ต ดซ & เดอะเฟค ม end cradit ม ย

ชีวิตคนปกติย่อมต้อง “ตด” กันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดมาใหม่ๆ มักจะไม่ตด ด้วยระบบภายในร่างกายเกิดความแปรปรวน ดังนั้น ใครที่เคยผ่านประสบการณ์การผ่าตัดมาย่อมเคยอยู่ในนาทีที่ทุกคนลุ้นให้ “ตด”

แล้วสำหรับคนปกติล่ะ “การตด” หรือ “การผายลม” ในแต่ละวัน ที่บางวันก็ตดดัง บางวันก็ตดเหม็น บางวันก็ตดบ่อย แบบไหนอันตรายกว่ากัน หรือตดนั้นกำลังส่งสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพของเราอย่างไรบ้าง

ต ดซ & เดอะเฟค ม end cradit ม ย

ตดดัง

การตดที่มีเสียงดัง เกิดจากการที่แก๊สถูกขับออกมาด้วยแรงดันอากาศหรือแรงเบ่งที่สูงมาก หรืออาจเกิดจากการที่แก๊สต้องแทรกตัวผ่านกล้ามเนื้อหูรูดที่บีบตัวแน่น ส่วนตดจะดังมากดังน้อยขึ้นอยู่กับความกระชับของกล้ามเนื้อหูรูดและความดันลมภายในลำไส้ใหญ่ ดังนั้น เสียงที่มาพร้อมกับการตดจึงไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดปกติอะไร

ต ดซ & เดอะเฟค ม end cradit ม ย

ตดเหม็น

สารเคมีใน “ลมตด” มีหลายชนิด แต่มีเพียงร้อยละ 1-2 ที่มีกลิ่นเหม็น โดยแก๊สเหล่านี้มีธาตุกำมะถันหรือซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ ซึ่งสารเคมีหลักที่มีกลิ่นในตดคือ แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (hydrogen sulfide) หรือแก๊สไข่เน่า และอื่นๆ โดยแก๊สเหล่านี้เกิดจากเชื้อแบคมีเรียบางชนิดในลำไส้ผลิตขึ้นระหว่างการย่อยอาหาร กลิ่นตดจึงขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ส่วนใหญ่แล้วอาหารจำพวกโปรตีนจะก่อให้เกิดแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นมาก เช่น อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่ ชีส และนม รวมไปถึงถั่วชนิดต่างๆ อีกทั้งแก๊สเหล่านี้ต้องเดินทางผ่านลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของอาหารและกากอาหารที่ถูกย่อยสลายแล้ว จึงมีกลิ่นเหม็นเป็นธรรมดาและไม่ถือว่าเป็นสัญญาณของความผิดปกติของสุขภาพแต่อย่างใด

ต ดซ & เดอะเฟค ม end cradit ม ย

ตดบ่อย

โดยปกติแล้วผู้ที่มีร่างกายอุดมสมบูรณ์และแข็งแรงดีจะตดประมาณ 14 – 23 ครั้งต่อวัน เมื่อใช้เกณฑ์นี้เป็นตัววัดแล้ว การตดที่มากกว่า 23 ครั้ง ภายใน 1 วัน ถือว่าผิดปกติ โดยความผิดปกตินี้อาจเกิดจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดแก๊สในร่างกายมากเกินไป เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ชีส กะหล่ำปลี หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม หรืออาจเกิดจากภาวะความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งภายในร่างกาย

การตด หรือการผายลมบ่อยมากเกินไปนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงสุขภาพภายในได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาวะหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการตด ได้แก่ โรคมะเร็งลำไส้ โรคลำไส้แปรปรวน ระบบดูดซึมอาหารทำงานผิดปกติ การแพ้อาหารที่มีส่วนประกอบของแลคโตส (lactose) เช่น นมวัวและโยเกิร์ต ภาวะที่เกี่ยวของกับกระเพาะอาหาร เช่น การที่อาหารเป็นพิษ ฯลฯ

ดังนั้น เราจึงควรหมั่นนับจำนวนครั้งที่เราตดในแต่ละวัน เพื่อสังเกตการทำงานที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้ หากมีการตดที่บ่อยครั้งเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สได้ง่าย แต่หากยังไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และหาทางแก้ไขอย่างเร็วที่สุด

ต ดซ & เดอะเฟค ม end cradit ม ย

รู้หรือไม่ ?

  • ดร.ไมเคิล เลวิตต์ (Dr.Michael Levitt) แห่ง Veterans Administration Medical Center ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการยอมรับจากวงวิชาการทั่วโลกว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญเรื่องตดระดับโลก” และเป็นผู้คิดค้น “กางเกงในดับกลิ่นตด”
  • ผู้หญิงตดเหม็นกว่าผู้ชาย…ไม่อยากเชื่อเลยใช่ไหม แต่จากการศึกษาของ ดร.เลวิตต์ พบว่า เมื่อท้องอืด ผู้หญิงจะมีไฮโดรเจนซัลไฟด์เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งทำให้กลิ่นตดเหม็นขึ้นด้วย
  • คนทานเนื้อสัตว์ตดเหม็นกว่าคนทานมังสวิรัติ
  • คนทานมังสวิรัติตดบ่อยกว่าคนทานเนื้อสัตว์
  • คนชอบทานอาหารรสจัด ใส่เครื่องเทศมาก หรือชอบดื่มเบียร์ ตดเหม็นไม่เบา
  • อาการท้องผูก ทำให้ตดมากและตดเหม็น
  • ตดติดไฟได้ แต่ถ้าใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็ไม่มีปัญหา หากเป็นมนุษย์ในยานอวกาศนอกโลกที่ต้องอยู่ในสภาพสุญญากาศ การตดจะเป็นปัญหามากเพราะติดไฟได้ง่าย ต้องหาวิธีดูดแก๊สที่ออกมาไปเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง: scimath, 10 ความรู้รอบ “ตด” โดย สุปรีดี จันทะดี, เคมีของ “ตด” กับผลทางสุขภาพ (ที่ไม่น่าเชื่อ และไม่ควรเชื่อ) โดย รศ.ดร.พลังพล คงเสรี ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, seventeen

ตดบ่อย ผายลมบ่อยมาก ๆ จนชักจะรำคาญ เพราะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แถมยังแอบกังวลว่าตดบ่อยอันตรายไหม เกิดโรคอะไรในร่างกายเราหรือเปล่า !

ต ดซ & เดอะเฟค ม end cradit ม ย

ตด หรือการผายลมเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่หากมีอาการตดบ่อย แป๊บ ๆ เดี๋ยวลมก็ออก แป๊บ ๆ ก็ตด แบบนี้คงไม่ค่อยดีนัก เพราะนอกจากจะทำให้ใช้ชีวิตลำบากกว่าเดิมแล้วยังทำให้กังวลว่าการที่เราตดบ่อยนี่เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพภายในด้วยไหม นั่นน่ะสิ...ตดบ่อย อันตรายหรือเปล่า แล้วตดบ่อยเกิดจากอะไร ลองมาอ่านดู

ตดเกิดจากอะไร

ตด เป็นกระบวนการขับลมหรือแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยตดจะประกอบไปด้วยแก๊สที่ไม่มีกลิ่น 99% อันได้แก่ แก๊สไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ออกซิเจน และมีเทน ส่วนแก๊สมีกลิ่นนั้นมีอยู่เพียง 1% ในตดเท่านั้น ซึ่งแก๊สที่มีกลิ่นก็เกิดจากการหมักหมมของอาหารในลำไส้ ก่อให้เกิดเป็นกำมะถัน ต้นเหตุของกลิ่นเหม็นตุ ๆ ของตดนั่นแหละ

ต ดซ & เดอะเฟค ม end cradit ม ย

ทำไมเราถึงตด

สาเหตุที่ทำให้ผายลมเกิดจาก

- อากาศที่ผ่านเข้าลำไส้ทางจมูก หรือปากในช่วงที่เคี้ยวอาหาร

- การรับประทานอาหารที่มีกรด แก๊สมาก เช่น น้ำอัดลม ถั่ว ผักกะหล่ำปลี บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นม ไข่ ชีส อาหารไขมันสูง เป็นต้น

- การเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอม

- การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารย่อยไม่หมด และเกิดอาการท้องอืด มีแก๊สในลำไส้

- การรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป ร่างกายจะย่อยอาหารประเภทนี้ได้ช้า และแบคทีเรียในลำไส้จะมาช่วยย่อย ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการหมัก และเกิดแก๊สในลำไส้

- การรับประทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ซึ่งร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยไขมันนาน เสี่ยงต่อการเกิดแก๊สในกระเพาะและลำไส้ ทำให้เรอบ่อย หรือผายลมบ่อยได้

- ในคนที่ร่างกายไม่มีเอนไซม์ย่อยโปรตีนจากนม หากกินนม โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป ร่างกายก็จะย่อยไม่ได้ เปิดช่องให้แบคทีเรียเข้ามาทำปฏิกิริยาหมักและก่อให้เกิดแก๊สในลำไส้

- สำหรับคนที่แพ้กลูเตน เมื่อรับประทานอาหารที่มีกลูเตนเข้าไป เช่น ข้าวสาลี ขนมปัง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ซีเรียล หรือพายบางชนิด ลำไส้ก็จะไม่สามารถย่อยกลูเตนได้ จนก่อให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะ และท้องเสียร่วมด้วย

- นอนไม่พอ วิตกกังวล ความเครียด อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี

- ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีอยู่แล้ว เช่น คนที่ท้องอืดประจำ

ตดบ่อยอันตรายไหม

โดยปกติแล้วคนเราจะตดประมาณ 10-20 ครั้งต่อวัน หรืออาจจะเกินไปเป็น 23 ครั้งต่อวันได้ คิดเป็นปริมาณแก๊สที่ปล่อยออกมาราว ๆ 0.5-1 ลิตรต่อวันเลยทีเดียว แต่หากว่าตดมากครั้งกว่านั้น อาจต้องลองสังเกตด้วยว่ามีอาการอื่น ๆ ประกอบด้วยหรือไม่ เช่น ปวดท้อง มวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการไม่สบายอื่น ๆ ซึ่งก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยความผิดปกติต่อไป

ตดบ่อย บอกโรคอะไรได้บ้าง

ในกรณีที่มีอาการตดบ่อยร่วมกับมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณบอกโรคต่าง ๆ ได้ ดังนี้

คนที่มีอาการท้องผูก ไม่ได้ถ่ายหลายวัน ทำให้อุจจาระสะสมอยู่ในลำไส้นาน ๆ จนเกิดการหมักหมมและเกิดแก๊สมากกว่าปกติได้ ส่งผลให้ตดบ่อยตามมา

โรคลำไส้แปรปรวน

หนึ่งในอาการของโรคลำไส้แปรปรวนคือจะเรอ และผายลมบ่อย เนื่องจากลำไส้มีการย่อยอาหารไม่ปกติ และมักจะมีอาการปวดจนท้องเกร็ง ท้องอืดบ่อย ๆ ด้วย

กระเพาะอาหารอักเสบ

หากมีอาการผายลมบ่อย ร่วมกับอาการแน่นท้อง ปวดท้อง คล้ายกับอาหารไม่ย่อย อาการตดบ่อยของเราอาจบอกเป็นนัย ๆ ว่ากระเพาะอาหารอักเสบอยู่ก็ได้

นิ่วในถุงน้ำดี

หากมีนิ่วในถุงน้ำดี ร่างกายจะย่อยไขมันได้ไม่ดี และจะส่งผลให้มีอาการท้องอืดจนร่างกายต้องระบายลมออกมาเป็นตดบ่อยขึ้น ซึ่งอาการที่สังเกตได้ว่าร่างกายเราอาจมีนิ่วในถุงน้ำดี ก็สังเกตได้จากอาการผายลมหลังกินอาหารอิ่มใหม่ ๆ นั่นเอง

โรคตับอ่อนอักเสบ

กรณีนี้ก็จะคล้าย ๆ กับนิ่วในถุงน้ำดี เพราะตับอ่อนจะมีหน้าที่ช่วยย่อยไขมัน แต่หากตับอ่อนทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะมีอาการอักเสบเกิดขึ้น เราก็จะท้องอืด และมีอาการผายลมบ่อยขึ้นได้

มะเร็งลำไส้ใหญ่

หากมีอาการผายลมบ่อย ร่วมกับน้ำหนักลดอย่างผิดปกติ ท้องผูกเรื้อรัง หรือท้องเสียเรื้อรัง อีกทั้งยังมีภาวะโลหิตจาง อาจต้องสงสัยว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้นะคะ

กลั้นตด ดีไหม

ใครคิดจะกลั้นตดเพราะรู้สึกอายที่จะตดบ่อย ๆ บอกเลยว่าให้หยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้ ! เพราะการกลั้นตดไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพสักนิดค่ะ ลองคิดดูสิว่า ร่างกายเราต้องการผายลมเพื่อระบายแก๊สหรือของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้นหากเราไปกลั้นตดไว้ แก๊สที่ร่างกายควรจะได้ระบายออกมาอาจตีกลับเข้าไปในเลือดและตับแทน เป็นการสะสมของเสียในร่างกายไปซะอย่างนั้น

ต ดซ & เดอะเฟค ม end cradit ม ย

ไม่ตดเลยก็ไม่ดีอีก !

บางคนอาจมีอาการตดบ่อย แต่ก็มีเคสที่ไม่ตดเลยเหมือนกัน ซึ่งเคสนี้ก็อันตรายไม่เบานะ ยิ่งถ้ามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ไม่ถ่ายมาหลายวัน ตดก็ไม่ตด อาจเป็นเพราะลำไส้อุดตันอยู่ก็ได้ ดังนั้นควรรีบมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุดนะคะ

อย่างไรก็ดี หากมีอาการตดบ่อยโดยไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อาจลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไปเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร เช่น น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ถั่ว ผักบางชนิดที่ได้กล่าวข้างต้น หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก และลดการรับประทานอาหารไขมันสูง เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เป็นต้น

แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายใจกับอาการตดบ่อยของตัวเอง จะลองไปตรวจสุขภาพกับแพทย์อีกทีก็ได้ และขอย้ำกันอีกครั้งว่าหากมีอาการตดบ่อยและมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาการป่วยอื่น ๆ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนนะคะ