หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย เรียบเรียงโดย ผศ. พิพิษณ์ สิทธิศักดิ์ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย (ศึกษาความหมาย) สำหรับหน่วยนี้ นักศึกษาจะได้ศึกษาเกี่ยวกับหัวข้อดังต่อไปนี้ 1) ความหมายของการวิจัย 2)
ลักษณะที่สำคัญของการวิจัย 3) ความสำคัญ/ประโยชน์ของการวิจัย 4) ลักษณะของการวิจัยที่ดี 5) ประเภทของการวิจัย 6) จรรยาบรรณของนักวิจัย โดยมีรายละเอียดของแต่ละหัวข้อดังต่อไปนี้ ความหมายของการวิจัย “การวิจัย” มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “Research” หมายถึง การค้นหาซ้ำแล้วซ้ำอีก “การวิจัยเป็นกระบวนการค้นหาข้อเท็จจริงและแสวงหาความรู้ใหม่
ๆ เกี่ยวกับปรากฏการณ์ใดๆ ที่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ด้วยวิธีการศึกษาที่เป็นระบบ เชื่อถือได้” (รศ.ดร.ภญ. กัญญดา อนุวงศ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (newsser.fda.moph.go.th/rumthai/userfiledownload/asu93dl.ppt) การวิจัย เป็นกระบวนการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงอย่างมีระบบ ระเบียบ มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน เพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ที่เชื่อถือได้ (ดร.ธนชาต ประทุมสวัสดิ์ อ้างจาก บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์, 2540:1) ลักษณะที่สำคัญของการวิจัย
อ.วลัยลักษณ์ ภูทองกรม (มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับลักษณะที่สำคัญของการวิจัย ไว้ดังนี้ 1) มุ่งหาคำตอบเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหา 2) เน้นการพัฒนาข้อสรุป หรือทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อใช้ทำนายเหตุการณ์ในอนาคต 3) อาศัยข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่สังเกตได้รวบรวมได้ 4) ต้องการเครื่องมือและรวบรวมข้อมูลที่แม่นยำเที่ยงตรง 5) เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลใหม่ๆ เพื่อหาคำตอบของวัตถุประสงค์ใหม่ 6) ใช้กิจกรรมในการวิจัยที่กำหนดไว้อย่างมีระบบ 7) ต้องการผู้รู้จริงในเนื้อหาที่จะทำการวิจัย 8) สามารถตรวจสอบความเที่ยงของวิธีการใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาและข้อสรุปที่ได้ 9) สามารถทำซ้ำได้ โดยวิธีเดียวกัน หรือวิธีที่คล้ายกัน ส่วน เบสท์ (Best , 1981 อ้างถึงใน บุญเรียง ขจรศิลป์ , 2533 : 5) ได้สรุปลักษณะที่สำคัญของการวิจัยไว้ดังนี้ school.sskedu4.go.th/rongjo/vijai.doc 1) เป้าหมายของการวิจัยมุ่งที่จะหาคำตอบต่าง ๆ เพื่อจะนำมาใช้แก้ปัญหาที่มีอยู่โดยพยายามที่จะศึกษาถึงความสัมพันธ์ ระหว่าง ตัวแปรในลักษณะความเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน 2) การวิจัยเน้นถึงการพัฒนาข้อสรุป หลักเกณฑ์หรือทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป้าหมายของการวิจัยนั้นมิได้ หยุดอยู่เฉพาะกลุ่มตัวอย่างที่นำมาศึกษาเท่านั้น แต่ข้อสรุปที่ได้มุ่งที่จะอ้างอิงไปสู่กลุ่มประชากร เป้าหมาย 3) การวิจัยจะอาศัยข้อมูล หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สามารถสังเกตได้รวบรวมได้ คำถามที่น่าสนใจบางคำถามไม่สามารถทำการวิจัยได้ เพราะไม่สามารถรวบรวมข้อมูลมาศึกษาได้ 4) การวิจัยต้องการเครื่องมือและการรวบรวมข้อมูลที่แม่นยำ เที่ยงตรง 5) การวิจัยจะเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลใหม่ ๆ จากแหล่งปฐมภูมิหรือใช้ข้อมูลที่มีอยู่เดิมเพื่อหาคำตอบของวัตถุประสงค์ใหม่ 6) กิจกรรมที่ใช้ในการวิจัย เป็นกิจกรรมที่กำหนดไว้อย่างมีระบบแบบแผน 7) การวิจัยต้องการผู้รู้จริงในเนื้อหาที่จะทำการวิจัย 8) การวิจัยเป็นกระบวนการที่มีเหตุผล และมีความเป็นปรนัยสามารถที่จะทำการตรวจสอบความตรงของวิธีการที่ใช้ข้อมูลที่รวบรวมมา และข้อสรุปที่ได้ 9) สามารถที่จะทำซ้ำได้ โดยใช้วิธีเดียวกัน หรือวิธีการที่คล้ายคลึงกันถ้ามีการเปลี่ยนแปลงกลุ่มประชากร สถานการณ์ หรือระยะเวลา 10) การทำวิจัยนั้นจะต้องมีความอดทนและรีบร้อนไม่ได้ นักวิจัยควรจะเตรียมใจไว้ด้วยว่า อาจจะต้องมีความลำบากในบางเรื่อง ในบางกรณีที่จะแสวงหาคำตอบ ของคำถามที่ยาก ๆ 11) การเขียนรายงานการวิจัยควรจะทำอย่างละเอียดรอบคอบ ศัพท์เทคนิคที่ใช้ควรจะบัญญัติความหมายไว้ วิธีการที่ใช้ในการวิจัยอธิบายอย่างละเอียด รายงายผลการวิจัยอย่างตรงไป ตรงมาโดยไม่ใช้ความคิดเห็นส่วนตัว ไม่บิดเบือนผลการวิจัย 12) การวิจัยนั้นต้องการความซื่อสัตย์และกล้าหาญในการรายงานผลการวิจัยในบางครั้ง ซึ่งอาจจะไปขัดกับความรู้สึกหรือผลการวิจัยของคนอื่นก็ตาม ความสำคัญ/ประโยชน์ของการวิจัย ปัจจุบันนี้หน่วยงานและบุคคลในวงการต่าง ๆ ได้ให้ความสนใจการวิจัยมากขึ้น ทั้งนี้เพราะได้เล็งเห็นประโยชน์ของการวิจัยที่มีต่อมวลมนุษย์นั่นเอง แต่ประโยชน์ของการวิจัยจะมีมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความเชื่อถือและถูกต้องมากน้อยเพียงใด ถ้าข้อมูลเป็นเท็จ ผลการวิจัยที่ได้แทนที่จะเป็นประโยชน์จะกลับกลายเป็นโทษต่อผู้นำผลการวิจัยนั้นไปใช้ ดังนั้น การวิจัยจะมีประโยชน์อย่างแท้จริงหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของนักวิจัย ตลอดจนความร่วมมือของผู้ให้ข้อมูลด้วย โดยทั่วไปแล้วอาจกล่าวได้ว่า การวิจัยมีประโยชน์ดังต่อไปนี้ (เอกสารประกอบคำสอนเรื่อง “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย” โดย รองศาสตราจารย์นิภา ศรีไพโรจน์ http://www.watpon.com/Elearning/res9.htm และรศ.พ.ต.อ.หญิง ดร.พัชรา สินลอยมา คณะวิทยาศาสตร์ สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เอกสารประกอบการสอน วิชา ระเบียบวิธีการวิจัยทางนิติศาสตร์ 2551) การวิจัยช่วยให้เกิดวิทยาการใหม่ ๆ เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ช่วยส่งเสริมความรู้ทางด้านวิชาการและศาสตร์สาขาต่าง ๆ ให้มีการค้นคว้าข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะว่าการวิจัยจะทำให้มีการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมซึ่งทำให้วิทยาการต่าง ๆ เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ทั้งตัวผู้วิจัยและผู้นำเอาเอกสารการวิจัยไปศึกษา
ลักษณะของการวิจัยที่ดี รศ.ดร.ภญ. กัญญดา อนุวงศ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (newsser.fda.moph.go.th/rumthai/userfiledownload/asu93dl.ppt) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับลักษณะที่ดีของปัญหาการวิจัยที่ดีไว้ดังนี้ 1) มีความสำคัญและประโยชน์ ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา 2) สามารถหาข้อสรุปหรือยุติได้ 3) มีขอบเขตที่เหมาะสมแก่ความสามารถ และทรัพยากร 4) ไม่ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยอื่น ด้านประเด็นปัญหา สถานที่ ประชากร และวิธีการศึกษา ประเภทของการวิจัย การแบ่งประเภทของการวิจัย ทำได้หลายลักษณะ ดังนี้ (รศ.ดร.ภญ. กัญญดา อนุวงศ์ ) และ (รศ.พ.ต.อ.หญิง ดร.พัชรา สินลอยมา คณะวิทยาศาสตร์ สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เอกสารประกอบการสอน วิชา ระเบียบวิธีการวิจัยทางนิติศาสตร์ 2551) 5.1 แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย (รศ.ดร.ภญ. กัญญดา อนุวงศ์) 5.1.1 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ ( Historical Research) – ศึกษาข้อเท็จจริงที่เป็นเรื่องราวในอดีต การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical research) เป็นการวิจัยที่เน้นถึงการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต (what was ?) ประโยชน์ของการวิจัย ชนิดนี้ก็คือ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน หรือสามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจ เพื่อแก้ไขปัญหา ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ด้วย (รศ.พ.ต.อ.หญิง ดร.พัชรา สินลอยมา คณะวิทยาศาสตร์ สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เอกสารประกอบการสอน วิชา ระเบียบวิธีการวิจัยทางนิติศาสตร์ 2551) 5.1.2 การวิจัยเชิงพรรณนา ( Descriptive Research ) – บรรยาย / อธิบายปรากฏการณ์ หรือภาวการณ์ ในปัจจุบัน การวิจัยเชิงบรรยาย หรือการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) เป็นการวิจัยที่เน้นถึงการศึกษารวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (what is ?) ในการดำเนินการวิจัย นักวิจัยไม่สามารถที่จะไปจัดสร้างสถานการณ์หรือควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ การวิจัยแบบนี้เป็นการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศ และความสนใจต่อการเมือง มีการวิจัยหลายชนิดที่จัดไว้ว่าเป็นการวิจัยเชิงบรรยาย ได้แก่ 1) การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) 2) การวิจัยเชิงสังเกต (Observational research) 3) การวิจัยเชิงเปรียบเทียบสาเหตุ (Causal Comparative) 4) การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ (Correlational research) 5) การศึกษาเฉพาะกรณี (Case study) 5.1.3 การวิจัยเชิงวิเคราะห์ ( Analytical Research ) – เน้นการตีความเกี่ยวกับความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ 5.1.4 การวิจัยเชิงทดลอง ( Experimental Research ) – ศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุ – ผลของตัวแปรโดยการจัดกระทำแล้วสังเกตผล เป็นการวิจัยเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ (what will be ?) โดยมีการจัดกระทำกับตัวแปรอิสระเพื่อศึกษาผลที่มีต่อตัวแปรตาม และมีการควบคุมตัวแปรอื่นมิให้มีผลกระทบต่อตัวแปรตาม ซึ่งนิยมมากทางด้านวิทยาศาสตร์ สำหรับทางด้านการศึกษา ค่อนข้างลำบาก ในแง่ของการควบคุมตัวแปรเกินลักษณะที่สำคัญของการวิจัยเชิงทดลองคือ 1) ควบคุมตัวแปรเกินได้ (Control) 2) จัดการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระได้ (Manipulation) 3) สังเกตได้ (Observation) 4) ทำซ้ำได้ (Replication) 5.2 แบ่งตามคุณลักษณะและการวิเคราะห์ข้อมูล (รศ.ดร.ภญ. กัญญดา อนุวงศ์) 5.2.1 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Res.) – ข้อมูลในลักษณะบอกความมากน้อยได้ด้วยตัวเลข นิยมใช้วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล 5.2.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Res.) – ข้อมูลเชิงคุณลักษณะที่ไม่สามารถจัดกระทำในรูปปริมาณได้ ใช้การวิพากษ์ แสดงความคิดเห็นในการวิเคราะห์ข้อมูล (อาจมีการใช้สถิติขั้นพื้นฐาน) 5.3 แบ่งตามประโยชน์หรือความต้องการที่จะได้รับจากการวิจัย 5.3.1 การวิจัยพื้นฐาน ( Basic Research ) มุ่งแสวงหาความรู้ / ความจริง เพื่อสร้างกฎ สูตร ทฤษฎี ที่เป็นพื้นฐานในการศึกษาเรื่องอื่นๆ Ex. Health beliefs and health behavior 5.3.2 การวิจัยประยุกต์ ( Applied Research ) มุ่งนำผล / ข้อค้นพบ จากการวิจัยพื้นฐานไปทดลองแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน Ex. ผลของการปรับพฤติกรรมการบริโภคด้วยการสนับสนุนทางสังคม 5.4 แบ่งตามลักษณะอื่นๆ ได้แก่ ลักษณะการศึกษา จำนวนผู้วิจัย ลำดับเวลา ศาสตร์ ฯลฯ ลักษณะการศึกษา 5.4.1 การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) – เน้นการสำรวจข้อเท็จจริงต่างๆในสภาพปกติ 5.4.2 การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Res.) – เน้นการศึกษาเชิงเหตุ – ผล – ผู้วิจัยจัดกระทำสภาพการศึกษาแล้วสังเกตหรือวัดผล อย่างไรก็ตาม อย่ายึดมั่นถือมั่น งานวิจัย 1 เรื่องอาจจัดเป็นได้หลายประเภท และประเภทของงานวิจัยไม่ได้บ่งบอก “คุณภาพ” ของงานวิจัยเสมอไป จรรยาบรรณของนักวิจัย อ.วลัยลักษณ์ ภูทองกรม (teacher.snru.ac.th/walailuck/admin/…/intro%20to%20rescher.ppt ) 1) ต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ 2) ต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำงานวิจัย ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัย และต่อหน่วยงานที่สังกัด 3) ต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย 4) ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต 5) ต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย 6) ต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย 7) เผยแพร่ผลงานวิจัยใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ 8) เคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น 9) มีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ Download เอกสารประกอบหัวข้อนี้ (pdf) หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ียวกับการวิจัย |