคไขมันคั่งตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์
  • ไวรัสตับอักเสบ – เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบและตับแข็งทั่วโลก

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคตับแข็ง

  • ความดันโลหิตในหลอดเลือดพอร์ทัลภายในช่องท้องสูง –โรคตับแข็งจะเพิ่มความดันในหลอดเลือดดำพอร์ทัลที่ไหลไปยังตับ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้แก่ ขาบวม ท้องมาน ม้ามโต รวมไปถึงมีภาวะตกเลือดจากเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร
  • การติดเชื้อ – ผู้ป่วยโรคตับแข็งมีภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่สามารถต้านทานการติดเชื้อได้ดี ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงมากขี้น
  • ภาวะทุพโภชนาการ – เกิดจากการดูดซึมอาหารได้น้อยลง ทำให้น้ำหนักตัวลดและรู้สึกอ่อนเพลีย
  • ภาวะซึม สับสนจากการทำงานบกพร่องของตับ – เกิดจากภาวะที่มีสารพิษสะสมในร่างกาย เนื่องจากตับที่เสียหาย ไม่สามารถกำจัดสารพิษออกจากเลือดได้ ส่งผลต่อสมอง เกิดความสับสนและเข้าสู่อาการโคม่าได้
  • ดีซ่าน – ผิวหนังและตาขาวจะมีสีเหลือง และปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเพราะตับไม่สามารถกำจัด สารเหลืองหรือบิลิรูบินออกจากเลือดได้
  • โรคกระดูก – ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งอาจมีความหนาแน่นของกระดูกลดลงและมีความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้สูงขึ้น
  • ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับสูงขึ้น
  • ภาวะการทำงานของตับล้มเหลวเฉียบพลันแทรกซ้อนในผู้ป่วยตับแข็งเรื้อรัง – ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะกระตุ้นต่าง ๆ โดยเฉพาะจากการติดเชื้อ ทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆล้มเหลวลง

วิธีป้องกันโรคตับแข็ง

  • หยุดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อเป็นโรคตับแข็ง
  • ทานอาหารเพื่อสุขภาพ – รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ โดยเน้นอาหารจำพวก พืชผักเป็นส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไร้มัน ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมัน
  • รักษาดัชนีมวลกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ – ไขมันที่สะสมในร่างกายรวมถึงในตับสามารถทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแผนการลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักเกิน
  • ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคตับอักเสบ – หลีกเลี่ยงการใช้เข็มร่วมกันและการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบ บีและซีได้

การวินิจฉัยโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการใดๆ โรคตับแข็งมักตรวจพบได้จากการตรวจเลือดหรือการตรวจสุขภาพ แพทย์อาจสั่งตรวจอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้หากสงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีปัญหาตับ เช่น

  • การตรวจในห้องปฏิบัติการ – แพทย์อาจสั่งตรวจเลือดเพื่อตรวจหาร่องรอยของความผิดปกติของตับ เช่น บิลิรูบินในปริมาณสูง ตรวจเอ็นไซม์ตับชนิดต่าง ๆ ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ตรวจการแข็งตัวของเลือด ปริมาณโปรตีนไข่ขาวในเลือด เพื่อดูความสามารถในการสังเคราะห์โปรตีนของตับ ผลจากการตรวจเลือดจะช่วยให้แพทย์ระบุสาเหตุของโรคตับแข็งและความรุนแรงของอาการได้
  • การวินิจฉัยด้วยภาพทางการแพทย์ – ภาพทางการแพทย์ต่าง ๆ ได้แก่ อัลตร้าซาวด์ เอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจพังผืดตับจากเครื่อง MRI (MR Elastography; MRE) สามารถให้ข้อมูลรูปร่าง และความยืดหยุ่นของตับ เพื่อดูลักษณะของตับแข็งได้
  • การตรวจวัดปริมาณพังผืดในตับ (Transient elastography; Fibroscan) เป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจวัดระดับความแข็งของตับซึ่งสะท้อนถึงปริมาณการสะสมของพังผืดในตับ สามารถตรวจหาภาวะตับแข็งได้ตั้งแต่ระยะแรก รวมทั้งยังสามารถวัดปริมาณของไขมันที่สะสมในตับได้อีกด้วย
  • การตรวจชิ้นเนื้อ – การตัดชิ้นเนื้อตับในปัจจุบันทำน้อยลงมาก เนื่องจากมีอุปกรณ์และการตรวจใหม่ ๆ เข้ามาทดแทน ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคตับได้โดยไม่ต้องทำการเจาะชิ้นเนื้อตับไปตรวจ อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถหาสาเหตุของโรคตับได้ก็อาจจำเป็นที่จะต้องทำการตัดชิ้นเนื้อตับไปตรวจ

