Ford focus 1.6 เต ม น ำม น อะไร

หลังจากที่เราได้ทำการทดสอบ Ford Foocus ในรุ่นท็อป 4 ประตู ขุมพลัง 2.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับสมรรถนะและออฟชั่นที่จัดเต็มตามสโลแกนที่ว่า "นี่ไม่ใช่แค่รถ" กันไปแล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา วันนี้เราได้นำ Focus ในรุ่นเล็กเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ตัว 5 ประตู มาทดสอบอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าสมรรถนะจะหดหายไปเหมือนกับค่าตัวถูกลงมากกว่า 2 แสนบาท หรือไม่รวมถึงออฟชั่นและความแตกต่างๆอื่นที่ขาดหายไปเพื่อดูว่า Ford Focus 1.6 คันนี้จะยังโดดเด่นและน่าสนใจอยู่หรือไม่ซึ่งเรามีคำตอบมาให้ในวันนี้

Design&Interior

โดยเริ่มที่ดีไซน์ภายนอกที่มาพร้อมกับตัวถังแบบ 5 ประตู ซึ่งดูสปอร์ตกว่าเมื่อเทียบกับคัน 4 ประตูที่เราได้ทดสอบไปก่อนหน้านี้ ส่วนในเรื่องของความแตกต่างเมื่อเทียบกับรุ่น 2.0 แบบ 5 ประตูแบบเดียวกันนั้น ไล่ตั้งแต่ด้านหน้าที่ยังคงดีไซน์ที่ดุดันไว้เหมือนเดิมพร้อมกระจังหน้าแบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ (Active grille shutter) แต่มีการเปลี่นไฟหน้าแบบ Bi-Xenon มาเป็นแบบฮาโลเจนธรรมดาๆ ที่มาพร้อมกับไฟตัดหมอกเหมือนเดิม ด้านข้างที่เห็นชัดที่สุดคือล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง Michelin Primacy 205/60/16 ซึ่งมาแทนไซด์ 17 นิ้ว ลายสปอร์ต ในรุ่น 2.0 ลิตร 5 ประตู ส่วนกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวนั้นในรุ่นนี้เป็นแบบปรับไฟฟ้าแต่พับด้วยมือและไม่มีระบบเตือนรถในจุดบอดด้านข้างหรือ Bline Spot รวมถึง ระบบช่วยถอยจอดเทียบข้างอัจฉริยะ หรือ Active Park Assist ที่ให้แต่ในรุ่น 2.0 เท่านั้นเช่นเดียวกับฟังชั่น Smart Entry พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ถูกถอดออกทั้งชุด เหลือเพียงกุญแจรีโมท ก่อนจะจบที่บั้นท้ายซึ่งดูสปอร์ตเท่ไม่แตกต่างกันด้วยสปอยเลอร์หลังแบบเดียวกับตัวท็อป สรุปแล้วถ้ามองแค่ภายนอกแล้ว Focus 1.6 คันนี้ยังดูคุ้มค่าไม่แตกต่างจากตัวท็อปเครื่อง 2.0 ลิตรแต่อย่างใด

จากนั้นมาต่อที่ห้องโดยสารซึ่งดูแตกต่างทั้งบรรยากาศและฟังชั่นต่างๆที่บางตาลง ตั้งแต่เบาะนั่งที่เปลี่ยนเป็นแบบผ้าสีดำ แทนเบาะหนังกึ่งผ้าสีดำในรุ่นท็อปซึ่งเป็นแบบปรับมือเหมือนกันส่วนเบาะไฟฟ้านั้นจะมีให้แต่ในรุ่น 2.0 ตัวท็อป 4 ประตูเท่านั้น เช่นเดียวกับพวงมาลัยทรง 4 ก้านที่ดูสะอาดตาขึ้นจากสวิทซ์ควบคุมแบบ Multifuction ที่บางตาลงเหลือไว้แค่ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงเท่านั้นโดยไม่มีระบบ Cruise Control แถมยังรู้สึกว่ากระด้างมือขึ้นจากการใช้วัสดุยูรีเทนมาหุ้มแทนหนังแท้เช่นเดียวกับที่หัวเกียร์ พร้อมหน้าจอแสดงผลบนขนาด 3.5 นิ้วแบบ Dot Matrix ที่เล็กและให้ความคมชัดน้อยกว่าตัวท็อปที่เป็นแบบ TFT LED ขนาด 4.2 นิ้ว เช่นเดียวกับเครื่องเสียงแบบพรีเมียมจาก Sony ซึ่งถูกแทนที่ด้วยเครื่องเล่น CD/MP3 แบบ 1 แผ่นพร้อม USB และ AUX ซึ่งให้ซุ่มเสียงที่กระหึ่มน้อยลงจากลำโพงที่ลดลงจาก 9 ตัวเหลือแค่ 6 ตัวเท่านั้น ส่วนระบบปรับอากาศเป็นแบบแมนนวลที่แยกปรับอุณหภูมิซ้าย/ขวาไม่ได้เหมือนรุ่นท็อป ดีที่ Ford ยังไม่ถอดระบบสั่งงานด้วยเสียงหรือ SYNC พร้อม Bluetooth ซึ่งถือเป็นจุดขายที่ Ford ใช้โปรโมทซึ่งผู้ขับขี่เองมีโอกาสได้ใช้มันน้อยมาก ส่วนเบาะนั่งด้านหลังยังคงเป็นแบบพับได้ 60:40 ซึ่งถูกถอดพนักเท้าแขนตรงกลางออกไป สรุปแล้วภายในห้องโดยสารของรุ่น 1.6 คันนี้ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นถึงสาเหตุของค่าตัวที่แตกต่างกันเป็นหลักแสน ซึ่งยังไม่ส่งผลต่อการขับขี่ที่ชัดเจนนัก

