Maze runner 2 the scorch trials สมรภ ม มอดไหม

ถือเป็นอีกเรื่องที่สานต่อจาก The Maze Runner ภาคแรกที่ฉายไปเมื่อปีที่แล้ว กระแสตอบรับค่อนข้างไปทางไม่ปลื้มซักเท่าไหร่ แต่จากรายได้ที่พอไปวัดไปวาได้ ทางค่ายเลยไฟเขียวสร้างภาคต่อทันทีเพราะหวังว่าการตีเหล็กในช่วงที่ยังร้อนๆน่าจะพอช่วยพยุงตัวหนังภาคต่อเอาไว้บ้าง ซึ่งส่วนตัวก็แอบหวั่นๆ เพราะค่ายนี้ทำแฮททริคหนังป่วยติดๆกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น F4 เวอร์ชั่นล่าสุด หรือแม้กระทั่ง Hitman รีบูท

จากภาพและโปสเตอร์ที่ปล่อยออกมา (โดยเฉพาะโปสเตอร์อันล่าสุดที่ใช้กันแพร่หลายทั่วไป) ถึงขั้นกุมขมับว่าทำไมฝ่าย AW เรื่องนี้ถึงได้ออกแบบโปสเตอร์หลักออกมาได้ห่วยคงเส้นคงวามาก จนทำให้ก่อนไปชมถึงกับทำใจให้ว่างทิ้งทุกอย่างไว้บ้านแล้วไปสนุกกับตัวหนังเลยทีเดียว ก่อนชมแอบไปส่องความยาวหนังมา ร่วมๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง (หูยแม่เจ้า) ภาคแรกชั่วโมงกว่าๆเอง สงสัยภาคนี้ถ้าหนังบทไม่แน่นจริง คงเป็นอีก 1ความล้มเหลวของค่ายนี้แน่นอน

หลังจากที่ได้ชมตัวหนังทั้งเรื่อง ต้องขอบอกเลยว่า ตัวหน้ากล้าที่จะเปลี่ยนโทนหนังมาทางแนวนี้จริงๆเพราะเป็นแนวที่ตลาดกลาดเกลื่อนมากโดยเฉพาะหนังยุคหลังๆ แต่!มันเป็นความตลาดๆที่น่าติดตามตลอดทั่งเรื่อง ไม่ปฏิเสธเลยว่าฉากไล่ล่า หรือวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากพวกแคร้งนั้น ทำเอาหัวใจเต้นแรงๆทุกฉากไปเลย ตัวหนังเดินเครื่องแบบเต็มสูบมากตลอดทั้งเรื่อง เนื้อหาเน้นๆมาเต็มๆ ไม่น่าเบื่อ (ส่วนตัวคิดว่ามันNon-Stopระดับน้องๆ Mad max 2015 เลยทีเดียว) ถึงแม้จะดูดีเพอร์เพคในความเป็นหนังตลาดๆที่แฟนๆคนไทยต้องชอบแน่ๆ แต่ไม่วาย การวางปมการเฉลยปมในเรื่องนั้น มันดูแห้งๆมากเลยทีเดียว ไม่เหมือนภาคแรกที่ทำได้ดีในส่วนนี้ ซึ่งการผูกปมของเนื้อเรื่องน่าจะเว้นระยะให้คนดูสงสัยและติดตามพร้อมเดาเนื้อเรื่องล่วงหน้าไปก่อนซักพักก่อนที่จะตบท้ายด้วยการเฉลยปมต่างๆให้หายข้องใจ กลับกลายเป็นว่าในภาคนี้ ผูกปมปุ๊ป แป๊ปๆก็เฉลยปั้บแบบให้มันผ่านๆไป สุดท้ายหนังตัดจบได้แบบว่า ลองนึกถึงฟิลคนดูที่พึ่งชม Hunger Games Catching Fire หรือ Hobbit Desolation of Smaug จบเลยทีเดียว อยากให้ภาค 3 ฉายต่อไว้ๆ

ด้าน 3D และ CG ภาคนี้ถือเป็นภาคแรกที่มีการฉายในระบบนี้ ต้องขอบอกเลยว่า คุ้มจริงๆ เพราะแค่ฉากแรก เกล็ดหิมะก็ลอยออกมากระแทกตากันแล้ว ส่วนเอฟเฟค 4DX ถ้าใครชอบการกระแทกๆของเก้าอี้อาจจะไม่พอใจเท่าไหร่เพราะมีพอประมาณไม่ได้เยอะแยะแบบเรื่องอื่นๆ ที่เรียกได้ว่าเขย่าซะตกเก้าอี้เลยทีเดียว

สรุปเรื่องนี้ถึงแม้จะไม่เพอร์เฟคสุดๆในแบบที่น่าจับตามอง แต่มันก็ตอบโจทย์หนังที่ให้ความบันเทิงได้ดีทีเดียว ซึ่งมีเปอร์เซนที่จะทำรายได้ชนะภาคแรกได้ไม่ยาก 8/10 สาววายไม่ต้องห่วง หนุ่มๆจากภาคแรกยังมีโมเม้นท์ให้สาววายจิ้นได้เสมอ

