Big Data Analytics คือกระบวนการหนึ่งในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจในยุคใหม่ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่ก็ตาม การรู้จักไว้ก็ไม่เสียหาย และยิ่งถ้าสนใจที่จะนำมาใช้ก็ยิ่งดี เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้องค์กรคุณเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและมีศักยภาพที่เหนือคู่แข่งเสมอ Show Big Data “เหมือนจะ” เข้าพวกหลัง เพราะมันเป็นศัพท์ยอดฮิตในยุคนี้ที่ไม่ได้มาประเดี๋ยวประด๋าว และไม่ใช่ศัพท์เฉพาะกลุ่มที่เด็กเนิร์ดจำไว้คุยกันแค่นั้น แต่มันคือคำที่ผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน นักธุรกิจ และอีกหลายนัก ให้ความสำคัญอย่างจริงจัง แม้แต่คนธรรมดาอย่างเราๆ ก็ยังเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างแล้ว Big Data มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่เป็นอย่างมาก แค่เพียงคุณแชทหาเพื่อนผ่านไลน์ คุยกับ Siri แชร์ภาพลงอินสตาแกรม ช้อปปิ้งผ่านลาซาด้า สั่งให้สมาร์ทวอชนับจำนวนก้าวที่คุณเดินในแต่ละวัน ทุกกิจกรรมที่เราทำล้วนเกี่ยวข้องกับ Big Data ทั้งนั้น และองค์กรต่างๆ ก็มีหน้าที่ใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อการแข่งขัน และเพื่อความสะดวกสบายของพวกเราทุกคน ว่าแต่ อธิบายกันมาซะยืดยาวก็ยังไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้ว Big Data คืออะไรกันแน่? แอดจึงขอเฉลยไปพร้อมๆ กับอีกหลายข้อข้องใจ ในบทความนี้ คุณผู้อ่านจะได้ทราบเกี่ยวกับ
Big Data คืออะไร? คำว่า ‘Big Data’ มีมานานแล้ว คำจำกัดความของมันนั้นยังไม่แน่นอน Tim O’Reilly ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของโลก เคยเขียนไว้ในบล็อกส่วนตัวว่า
ใครได้อ่านก็คงพยักหน้าตามกับคำอธิบายนี้ เพราะถ้าแปลตรงตัว Big Data ก็ควรจะหมายถึงข้อมูลเยอะๆ (ใหญ่ๆ) อยู่แล้ว แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่าความหมายนั้นล้าสมัยไปแล้ว และ Big Data ควรหมายถึง “เครื่องมือ” มากกว่าตัว “ข้อมูล” เอง ดังต่อไปนี้
ส่วนคนอีกกลุ่มจับทั้ง 2 ความหมายมายำรวมกัน ดังต่อไปนี้
ถ้าถามแอดก็ขอยึดความหมายที่ 3 เป็นตัวตั้งแล้วกันค่ะ ดูจะครอบคลุมมากที่สุดแล้ว Tim O’Reilly (1954-ปัจจุบัน) ยังเป็นผู้คิดค้นคำว่า Open Source (โอเพ่นซอร์ส หรือซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ใครนำไปพัฒนาต่อก็ได้) (ขอบคุณภาพจาก Forbes)มากแค่ไหนถึงเรียกว่า Big Data? รู้จักความหมายของ Big Data กันไปแล้ว แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่า “แล้วข้อมูลจำนวนมากนี่มันมากแค่ไหน ถึงได้กลายเป็น Big Data?” แอดก็อยากจะตอบให้ชัดๆ ฟันธงไปเลยว่ามันมากกี่กิ๊กกะไบต์หรือกี่เทราไบต์ แต่ความเป็นจริงแล้ว Big Data ไม่สามารถวัดด้วยหน่วยปกติธรรมดาได้ เหตุเพราะการพิจารณา Big Data นั้นต้องมีคุณสมบัติ 3V ดังต่อไปนี้