Engine&Performance

จากนั้นมาต่อกันที่ขุมพลังใต้ฝากระโปรงแบบเบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Duratec ความจุ 1,596 ซีซี ซึ่งเมื่อเทียบกับเครื่อง 2.0 แล้วนอกจากความจุที่แตกต่างแล้ว ในส่วนของเทคโนโลยีนั้นในบล็อก 1.6 ยังคงใช้ระบบฉีดจ่ายน้ำมันเข้าที่รางหัวฉีดแบบ Electronic Multipoint ซึ่งแตกต่างจากตัว 2.0 ซึ่งเป็นแบบฉีดตรงเป็นฝอยเข้าสูงห้องเผาไหม้ที่ Ford ใช้ตัวย่อว่า GDi ซึ่งมาจาก "แก็สโซลีนไดเร็กอินเจ็คชั่น" แต่จะมีมาให้แค่ระบบระบบวาล์วแปรผันแคมชาร์ฟแบบอิสระคู่ทั้งฝั่งของไอดีและไอเสียหรือ Ti-VCT ที่ให้พละกำลังสูงสุด 125 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที ซึ่งต่างกับเครื่อง 2.0 พร้อมแรงบิดที่ 159 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมระบบส่งกำลังแบบคลัทซ์คู่ 6 สปีด PowerShift ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีเด่นที่ทำให้ Focus ดูเหนือกว่าคู่แข่งในคลาสเดียวกันที่มีจำหน่ายอยู่ในบ้านเราพร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ที่ด้านข้างของหัวเหียร์ซึ่งใช้งานได้ไม่ค่อยถนัดนักเมื่อเทียบกับการโยกคันเกียร์แบบเดิม

ซึ่งเมื่อดูจากสเป็คแล้วขุมพลังบล็อกน่าจะเป็นตัวเดียวกับ Fiesta 1.6 ที่นำมาปรับจูนเพิ่มเติมให้มีแรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการขับขี่แบบประหยัดไม่เน้นพละกำลังมากนัก ที่ให้การตอบสนองดูจะช้าเนื่องจากแรงม้าที่ต้องแบกน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก ตั้งแต่จังหวะออกตัวที่รู้สึกถึงอาการหน่วงทำให้ออกตัวได้ช้า ประกอบกับช่วงเร่งแซงด้วยการ Kickdown ด้วยค้นเร่งที่ตอบสนองคอ่นข้างช้าก่อนที่เกียร์ PowerShift ซึ่งขีบอยู่ในโหมด D จะเปลี่ยนอัตราทดลงมาเพื่อสร้างแรงดึงทำให้ขาดความมั่นใจในช่วงแซงต่างกับตัว 2.0 ที่แรงเหลือเฟือกดปุ๊บมาปั๊บ ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. นั้นต้องใช้เวลาไต่ความเร็วที่ระดับ 12.7 วินาที ก่อนจะทำความเร็วต่อเนื่องผ่านเกียร์คลัตซ์คู่ที่ตอบสนองอย่างได้รวดเร็วและต่อเนื่อง จนส่งให้มันทำเวลาในพิกัดควอเตอร์ไมล์ได้ด้วยเวลาเพียง 19 วินาที ซึ่งถือว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับช่วงออกตัวที่น่าผิดหวัง ก่อนที่เข็มความเร็วจะหยุดตรงท็อปสปีดที่ 190 กม./ชม.

และปิดท้ายในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง ซึ่งเมื่อดูจากรอบเครื่องยนต์จะเห็นว่ามันใช้รอบที่ค่อนข้างสูง โดยที่ความเร็ว 80 กม./ชม. รอบจะอยู่ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่วนที่พิกัด 100 กม./ชม. นั้นจะใช้รอบเพิ่มขึ้นเป็น 2,550 รอบ/นาที 120กม./ชม. และยังดีดตัวขึ้นไปถึง 3,100 รอบที่ความเร็ว 120 กม./ชม. และทำผลอัตราสิ้นเปลืองออกมาเกินคาดที่ 17.08 กม./ลิตร ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

Handling&Ride&Brake

ส่วนฟิิลลิ่งในการขับเจ้า Focus 1.6 คันนี้นั้นดูจะเรียกคะแนนที่ตกไปในด้านของอัตราอยู่พอสมควร ด้วย Hnadling ที่ทำได้ดีเทียบเท่ากับรุ่น 2.0 ด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPAS ทั้งการเซ็ทน้ำหนักที่กำลังพอดีสำหรับผู้ที่ชอบขับรถสไตล์หนึบแบบตึงมือ พร้อมการตอบสนองในจังหวะเข้าโค้งที่แม่นยำทั้งในการหักเลี้ยว น้องๆรถสปอร์ตที่ต้องการขับขี่ได้อย่างรวดเร็วกระฉับกระเฉงและควบคุมได้อย่างง่ายดาย ประกอบกับช่วงล่างหนึบๆพื้นฐานเดิมกันตั้งแต่รุ่นล่างยันตัวท็อป ที่ด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลงและด้านหลังเป็นแบบอิสระคอนโทรลเบรด มัลติลิงค์ คอยล์สปริง ซึ่งถือว่าโดดเด่นที่สุดในรถกลุ่ม C-Segement ที่ให้การยุบตัวค่อนข้างน้อยแต่ไม่ถึงกับแข็งกระด้างและไม่รู้สึกถึงอาการโคลงเมื่อวิ่งที่ความเร็วสูงๆ ทั้งทางตรงที่นิ่งและทางโค้งที่มีอาการท้ายปัดนิดหน่อยไม่ถึงกับรู้สึกว่าระบบ ESP หรือ TCS เริ่มทำงานแค่ลดความเร็วและประคองพวงมาลัยให้รับโค้งเท่านั้นซึ่ง Ford Focus ก็ทำได้ยอดเยี่ยมและให้ความมั่นใจได้ไม่แพ้รถสปอร์ตเลยทีเดียว

ซึ่งนอกจากช่วงล่างหนึบๆแล้ว Focus ยังเพิ่มความมั่นใจในด้านความปลอดภัยมาให้ด้วยระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ซึ่งให้น้ำหนักที่ค่อนข้างแน่น หนึบและสามารถเบรกอยู่ได้อย่างแบบนิ่งสนิด โดยไม่ต้องออกแรงเยอะเหมือนกับรถญี่ปุ่นทั่วๆไป นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยมาช่วยเสริมอีกหลายรายการทั้ง ABS, BA และ EBD รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) , Traction Control System และปิดท้ายด้วยระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันหรือ Hill Launch Assist และระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้งหรือ Torque Vectoring Control ที่หาดูไม่ได้ไม่ง่ายนักในรถราคาไม่ถึงล้าน แต่ Ford เค้าจัดมาให้แบบไม่น้อยหน้าตัวท็อปเลยทีเดียว ซึ่งจะขาดไปแค่ระบบช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ City Safety กับถุงลมนิรภัยที่ขาดไป 2 จุดที่ด้านข้าง i-Side Airbag และม่านนิรภัย Side Kerten Airbag เท่านั้น

Tester Verdict

สรุปแล้ว Ford Focus 1.6 ที่ค่าตัวเพียง 8 แสนต้นๆคันนี้ ถึงแม้จะทำให้ผิดหวังอยู่บ้างในด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์ รวมถึงเทคโลยีไฮเทคและออฟชั่นอำนวยความสะดวกที่ขาดหายไปอยู่หลายรายการก็ตามซึ่งไม่ส่งผลต่อการขับขี่ในชีวิตประจำวันแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับความโดดเด่นที่สัมผัสทุกครั้งเวลาขับ ด้วยแฮนลิ่งที่เหนือระดับขับสนุกกับระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็ม เท่านี้เมื่อคำนวนกับการที่เซฟเงินในกระเป๋าได้อีกกว่า 2 แสนบาทแล้ว Ford Focus 1.6 คันนี้ถือว่าคุ้มค่าเกินราคาค่าตัวซะด้วยซ้ำ