5 สิ่งต้องห้ามพลาด ! Maze Runner 2 สมรภูมิมอดไหม้

การเริ่มต้นเรื่องของจริง

Maze runner 2 the scorch trials สมรภ ม มอดไหม

ภาคแรกแค่เศษเสี้ยวของการเริ่มต้น

The Maze Runner วงกตมฤตยู ภาพยนตร์ทิ้งท้ายไว้ว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเรื่องราวทั้งหมดที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น โดยใน maze runner the scorch trials หรือ สมรภูมิมอดไหม้ จะเป็นการเล่าเรื่องสานต่อจากการรอดชีวิตออกจากวงกตของโทมัสและเหล่านักวิ่ง พวกเขาถูกนำตัวไปยังด่านทดสอบใหม่ เฟสที่สอง คือ สมรภูมิมอดไหม้ ซึ่งมีความโหดร้ายและรุนแรงยากที่จะรอดหนีตายออกมาได้ การเริ่มต้นของจริง!

เริ่มความเป็นดิสโทเปีย โลกที่ถูกควบคุมโดยใคร?

จากเรื่องราวของนวนิยายที่คุมธีมเรื่องด้วยความเป็นดิสโทเปีย คือการสร้างโลกใหม่ที่พัฒนาไปทางใดทางหนึ่งอย่างสุดโต่ง เป็นสังคมจำลองที่ทำให้เราเห็นว่าหากมันเป็นอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ในภาคแรกยังมีส่วนของประเด็นนี้น้อยอยู่ แต่สำหรับในสมรภูมิมอดไหม้ เราจะได้เห็นว่า มีใครบางคนกำลังครอบงำ บังคับ และกำหนดบางอย่างเพื่อให้พวกนักวิ่งเดินตามหมากของพวกเขามากขึ้น รวมถึงชื่อของ WCKD องค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ทดสอบนี้ หากมองในแง่ของความสนุกก็คงจะรับประกันได้ว่ามันส์แน่นอน แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือประเด็นเสียดสีที่เข้มข้นมากขึ้นตามไปด้วย

Maze runner 2 the scorch trials สมรภ ม มอดไหม

การเกิดขึ้นของไข้วาบ

โลกภายนอกเขาวงกตเต็มไปด้วยความโหดร้าย อย่างหนึ่งมาจากไข้วาบซึ่งเกิดจากการกระทำขององค์กรลับ โดยลักษณะของไข้วาบจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับสมอง ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนลักษณะคล้ายซอมบี้ ซึ่งต่อมาไข้วาบไม่สามารถควบคุมได้ การรักษาโรคนี้จำเป็นต้องมีวัคซีน โดยต้องอาศัยกลุ่มเด็กในเขาวงกตผู้มีภูมิคุ้มกันเชื้อ

ผู้กำกับ ทีมสร้างและนักแสดงชุดเดิม !

หลังจากประสบความสำเร็จในวงกตมฤตยู 20th Century Fox เดินเครื่องถ่ายทำ Maze Runner: The Scorch Trials เข้าฉายในบ้านเรา 17 กันยายนนี้ ซึ่งพิเศษสุดๆ เพราะเรื่องนี้เข้าฉายในระบบ 4DX ด้วย เอฟเฟ็กต์มาเต็มเหมือนเดิมทั้งเก้าอี้สั่นไหว ละอองน้ำ ลมพัดและฉากแอ็คชั่นที่ถึงอารมณ์กว่าเพราะทุกการปะทะเราจะได้รับรู้และสัมผัสมันไปพร้อมกันด้วย

ผู้รอดชีวิตจากวงกตมฤตยูมีเพียงยี่สิบคน พวกเขาต่างคาดหวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ว่าได้หนีพ้นจากนรกกันมาแล้ว หากความหวังก็อยู่กับพวกเขาสั้นเหลือเกิน แค่ข้ามคืนภาพนรกขุมใหม่ก็ปรากฏตรงหน้า การลุกวาบของดวงอาทิตย์ ไข้วาบ เหล่าผู้ติดเชื้อ ฯลฯ นี่ไม่ใช่โลกในแบบที่ใครอยากหนีออกมาเจอเลย

คลื่นความแตกตื่นยังคงโหมซัดไม่หยุด เมื่อเทเรซา เด็กสาวเพียงคนเดียวจู่ๆ ก็หายตัวไป ที่มาแทนคือเด็กหนุ่มแปลกหน้าซึ่งบอกว่าตนมาจากอีกกลุ่มหนึ่งของการทดลอง!

‘วิคเค็ด’ปูทางให้พวกเขาเข้าสู่การทดสอบขั้นต่อไป ความทรมาน ความทุกข์ยาก และความตายกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ทั้งกลุ่มคนปริศนาพวกนั้นยังรับประกันด้วยว่าหนนี้... มันจะหนักหนากว่าเดิม

REVIEW

หลังจากที่โทมัสและผองเพื่อนหลุดออกมาจากเขาวงกตได้แล้ว เขาคิดว่าการทดลองบ้าๆนี่จะจบลงเสียที แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเทเรซ่าหายตัวไปและมีเด็กหนุ่มอีกคน อริส มาแทนที่เธอเสียนี่

ภารกิจขั้นต่อไป นำเด็กยี่สิบคนที่รอดชีวิตเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ ณ บัดนี้กลับกลายเป็นสมรภูมิที่ลุกโชนด้วยความร้อน พายุ และสายฟ้า ไข้วาบทำให้ผู้คนเป็นบ้า โทมัสได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ติดไข้วาบแต่ยังไม่กลายเป็นบ้า เพื่อเดินทางไปยังหนึ่งร้อยไมล์ทางทิศเหนือตามที่เขาได้รับภารกิจ

โทมัสได้พบกับเทเรซ่าอีกครั้ง บัดนี้เธอกลับกลายเป็นอีกคนที่โทมัสไม่รู้จัก ท่ามกลางสมรภูมิมอดไหม้ที่โทมัสต้องเอาชีวิตรอด อุปสรรคกลับยากยิ่งขึ้นเมื่อเด็กสาวจากกลุ่มบีที่เหลือรอดมาจากเขาวงกตเช่นเดียวกับโทมัสที่มาจากกลุ่มเอ กลับหมายปองที่จะเอาชีวิตพวกเขาเสียนี่โดยอ้างว่าการฆ่าโทมัสคือภารกิจที่พวกเธอได้รับมอบหมายมา

ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเทเรซ่าทรยศโทมัส อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเขา แม้ว่าเหตุผลที่เทเรซ่ายกมาอ้างหลังจากที่เธอทำทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นการทรยศหักหลังโทมัสจะเป็นแค่การช่วยโทมัสให้มีชีวิตรอดต่อไปก็ตาม แต่ลึกๆในใจของโทมัส ความรู้สึกๆดีที่มีให้กับเทเรซ่านั้นหายไปจนไม่เหลือแล้ว

เมื่อมาถึงแหล่งปลอดภัยตามที่ภารกิจบอกไว้ กลับกลายเป็นพื้นที่โล่งกว่าง ไม่มีอะไรนอกจากทะเลทรายที่ไร้จุดสิ้นสุด แต่ก่อนที่เวลาแห่งการสิ้นสุดของภารกิจจะมาถึง สัตว์ประหลาดกลับจู่โจมเด็กจากกลุ่มเอและบี โทมัสต้องต่อสู้ทั้งกับสัตว์ประหลาดและพายุฝนฟ้าคะนองจนในที่สุดยานลำหนึ่งก็จอดมารับโทมัสและเพื่อนๆขึ้นไปพร้อมกับบอกว่า 'บททดสอบสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากนี้จะไม่มีการทดสอบอะไรอีก'

โทมัสจะสามารถเชื่อคำบอกกล่าวนั้นได้หรือ ? หลังจากสิ่งเลวร้ายที่เขาต้องเผชิญทั้งหมดนี่ แถมตอนท้ายเขาถึงถูกจับไปขังไว้ในห้องสีขาวพร้อมกับคำบอกเล่าของเทเรซ่าในโทรจิตว่าเขาติดไข้วาบและไข้วาบฝังลึกในตัวของเขามากเกินไปจนเกินเยียวยาแล้ว ...

เล่มนี้ตอนต้นๆสนุกมาก เหมือนกับเปิดเข้าสู่ความแปลกใหม่อีกอย่างที่แตกต่างจากเล่มที่แล้ว แต่กลางๆเรื่องกลับอืดอาดยืดยาดเสียนี่ เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างไม่มีความสลักสำคัญอะไร ไม่ค่อยน่าตื่นเต้น ส่วนตอนจบก็ธรรมดาไม่ได้หักมุมหวือหวาอย่างที่ควรจะเป็นสำหรับนิยายแนวนี้หรือแนวทางในการเขียนของนักเขียนที่พยายามโน้มน้าวให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมไปกับชิ้นส่วนปริศนาที่ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละชิ้นพร้อมกับการตลบหลังในตอนท้ายที่ทำให้ผู้อ่านรู้ตัวว่าพวกเขาคิดผิดมาตลอด

แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น ... การกระทำบางอย่างของตัวละครขาดแรงจูงใจไปมาก แม้ว่าจะมีผลกระทบมาจากไข้วาบหรืออะไรก็ตาม โดยส่วนตัวเราคิดว่าเล่มที่แล้วมีความสมเหตุสมผลในแง่มุมของการดำเนินเรื่องมากกว่าเล่มนี้ (ยกเว้นตอนแรกๆของหนังสือที่ยังมีความตื่นเต้นอยู่กับตอนท้ายๆที่สามารถดึงเสน่ห์ของนิยายชุดนี้กลับมาได้)

ให้ 8 คะแนนเท่ากับเล่มแรก เพราะคิดว่าเนื้อเรื่องยังไม่หลุดออกจากกรอบมากนักและมีความสนุกเพิ่มจากในส่วนที่เล่มแรกยังไม่มี