3V (ขอบคุณภาพจาก ResearchGuide) Big Data ทำงานยังไง? ถ้าเรายึดตามความหมายช่วงแรกของ Big Data ที่ว่า “Big Data หมายถึง ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เราผลิตออกมาในโลกยุคดิจิตอล” ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า Big Data ไม่ใช่เทคโนโลยีหรือโปรแกรมใดๆ ที่สามารถทำงานเองได้ มันต้องอาศัยโปรแกรมที่ถูกพัฒนาโดยเฉพาะในการจัดเก็บและดำเนินการเพื่อให้ออกมาเป็นผลลัพธ์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการทำนายอนาคต ค้นหากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ค้นหาสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบ เป็นต้น แต่ถ้าเราพิจารณาความหมายในส่วนหลังของ Big Data ที่ว่า “รวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์และรวบรวมความเข้าใจเชิงลึกจากข้อมูลเหล่านั้น” เราก็จะรู้ได้ว่า Big Data นั้นหมายรวมถึงเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และโปรแกรมต่างๆ ที่มนุษย์พัฒนาขึ้นมาจัดการตัวข้อมูลด้วย ซึ่งโปรแกรมที่องค์กรต่างๆ นิยมใช้กันเพื่อจัดการข้อมูลที่ว่าก็คือ Hadoop มันเป็นโอเพ่นซอร์สที่ใช้งานง่ายและค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก (เปิดให้ใช้งานฟรี และสามารถจัดเก็บชุดข้อมูลขนาดมหึมาบนฮาร์ดแวร์ที่ราคาถูกกว่า super computer ได้) ตัวอย่างของการวิเคราะห์ข้อมูลบน Hadoop ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือ ระบบการแนะนำ (recommendation systems) เช่น
ซึ่งในส่วนนี้แอดจะพูดถึงอย่างละเอียดอีกทีในบทความ Netflix กลายเป็นผู้นำเรื่องการใช้ Big Data ได้ยังไง? อย่าลืมกด subscribe ไว้จะได้ไม่พลาดบทความน่าสนใจใหม่ๆ นะคะ
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการใช้ Hadoop ก็ยังมีอยู่ ซึ่งก็คือ คุณจะไม่สามารถจัดการกับข้อมูลแบบ real time ได้ (อย่างพวกสตรีมมิ่ง) โลโก้ HadoopBig Data คือกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจยุคใหม่ เพื่อจับกระแสเทรนด์ต่างๆ Big Data จึงมีบทบาทสำคัญในแวดวงธุรกิจเป็นอย่างมาก บางคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่ดูซับซ้อนอย่าง Big Data นี้น่าจะมีแต่องค์กรบิ๊กๆ เงินหนาๆ เครื่องมือเพียบพร้อมเท่านั้นที่ใช้กัน แต่คุณคิดผิดถนัดเลยล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เซิร์ฟเวอร์ให้เช่ามีเยอะมากขึ้น ซึ่งจะช่วยคุณประหยัดพื้นที่ในการวางเซิร์ฟเวอร์และไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์เอง ระบบซอฟต์แวร์ต่างๆ ก็มีให้บริการทั่วไป ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจึงสามารถเข้าถึงการใช้ Big Data ได้ง่ายๆ ไม่แพ้กับองค์ใหญ่ๆ บริษัทในยุคนี้หาเจ้าที่ผูกขาดโดยสิ้นเชิงแทบไม่มี พวกเขาต้องแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา และ Big Data ก็แทบจะเป็นตัวชี้วัดเลยว่าคุณจะประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจหรือไม่ โดยประโยชน์คร่าวๆ ของ Big Data ต่อกลุ่มธุรกิจมีดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลเป็นสัดส่วนสิ่งแรกและอาจจะสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ คือการที่ข้อมูลของคุณจะเป็นระเบียบเข้าที่เข้าทาง ทั้งของเก่าและในอนาคตที่จะเข้ามาเรื่อยๆ (ถ้าบริษัทคุณไม่ล่มเสียก่อน) การจัดการกับข้อมูลจำนวนมากจะบังคับให้คุณจัดระเบียบมันไปด้วยในตัว มันจะช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น และแน่นอนว่าจะช่วยให้การตัดสินใจในด้านต่างๆ ของคุณรวดเร็วขึ้นด้วย 2. ให้คำทำนายที่แม่นยำด้วยการมีอยู่ของ Big Data คุณไม่จำเป็นต้องใช้ “สัญชาติญาณ” หรือ “การคาดคะเน” ในการคิดค้นสินค้าหรือบริการใดๆ อีกต่อไปแล้ว ในยุคนี้ผู้คนต้องการอะไร? ของใหม่หรือของเก่า? ถ้าเป็นของเก่าต้องดีไซน์ใหม่หมดหรือแค่บางจุด? เทรนด์ไหนกำลังมาหรือกำลังไป? อะไรจะป๊อปปูลาร์ในอนาคต? Big Data จะบอกคุณได้ทั้งหมด และจากประโยชน์ในข้อนี้เองที่จะส่งเสริมให้เกิดประโยชน์ในข้อถัดไป 3. ค้นหาลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่าธุรกิจไหนก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีลูกค้า ยิ่งถ้าลูกค้ากลายเป็นแฟนคลับของแบรนด์คุณยิ่งเป็นเรื่องดี แต่การจะสร้างและรักษาฐานแฟนคลับก็คงจะเป็นไปได้ยาก ถ้าคุณไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ในส่วนนี้ Big Data จึงเข้ามามีบทบาท Big Data จะช่วยให้คุณติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้ มันจะบอกให้คุณรู้ว่าลูกค้าชอบสินค้าแบบไหนหรือไม่ชอบแบบไหน ลูกค้าชอบเดินไปที่ซอยไหนมากกว่า เลี้ยวซอยไหนก่อน ชอบทิ้งรถเข็นที่ไหน ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือเหล่าห้างดังต่างๆ อย่างในอเมริกาก็เช่น Walmart, Walgreens, Target เป็นต้น และนี่คือประโยชน์คร่าวๆ ของการใช้ Big Data ในธุรกิจ แล้วบริษัทของคุณล่ะคะ เริ่มใช้งาน Big Data แล้วหรือยัง? ไม่ว่าคุณจะชอบเลือกของตรงไหน ซื้ออะไร Big Data บอกได้หมด (ขอบคุณภาพจาก deliciousdayz)แล้ว Big Data มีผลต่อชีวิตคนธรรมดาอย่างเราหรือเปล่า? อย่างไร? จะว่าไป Big Data ก็ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องไปเสียทั้งหมด การเก็บ Big Data ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกัน ถ้าให้ยกตัวอย่างภัยร้ายของ Big Data ก็คือ การที่องค์กรนำข้อมูลของคุณไปเปิดเผย (ขาย) โดยที่คุณไม่รู้ (อะแฮ่ม เฟซบุ๊ก) หรือไม่ก็การที่คุณอาจจะรู้สึกระแวง เพราะมีกล้องวงจรปิดคอยติดตามคุณอยู่ทุกหนแห่ง (โดยเฉพาะในอังกฤษ กล้องเขาใช้ได้จริง ไม่ใช่กล้องดัมมี่) แต่แน่นอนว่าเรื่องดีๆ สำหรับคนทั่วไปอย่างเราๆ ก็มีไม่น้อย เช่น
1. ด้านสุขภาพการจัดเก็บข้อมูลทางการแพทย์ (เวชระเบียน หรือ medical records) รูปภาพสแกน เอ็กซ์เรย์ ฯลฯ จะช่วยให้แพทย์พบสัญญาณโรคต่างๆ ได้ไวขึ้น โดยเฉพาะโรคร้ายที่ต้องแข่งกับเวลา เช่น โรคมะเร็ง ทำให้อัตราผู้รอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น 2. ด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติBig Data จะช่วยให้เราทำนายการเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว สึนามิ พายุ และภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ ได้ 3. ด้านอาชญากรรมตำรวจสามารถใช้ Big