แพทย์จะแนะนำให้คนไข้มาตรวจติดตามโรคหรือภาวะแทรกซ้อน อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหลอดเลือดโป่งพองที่หลอดอาหาร และมะเร็งตับ

การรักษาโรคตับแข็ง

การรักษาโรคตับแข็งขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงและความเสียหายของตับ การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อชะลอการลุกลามของโรคตับแข็งและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคตับแข็ง หากโรคตับแข็งได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น อาจะมีความเป็นไปได้ที่ความเสียหายจะน้อยลงหากสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคตับแข็งได้รับการบำบัดแต่เนิ่นๆ ถ้าตับของคนไข้เสียหายอย่างรุนแรง คนไข้จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

  • การรักษาโรคพิษสุราเรื้อรัง – ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แนะนำให้หยุดดื่ม แพทย์อาจแนะนำเข้าร่วมโปรแกรมการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรัง
  • การรักษาโรคไขมันคั่งตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ - แนะนำให้คนไข้ลดน้ำหนักและรักษาระดับน้ำตาลรวมทั้งไขมันในเลือด
  • ใช้ยาเพื่อรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ – ยาจะช่วยลดความเสียหายของตับเนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี
  • การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการอื่นๆ ของโรคตับแข็ง - ยาเหล่านี้อาจช่วยชะลอการเกิดโรคตับแข็งบางชนิดได้ ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งจากท่อน้ำดีอักเสบหรือผู้ป่วยที่มีภาวะโรคตับจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ที่ได้รับการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ สามารถรักษาด้วยยาได้

ยาชนิดอื่น ๆ สามารถช่วยบรรเทาอาการอย่างอื่นได้ เช่น อาการคัน อ่อนแรง และปวด การรับประทานสารอาหารเสริมทางการแพทย์อาจช่วยรักษาภาวะทุพโภชนาการที่เกี่ยวข้องกับโรคตับแข็งเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน

การรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็งมีดังนี้

  • สำหรับของเหลวส่วนเกินในร่างกายที่ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำ – แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารโซเดียมต่ำและใช้ยาขับปัสสาวะเพื่อป้องกันการสะสมของเหลวส่วนเกินในร่างกาย และเพื่อควบคุมอาการบวม ในรายที่อาการรุนแรง อาจต้องเจาะระบายของเหลวในช่องท้องออก
  • ความดันโลหิตในหลอดเลือดพอร์ทัลสูง– ยาที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตในเส้นเลือดพอร์ทัลช่วยป้องกันเลือดออกรุนแรงได้ แพทย์จะทำการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนเพื่อค้นหาเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหารหรือในกระเพาะอาหาร

หากพบมีเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร ผู้ป่วยจะต้องทานยาลดความดันในหลอดเลือดพอร์ทัลเพื่อลดความเสี่ยงในการตกเลือด ผู้ป่วยต้องเข้ารับการส่องกล้องและใช้ยางรัดเพื่อหยุดเลือดหรือป้องกันไม่ให้เลือดออกในอนาคต

  • การติดเชื้อ – แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะหรือการรักษาอื่นๆ เพื่อรักษาการติดเชื้อ คุณอาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม และไวรัสตับอักเสบชนิดเอและบี
  • โรคตับแข็งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ – แพทย์จะแนะนำให้ตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับและตรวจอัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือน เพื่อค้นหามะเร็งตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
  • ภาวะซึมสับสนจากตับแข็งระยะท้าย – แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยบรรเทาการสะสมของสารพิษในเลือด

การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ

การปลูกถ่ายตับอาจเป็นทางเลือกเดียวสำหรับโรคตับแข็งที่มีความรุนแรง โดยตับที่ไม่มีโรคจากผู้บริจาค จะถูกปลูกถ่ายแทนที่ตับที่แข็ง ผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายตับจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจต่างๆ เพื่อดูว่ามีความเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดหรือไม่โดยปกติ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์อาจจะไม่ได้รับการพิจารณาปลูกถ่ายตับ ถ้าถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงที่พวกเขาจะกลับไปดื่มแอลกอฮอล์อีกหลังการปลูกถ่าย อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งขั้นรุนแรงจากการดื่มแอลกอฮอล์บางคน มีอัตราการรอดตาย ไม่แตกต่างกับผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับจากภาวะโรคตับอื่นๆ

การผ่าตัดปลูกถ่ายตับเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์ โดยผู้ป่วยต้องปฎิบัติตัวดังต่อไปนี้