การผลิตได้ในปริมาณที่ลูกค้าต้องการ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่สําคัญอย่างยิ่งประการหนึ่งของการบริหารการผลิตซึ่งการที่จะสามารถผลิตได้ตามปริมาณที่กําหนดไว้ต้องอาศัยทรัพยากรขององค์การหลายอย่าง อันได้แก่ เงินทุน วัตถุดิบ แรงงาน ตลอดจนเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่เนื่องจากทรัพยากรของ องค์การมีอยู่อย่างจํากัดจึงต้องวางแผนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในสิ่งอํานวยความสะดวก เครื่องจักรอุปกรณ์ ตลอดจนโรงงานซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ทําการผลิต ต้องอาศัยเงินลงทุนจํานวนมาก และใช้เวลาในการคืนทุนนาน ดังนั้น การวางแผนและจัดการด้านกําลังการผลิต ซึ่งเป็นการวางแผนและดําเนินการเกี่ยวกับขนาดของโรงงานหรือสถานที่ทําการผลิต จํานวนเครื่องจักรอุปกรณ์ ตลอดจํานวนคนงานที่เหมาะสม จึงเป็นภาระงานสําคัญของการบริหารการผลิต โดยต้องคํานึงถึงผลลัพธ์ต่อองค์การในระยะสั้นควบคู่กับระยะยาว และใช้ ปัจจัยเชิงปริมาณเป็นหลักในการพิจารณาประกอบกับปัจจัยเชิงคุณภาพให้องค์การมีกําลังการผลิตที่ เหมาะสม ไม่เกิดปัญหาการผลิตได้น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าเพราะกําลังการผลิตน้อย เกินไป และไม่เกิดปัญหาเครื่องจักรมากเกินไปจนกลายเป็นความสูญเปล่าเพราะกําลังการผลิตมากเกินไป ความหมายของการวางแผนการผลิต อนุรัตน์ ระยับพันธุ์ (2559) การวางแผนการผลิต หมายถึงการวางแผนในการจัดการปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น แรงงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ กระบวนการผลิต หรือ 4M (Man, Machine, Machine, Method) เพื่อให้ผลการผลิตบรรลุตามเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ตามความต้องการของลูกค้า พัทธ์ธีรา สมทรง (2552) การวางแผนและควบคุมการผลิต หมายถึง การจัดระเบียบการไหลของงานในระบบ แล้วติดตามการทำงานนั้นว่าเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่ เพื่อที่จะได้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ทันเวลา สุดารัตน์ พิมลรัตนกานต์ (2557) การผลิต (Production) หมายถึง กระบวนการ (Process) ในการแปลรูปการผลิตเข้ากับวัตถุดิบโดยหน่วยการผลิต เพื่อให้เกิดเป็นสินค้าและบริการต่าง ๆ นำไปสนองความต้องการของมนุษย์ จากความหมายข้างต้น ของการวางแผนการผลิต หมายถึง การจัดแผนการผลิตเพื่อให้บรรลุความต้องการของลูกค้า โดยคำนึงถึงระยะเวลาการผลิตและการส่งมอบให้ลูกค้าเป็นหลัก วัตถุประสงค์การวางแผนการผลิต 1. จัดหากำลังการผลิตที่จำเป็นต่อการตอบสนองแผนการผลิต ที่วางไว้ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย 2. ดูแลให้ต้นทุนการผลิตต่ำ 3. ลดช่วงเวลานำในการผลิต 4. ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการผลิตของโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 5. จัดรวบรวมข้อมูลข่าวสารและผลลัพธ์จากการวางแผนให้กับ ฝ่ายบริหารเพื่อการตัดสินใจ การวางแผนกำลังการผลิต กระบวนการในการจัดหาทรัพยากรการผลิตที่จำเป็นต่อการทำให้บรรลุ ตามแผนการผลิตที่ได้วางไว้สำหรับช่วงระยะเวลาหนึ่งในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงวิธีการที่สามารถทำให้กำลังการผลิตที่มีอยู่พร้อมซึ่งขึ้นอยู่กับเครื่องจักรและกำลังคนโดยอาจพิจารณาถึงกำลังการผลิตในช่วงเวลาปกติ ล่วงเวลา จำนวนกะการทำงานรวมทั้งจากหน่วยผลิตอื่นๆ ในโรงงานและจากแหล่งภายนอก (Outsources) แผนการผลิตจะไม่สามารถนำไปดำเนินการได้หากปราศจากกำลังการผลิตที่เพียงพอของหน่วยงานในการตอบสนองความต้องการ ดังนั้น การวางแผนกำลังการผลิตจึงเสมือนเป็นการเชื่อมแผนการผลิตกับทรัพยากรการผลิตให้มีความสอดคล้องกัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้กระบวนการในการวางแผนกำลังการผลิต สำหรับกระบวนการในการวางแผนกำลังการผลิตสามารถสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ 1.คำนวณหากำลังการผลิตที่นำไปใช้ได้ของหน่วยผลิตแต่ละ หน่วยในแต่ละช่วงเวลา 2.คำนวณหาภาระงานหรือความต้องการกำลังการผลิตของ หน่วยผลิตแต่ละหน่วยในแต่ละช่วงเวลา 3.ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เป็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างกำลังการผลิตที่นำไปใช้ได้กับความต้องการกำลังการผลิต หากเป็นไปได้ควรเลือกปรับกำลังการผลิตที่นำไปใช้ได้ให้สอดคล้องกับความ ต้องการกำลังการผลิตหรือภาระงาน ประเด็นสำคัญสำหรับการวางแผนการผลิตก็คือแผนการผลิตที่เป็นไปได้จะต้องถูกสร้างขึ้นมาภายใต้ข้อจำกัดทั้งหมดของระบบดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อจำกัดของทรัพยากรที่เกี่ยวข้องทุกๆ รายการรวมทั้งนโยบายสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและอื่นๆ เป็นต้น กำลังการผลิต ปริมาณงานหรือจำนวนหน่วยปฏิบัติการสามารถที่จะผลิต รองรับ หรือจัดเก็บได้ในหนึ่งหน่วยเวลา กำลังการผลิตมีผลต่อต้นทุนเป็นอย่างมาก เพราะกำลังการผลิตจะต้องมีความสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ดัชนีชีวัดที่นิยมใช้ในการวัดสมรรถนะของระบบ อรรถประโยชน์ = ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง/กำลังการผลิตตามแผน ประสิทธิภาพ = ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง/กาลังการผลิตหวังผล กำลังการผลิต (capacity) คือ อัตราสูงสุดที่ระบบการผลิตสามารถผลิตได้เต็มที่ในช่วงเวลาหนึ่งของดำเนินงานการวัดกำลังการผลิตสามารถกระทำได้ 2 ทาง คือ 1. การวัดกำลังการผลิตจากผลผลิต การวัดกำลังการผลิตจากผลผลิตจะใช้เมื่อผลผลิตจากกระบวนการสามารถนับเป็นหน่วยได้ง่าย ได้แก่ สินค้าที่มีตัวตน (tangible goods) ซึ่งจะเน้นการผลิตแบบตามผลิตภัณฑ์ (product – focused) เช่น การวัดกำลังการผลิตของโรงงาน โดยนับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ต่อปี (โรงงานผลิตรถยนต์โตโยต้า) นับจำนวนนมกล่องที่ผลิตได้ต่อวัน (โรงงานนมสดเมจิ) นับจำนวนลิตรของน้ำมันที่กลั่นได้ต่อเดือน (โรงงานกลั่นน้ำมันไทยออยล์) เป็นต้น 2. การวัดกำลังการผลิตจากปัจจัยการผลิต การวัดกำลังการผลิตจากปัจจัยการผลิต จะใช้เมื่อผลผลิตจากกระบวนการนับเป็นหน่วยได้ยาก หน่วยของผลิตภัณฑ์ไม่ชัดเจน ได้แก่ การบริการต่างๆ ซึ่งจะเป็นการผลิตแบบตามกระบวนการ เช่น การวัดกำลังการผลิตของร้านบิวตี้ซาลอนจากจำนวนช่างตัดผม การวัดกำลังการผลิตของโรงพยาบาลจำนวนเตียงคนไข้ การวัดกำลังการผลิตของร้านอัดขยายภาพจากจำนวนชั่วโมงการทำงานของเครื่องจักร เป็นต้น ตัวอย่าง ผู้จัดการร้าน One more Bakery จะต้องเพิ่มกำลัง การผลิตเพื่อให้สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้า โดยทำการ เพิ่มอีกหนึ่งสายการผลิต กำลังการผลิตหวังผลของสายการผลิตนี้ เท่ากับสายการผลิตแรกคือ 175,000 ชิ้น แต่ประสิทธิภาพของ สายการผลิตนี้มีค่าเพียง 75% อันเนื่องจากความชำนาญที่น้อย กว่าสายการผลิตแรก ผู้จัดการต้องการคำนวณหาผลผลิตที่ เกิดขึ้นจริงของสายการผลิตนี้ ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง =กำลังการผลิตหวังผล * ประสิทธิภาพ =175,000*0.75 = 131,250 ชิ้นต่อสัปดาห์ 21 แม้ว่าองค์การจะมีกำลังการผลิตเป็นอัตราสูงสุดที่จะสามารถผลิตได้ แต่ในการปฏิบัติงานจริงอัตราการผลิตมักจะต่ำกว่ากำลังการผลิต เพราะจะต้องคำนึงถึงการหยุดพักหรือการบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ เพื่อถนอมไว้ใช้งานได้ในระยะยาวมากกว่าการเล็งผลในระยะสั้นเท่านั้น การใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่มักจะเกิดต้นทุนการทำงานล่วงเวลาในกะพิเศษหรือการลดการบำรุงรักษาอุปกรณ์ตามแผนที่กำหนดไว้ประจำหรือ การใช้ผู้รับสัญญาช่วง ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นทั้งสิ้น ดังนั้นกำลังการผลิตที่เต็มที่จะถูกใช้จริงก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นและไม่เกิดขึ้นบ่อยนักภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น กระบวนการวางแผนการผลิต กระบวนการวางแผนการผลิต ประกอบ 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1.จัดทำแผนความต้องการของลูกค้า (Customer Requirement Planning) แผนความต้องการของลูกค้าเป็นขั้นตอนแรกของการวางแผนกการผลิต ข้อมูลความต้องการของลูกค้าอาจจะได้มาจากหลายทาง เช่น จากลูกค้าโดยตรง วิธีนี้หากสามารถหามาได้จะเป็นข้อมูลที่มีความแม่นยำสูงมาก สามารถวางแผนการผลิตได้ง่าย ข้อมูลความต้องการของลูกค้าจากการพยากรณ์ ข้อมูลประเภทนี้ต้องมีข้อมูลสนับสนุนที่ดีพอสมควรจึงจะทำให้การวางแผนการผลิตมีความแม่นยำ ต้องมีการวิเคราะห์ในหลายๆ รูปแบบ ซึ่งข้อมูลแต่ละประเภทก็มีความแปรปรวนที่แตกต่างกัน 2.จัดทำแผนความต้องการวัสดุ (Material Requirement Planning) แผนความต้องการวัสดุหมายถึงการจัดเตรียม จัดหา วัสดุ,ชิ้นส่วน,วัสดุกึ่งสำเร็จ รูปให้เพียงพอต่อความต้องการในการผลิต ซึ่งสามารถประมาณการได้จากประมาณการความต้องการของลูกค้า. รายการวัสดุที่จะต้องใช้จะถูกกำหนดไว้ในบัญชีรายการวัสดุ (Bill Of Material : BOM) ซึ่งจะระบุชนิดของวัสดุและชิ้นส่วน ปริมาณการใช้ต่อหน่วย รวมถึงข้อมูลที่จำเป็นอื่นๆ เช่น ระยะเวลาในการจัดส่งจากผู้ผลิตสินค้า(Supplier) กรณีที่มีการสั่งซื้อจากภายนอก กำลังการผลิตภายในสำหรับกรณีที่ชิ้นส่วนเอง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดต้องมีความชัดเจนทั้งด้านปริมาณและระยะเวลาส่งมอบ 3.วางแผนการผลิต (Production Planning) หลังจากที่ได้แผนความต้องการของลูกค้าและมีการเตรียมการวัสดุให้เพียงพอแล้ว ก็จะทำการวางแผนการผลิต ซึ่งมีขั้นตอนหลักๆ ดังต่อไปนี้ 3.1วางแผนกระบวนการ (Process Planning) การวางแผนกระบวนการเป็นกำหนดกระบวนการและลำดับในการผลิต. กระบวนการที่ดีต้องเป็นกระบวนการที่สั้นที่สุดซึ่งหมายถึงใช้เวลาในการผลิตจนกระทั่งออกมาเป็นสินค้าสำเร็จรูปน้อยที่สุด. 3.2วางแผนการเครื่องจักร (Machine Planning) ในกระบวนการผลิตที่ต้องใช้เครื่องหลักเป็นหลักจำเป็นต้องมีการใช้เครื่องจักรให้เกิดประโยชน์สุงสุด ตามทฤษฎีแล้วเครื่องจักรต้องทำงาน 24 ชั่วโมงทุกวัน หรือไม่มีการหยุดทำงานเลย แต่ในการทำงานจริง เวลาสูญเสียของเครื่องจักรมีหลายอย่าง เช่น หยุดเพื่อปรับตั้งชิ้นงาน หยุดเพื่อซ่อมแซม, หยุดเพราะไม่มีงานป้อน, หยุดเพื่อตรวจสอบชิ้นงาน เป็นต้น 3.3วางแผนด้านแรงงาน (Man Planning) การวางแผนการแรงงานจะคล้ายๆ กับการวางแผนการใช้เครื่องจักร คือ ต้องให้กระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องให้มากที่สุดแต่ทั้งนี้ต้องอย่าลืมกฎหมายด้านแรงงานที่กำหนดเวลาในการทำงาน การพักที่ชัดเจน ดังนั้น การวางแผนด้านแรงงานจึงยากกว่าการวางแผนเครื่องจักรหลายเท่าตัว 3.4การวางแผนการจัดเก็บ (Store Planning) การวางแผนการจัดเก็บ หมายถึงการวางแผนในการควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมซึ่งหมายถึงมีเพียงพอต่อการใช้งานและไม่สูงเกินไปภายใต้ระดับที่กำหนด การวางแผนการจัดเก็บนี้รวมถึง การวางแผนการจัดเก็บสินค้าในระหว่างผลิต, สินค้ากึ่งสำเร็จรูป, สินค้าสำเร็จรูป กระบวนการผลิต กระบวนการผลิตเป็นการดำเนินงานที่ต้องใช้เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ สำหรับแต่ละการดำเนินงาน กระบวนการผลิตยังกำหนดทรัพยากรการดำเนินงานที่จำเป็น เวลาที่ต้องใช้เพื่อตั้งค่า และทำการดำเนินการ และวิธีที่ควรคำนวณต้นทุน สามารถใช้กระบวนการผลิตเดียวกันในการผลิตผลิตภัณฑ์หลายอย่าง หรือสามารถกำหนดกระบวนการผลิตที่ไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์ย่อยได้ กระบวนการผลิตที่ใช้แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณที่ต้องผลิต ดังนั้นในกระบวนการนี้จำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ อันได้แก่ ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการแปลงสภาพ (Conversion Process) และผลผลิต (Output) โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ปัจจัยนำเข้า (Input) คือทรัพยากรขององค์การที่ใช้ผลิตทั้งที่เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน (Tangible Assets) เช่น วัตถุดิน เครื่องจักร อุปกรณ์ และสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Assets) เช่น แรงงาน ระบบการจัดการ ข่าวสาร ทรัพยากรที่ใช้จะต้องมีคุณสมบัติและประโยชน์ใช้สอยที่เหมาะสม และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เพื่อให้สินค้าสำเร็จรูปสามารถแข่งขันทางด้านราคาได้ในท้องตลาด กระบวนการแปลงสภาพ (Conversion Process) เป็นขั้นตอนที่ทำให้ปัจจัยนำเข้าที่ผ่านเข้ามามีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ได้แก่ -รูปลักษณ์ (Physical) โดย การผ่านกระบวนการผลิตในโรงงาน -สถานที่ (Location) โดย การขนส่ง การเก็บเข้าคลังสินค้า -การแลกเปลี่ยน (Exchange) โดย การค้าปลีก การค้าส่ง -การให้ข้อมูล (Information) โดย การติดต่อสื่อสาร -จิตวิทยา (Psychological) โดย การนันทนาการ ฯลฯ ผลผลิต (Output) เป็นผลได้จากระบบการผลิตที่มีมูลค่าสูงกว่าปัจจัยนำเข้าที่รวมกันอันเนื่องมาจากที่ได้ผ่านกระบวนการแปลงสภาพ ผลผลิตแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สินค้า (Goods) และบริการ (Service) กลยุทธ์กระบวนการ ความพยายามที่จะหาวิธีการที่ดีสุดในการแปลงสภาพเพื่อให้สินค้าหรือบริการสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและตรงตามข้อกำหนดของฝ่ายออกแบบ โดยควบคุมต้นทุนการผลิตและตอบสนองต่อเงื่อนไขของฝ่ายอื่นๆ กลยุทธ์กระบวนการ 4 ประเภท ได้แก่ (1) การมุ่งเน้นตามกระบวนการ (2) การมุ่งเน้นการทำซ้ำ (3) การมุ่งเน้นตามผลิตภัณฑ์ (4) การมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะราย การแบ่งประเภทกลยุทธ์กระบวนการนี้ จะขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตสินค้าและบริการนั้นๆ กับจำนวนชนิดของผลิตภัณฑ์ ดังแสดงใน ภาพที่ 3.1 ภาพที่ 3.1 กลยุทธ์กระบวนการ 4 ประเภท ที่มา: Jay Heizer & Barry Render, 2551, การจัดการผลิตและปฏิบัติการ ., หน้า 127 1.การมุ่งเน้นตามกระบวนการ กระบวนการผลิตกว่า 75% ทั่วโลก เป็นการผลิตตามคำสั่งซื้อ โดยมุ่งเน้นการผลิตผลิตภัณฑ์หลายชนิด แต่ผลิตในปริมาณไม่มาก โดยจะจัดเป็นหมวดหมู่หรือชนิดของกระบวนการ ทำให้สามารถทำงานในบริเวณเดียวกันภายใต้การควบคุมดูแลของพนักงานที่ทำหน้าที่คล้ายกัน ข้อดี คือ เพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตสินค้าได้หลากหลาย และสามารถ หยุดงานใดงานหนึ่งเพื่อทำงานอีกงานแทนในช่วงเวลาที่ต้องการสินค้าชนิดนั้นด่วนเป็นพิเศษได้ กระบวนการนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า กระบวนการผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง 2. การมุ่งเน้นการทำซ้ำ กระบวนการนี้จะใช้โมดุล คือชิ้นส่วนหรือส่วนประกอบที่เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้ามาประกอบในสายการผลิต หากต้องการสินค้าที่ใกล้เคียงแค่เปลี่ยนโมดุล ก็จะสามารถผลิตสินค้าได้อีกลักษณะ ข้อดี ประกอบด้วย 1.ด้านต้นทุนการผลิต มีการเตรียมล่วงหน้า ทำให้สามารถผลิตได้จำนวนมาก 2.ด้านความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า เนื่องจากสามารถผลิตได้หลากหลายจากการมีได้หลายโมดุลตามความต้องการของลูกค้า 3. การมุ่งเน้นตามผลิตภัณฑ์ เป็นกระบวนการที่ผลิตสินค้าที่มีจำนวนชนิดผลิตภัณฑ์ไม่มาก โดยที่แต่ละผลิตภัณฑ์จะผลิตในปริมาณมาก เครื่องจักรจะถูกจัดเรียงตามขั้นตอนและลำดับการผลิตของแต่ละชนิดผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์จะเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องบนสายการผลิต กระบวนการผลิตนี้มักมีการลงทุนเบื้องต้นในระบบการผลิตสูง โดยมีต้นทุนคงที่สูงและต้นทุนแปรผันต่ำ เป็นการผลิตสินค้าปริมาณมาก (Mass production) ข้อดี ง่ายต่อการควบคุมคุณภาพในการผลิตสินค้า 4. การมุ่งเน้นการตอบสนองตามความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะราย กระบวนการผลิตนี้เป็นแนวทางที่ตอบสนองด้วยความรวดเร็วและต้นทุนการผลิตต่ำ หัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่าง การออกแบบผลิตภัณฑ์แบบโมดูลของกลยุทธ์มุ่งเน้นการทำซ้ำหลักการผลิตรวดเร็วของกลยุทธ์มุ่งเน้น ผลิตภัณฑ์ และการจัดตารางผลิตที่มีประสิทธิภาพจากกลยุทธ์มุ่งเน้นตามกระบวนการมาประกอบเข้าด้วยกัน การวิเคราะห์และการออกแบบกระบวนการผลิต การวิเคราะห์และการออกแบบกระบวนการผลิตเป็นกระบวนการก่อนที่จะเริ่มผลิตสินค้าโดยจะสามารถทำให้ทราบถึงกระบวนการต่างๆ และกำหนดระยะเวลาการทำงานในแต่ละขั้นต้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องมีเครื่องมือเพื่อการวิเคราะห์และการออกแบบกระบวนการ ดังนี้ 1.แผนภาพการไหล (Flow diagram) เป็นการใช้แผนภาพเพื่อแสดงการไหลของวัตถุดิบ ชิ้นงาน หรือข้อมูล เคลื่อนผ่านกระบวนการต่างๆจนกระทั่งกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ 2.แผนผังงานตามเวลา (Time-function mapping) เป็นแผนผังที่มีลักษณะเหมือนกับแผนภาพการไหลแต่เพิ่มระยะเวลาของการทำงานแต่ละขั้นตอนเข้ามาพิจารณาร่วมในแกนนอน จะใช้สัญลักษณ์วงกลมแทนกิจกรรม และสัญลักษณ์ลูกศรแทนทิศทางการไหลของงาน โดยมีเวลากำกับไว้ในแกนนอน 3.สายธารแห่งคุณค่า (Value-Stream Mapping: VSM) แสดงให้เห็นถึงการไหลของวัตถุดิบและข้อมูลที่เคลื่อนผ่านไปยังกระบวนการต่างๆ ที่เกิดคุณค่าและไม่เกิดคุณค่าในกระบวนการผลิตและโซ่อุปทาน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และเข้าใจถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้อง 4.แผนภูมิกระบวนการ (Process charts) เป็นแผนภูมิที่ใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อมาอธิบายกระบวนการในแต่ละขั้นตอนย่อยจนกระทั่งกลายเป็นสินค้าที่ต้องการ สัญลักษณ์ 5 รูปแบบจะใช้แทนขั้นตอนการทำงาน 5 งานย่อยได้แก่ ปฏิบัติการ ขนส่ง ตรวจสอบ หยุดรอ และจัดเก็บ วัตถุประสงค์ของเทคโนโลยีในการผลิต มีดังนี้ 1. เพิ่มผลผลิตให้มีมากขึ้น ลดความสิ้นเปลืองจากการสูญเสีย วัตถุดิบในกระบวนการผลิตลง 2. เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพราะการผลิตสินค้าจำนวนมากจะทำให้ลดต้นทุนการผลิต ผู้ผลิตได้กำไรมากขึ้น และอาจทำให้สินค้ามีราคาถูกลง 3. เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพได้มาตรฐาน เป็นการเพิ่มคุณค่าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ มีแบบให้เลือกหลากหลายผลิตภัณฑ์มีคุณภาพขึ้น 4. เพื่อลดแรงงานหรือกำลังคนทำงานได้น้อยลง เทคโนโลยีทางการผลิต การนำความรู้ วิทยาการ และประสบการณ์ต่างๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการผลิตสินค้าและบริการ รวมทั้งการคิดค้นหาวิธีการนำทรัพยากรมาใช้ในด้านใหม่ๆ เพื่อให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ประเทศไทยเรามีวัตถุดิบในการผลิตจำนวนมาก เนื่องจากประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธัญญาหาร ป่าไม้ และแร่ธาตุ หากเราใช้ทรัพยากรไม่ระมัดระวัง ทรัพยากรอาจหมดสิ้นหรือเสื่อมค่าได้ ผู้ผลิตจึงจำเป็นที่จะใช้เทคโนโลยีให้ได้ประโยชน์สูงสุด ตลอดจนการผลิตสินค้าแต่ละชนิดมีการแข่งขันสูง ผู้ผลิตจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้มีคุณภาพและตรงตามต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด เทคโนโลยีทางการผลิตมีดังนี้ 1.เทคโนโลยีเครื่องจักรกล (Machine Technology) เป็นระบบควบคุมอย่างชาญฉลาด (Intelligence control) ทาให้องค์กรควบคุมเครื่องจักรได้อย่างง่ายดาย 2.ระบบพิสูจน์ทราบอัตโนมัติ (Automat Identification System:AIS) เครื่องจักรส่วนใหญ่ถูกควบคุมด้วยระบบดิจิตอล เนื่องจากระบบดิจิตอลช่วยให้ส่งข้อมูลปริมาณมากๆ ในรูปแบบของ หน่วยประมวลผลข้อมูลสารสนเทศทางคอมพิวเตอร์ บิตและไบต์ 3.การควบคุมกระบวนการ (Process Control) เป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ติดตามและควบคุมกระบวนการผลิตสินค้าหรืองานบริการ 4.ระบบตรวจสอบด้วยภาพ (Vision Systems) เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกล้องถ่ายภาพวีดีทัศน์กับเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการตรวจสอบกระบวนการผลิตหรือการดำเนินงาน 5.หุ่นยนต์อุตสาหกรรม (Robots) คือเครื่องจักรที่มีความยืดหยุ่นสามารถจับยึดและเคลื่อนชิ้นงานหรือเครื่องมือการผลิตให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางและระยะที่ต้องการ 6.ระบบจัดเก็บสินค้าคงคลังและเรียกคืนอัตโนมัติ (Automated Storage and Retrieval System : ASRS) เป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการควบคุมอัตโนมัติ โดยแสดงตำแหน่งว่างที่เหมาะสมกับชิ้นงาน และจะสั่งให้ชุดจัดเก็บเคลื่อนเข้าไปจัดเก็บบนที่ว่างนั้น 7.พาหนะขนส่งชิ้นงานด้วยระบบนำร่องอัตโนมัติ(Automated Guided Vehicles : AGV ) เป็นระบบที่ใช้หลักการของการขับเคลื่อนรถหรือพาหนะขนาดเล็กด้วยลวดนาร่อง ซึ่งทิศทางการเคลื่อนที่จะถูกกำหนดโดยศูนย์ควบคุม 8.ระบบการผลิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Manufacturing System: FMS) เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาใช้ในการควบคุมหน่วยการผลิต ที่ประกอบด้วยเครื่อง จักรกลและอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุให้สามารถทำงานประสานกันได้อย่างอัตโนมัติ 9.การผสานระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบการผลิตอย่างบูรณาการ (Computer Integrated Manufacturing: CIM) เป็นการประยุกต์คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้การออกแบบจะส่งข้อมูลชุดคำสั่งไปให้กับเครื่องจักรกล เพื่อให้เครื่องจักรทาการผลิตสินค้าตามที่ออกแบบมาในเวลาเพียงไม่กี่นาที เอกสารอ้างอิง กตัญญู หิรัญญสมบูรณ์. (2542). การบริหารอุตสาหกรรม. กรุงเทพฯ : งานตำราและเอกสารการพิมพ์. คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ชุมพล ศฤงคารศิริ. (2542). การวางแผนและควบคุมการผลิต. กรุงเทพฯ : ส.เอเชียเพรส (1989). เปรื่อง กิจรัตน์ภร. (2537). การบริการงานอุตสาหกรรม ระบบ และกระบวนการผลิต. กรุงเทพฯ : คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันราชภัฏพระนคร. ยุทธ ไกยวรรณ์. (2543). การบริหารการผลิต. กรุงเทพฯ : ศูนย์สื่อเสริม. วิชัย แหวนเพชร. (2536). การวางแผนและควบคุมการผลิต. กรุงเทพฯ : คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันราชภัฏพระนคร. วินิจ วีระยางกูร. (2533). การจัดการผลิต. กรุงเทพฯ : การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค. สุปัญญา ไชยชาญ. (2540). การบริหารการผลิต. พิมพ์ครั้งที่ 4 กรุงเทพฯ : พี.เอ.ลีฟวิ่ง. เสรี สมนาแซง. (2529). การวางแผนและควบคุมการผลิต. กรุงเทพฯ : ขอนแก่น ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สนธยา แพ่งศรีสาร (2559) การวางแผนกำลังการผลิต. [ออนไลน์] http://elearning.nsru.ac.th /web_elearning /sonthaya/lesson%205/lesson%205.html [สืบค้นเมื่อ 10มกราคม2561]. สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).(2558).การวางแผนและ ควบคุมกำลังการผลิต[ออนไลน์] http://www.tpa.or.th/publisher/admin/newbook/P0922%20intro.pdf[สืบค้นเมื่อ 10มกราคม2561]. Jay Heizer & Barry Render.(2551) การจัดการผลิตและปฏิบัติการ : Operations Managementแปลและเรียบเรียงโดย จิณตนัยไพรสณฑ์และคณะ. กรุงเทพฯ : เพียร์สัน เอ็คดูเคชัน อินโดไชน่า. Logisticafe. (2552) กระบวนการผลิต (production process) คืออะไร. [ออนไลน์] https: // www.logisticafe.com/2009/11/production-process/ [สืบค้นเมื่อ 10มกราคม2561]. พัชราภรณ์. (2560) บทที่ 7 กลยุทธ์กระบวนการและการวางแผนกําลังการผลิต. [ออนไลน์] http://www.elfms.ssru.ac.th/pacharaporn_le/file.php/1/BUA3122_DOC_3_2560/less7.pdf [สืบค้นเมื่อ 10มกราคม2561]. สายพิรัน.(2556).เทคโนโลยีสารสนเทศและการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ.[ออนไลน์] http://saipirun5154.blogspot.com/2013/09/blog-post_6935.html [สืบค้นเมื่อ 10มกราคม2561]. |