Data เพื่อคลี่คลายคดีได้ เช่น การตรวจหา DNA ในคดีฆาตกรรม เป็นต้น นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถคาดเดาการเกิดคดีตามพื้นที่ต่างๆ ได้ด้วย และเพื่อเป็นการป้องกัน การวางแนวลาดตระเวนของตำรวจจึงมีความเป็นแบบแผนและรัดกุมมากขึ้น เจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์หลักฐานโดยการใช้ Big Data ช่วยได้ เช่น การตรวจ DNA จากคราบเลือด เพื่อนำไปเทียบกับทะเบียนประวัติและระบุตัวคนร้าย เป็นต้น (ขอบคุณภาพจาก L-Tron)สรุปกันหน่อย หลังอ่านเกี่ยวกับ Big Data จบไปแล้ว Big Data คือข้อมูลจำนวนมหาศาล รวมถึงเครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ ที่มนุษย์พัฒนาขึ้นมาจัดการกับข้อมูลเหล่านั้น เราบอกไม่ได้แน่ชัดว่า Big Data ใหญ่แค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือเราไม่สามารถจัดการมันด้วยโปรแกรมทั่วไปอย่าง Microsoft Excel ได้ องค์กรจึงคิดค้น Hadoop ขึ้นมาจัดการกับ Big Data ซึ่งจะช่วยให้เหล่าธุรกิจแข่งขันกันสูงขึ้น แต่ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้นหากรู้จักใช้ ส่วนคนทั่วไปอย่างเราๆ แม้จะไม่รู้ตัว แต่ก็ได้รับประโยชน์จาก Big Data ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ ด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติ และด้านอาชญากรรม แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อย เช่น โดนองค์กรเอาข้อมูลส่วนตัวไปเปิดเผยโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ทุกอย่างก็ย่อมเป็นเหมือนเหรียญสองด้านเสมอ มีประโยชน์ก็มีโทษได้ อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันยังไง แต่ถ้าถามแอด ถ้าองค์กรต่างๆ ไม่กระหายจนเกินงามนะคะ แอดว่า Big Data ยังช่วยให้อนาคตของมวลมนุษยชาติสดใสและยืนยาวขึ้นได้อีกเยอะค่ะ บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ
แนะนำหนังสือน่าสนใจอเล็ก รอส มือหนึ่งด้านนวัตกรรมของอเมริกา และอดีตที่ปรึกษาของบารัค โอบามา จะเฉลยทุกอย่างเกี่ยวกับ “โลกอนาคต” ในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อคุณไม่ให้ตกยุคและรู้เท่าทันทุกการเปลี่ยนแปลง ในหนังสือ รู้ทันอนาคตที่อาจจะไม่มีคุณ คุณจะพบกับเทรนด์อนาคตที่หลากหลาย เรื่องราวสนุกๆ และความลับระดับโลกที่จะทำให้คุณตกตะลึง ซุมิตะ คัง เป็นคนญี่ปุ่นคนแรกที่ทำงานในบริษัทการเงินเก่าแก่ 300 ปีของเยอรมนี พบกับศิลปะการเพิ่ม Productivity ที่รวมทั้งเยอรมันและญี่ปุ่น ตั้งแต่วิธีคิด การสื่อสาร การบริหารเวลา การทำงานเป็นทีม ไปจนถึงการใช้ชีวิต เจาะลึกบทเรียนล้ำค่าที่ถูกเก็บเป็นความลับเฉพาะในหมู่นักธุรกิจและนักลงทุน ส่งตรงจากศูนย์กลางสตาร์ทอัพอันดับ 1 ของโลก
บริษัทเหล่านี้เปลี่ยนจากธุรกิจเล็กๆ เป็นยักษ์ใหญ่สะเทือนวงการได้ในเวลาอันสั้น แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า พวกเขาเป็นศิษย์ที่ร่ำเรียนมาจากสำนักเดียวกัน และคุณก็เรียนรู้วิธีคิดของพวกเขาได้ในหนังสือขโมยวิธีคิดสุดเจ๋ง จากสุดยอดโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพ |