ปัจจุบันปัญหาการประสบอันตรายจากการทำงานและความสูญเสียที่เกิดขึ้นยังมีความรุนแรงและก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากขึ้นถึงแม้กระทรวงแรงงานได้พยายามหามาตรการดำเนินการ เพื่อให้สถานประกอบกิจการดำเนินการลดการประสบอันตรายด้วยตนเอง ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมาตลอด นอกจากการส่งเสริมและรณรงค์อย่างต่อเนื่องโดยการผลักดันให้มีกฎหมายออกมาใช้บังคับจำนวนหลายฉบับ ซึ่งมี 2 ฉบับที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการเพื่อป้องกันและควบคุมอันตรายจากการทำงานถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคนทุกระดับและคณะบุคคลโดยการพัฒนาบุคลากรแต่ละระดับให้ได้รับการอบรมเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้รวมทั้งการอบรมหลักสูตรคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการตั้งแต่พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาความตั้งใจของภาครัฐที่ต้องการให้สถานประกอบกิจการได้ดำเนินการความปลอดภัยฯ ด้วยตนเองเป็นหลักโดยได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของจป. แต่ละระดับ และคปอ. ตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น ปรากฏว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะปัญหาส่วนใหญ่ที่พบเห็นคือ นายจ้างหรือผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นประธาน คปอ ขาดภาวะผู้นำ ด้านการบริหารจัดการความปลอดภัยฯ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง และเลขานุการคปอ.ก็ขาดประสบการณ์ในการทำงานในเชิงรุก รวมทั้งขาดแนวทางการขับเคลื่อนงานความปลอดภัยฯ อย่างเป็นระบบและรูปธรรม และขาดความร่วมมือในระบบทวิภาคี ในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้สถานประกอบกิจการที่ต้องดำเนินธุรกิจกับต่างประเทศ จำเป็นต้องเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานต่างๆที่มีขึ้นตามกลุ่มเศรษฐกิจที่รวมตัวกันและมีการกำหนดมาตรฐานระบบขึ้นในหลายๆรูปแบบและมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ประเทศคู่ค้ากำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าดำเนินการเช่น ISO2015 ISO45001 SA8000 โดยข้อกำหนดส่วนหนึ่งของเกณฑ์มาตรฐานเหล่านี้มีเรื่องของการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานภายในสถานประกอบกิจการและต้องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ายอมรับด้วย อนึ่ง กระทรวงแรงงานได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ตราพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ซึ่งกำหนดว่าในระหว่างที่ยังมิได้ออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ให้นำกฎกระทรวงที่ออกตามความในหมวด 8 แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาบังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานพ.ศ. 2549 ได้กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการ (คปอ.) ตามมาตรา 23 และนายจ้างต้องจัดให้คปอ.ได้รับการอบรมเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดภายใน 60 วัน นับแต่วันที่แต่งตั้งหรือเลือกตั้งตามมาตรา 28 ทั้งนี้ คปอ ของสถานประกอบกิจการ มีองค์ประกอบเป็นทวิภาคี ประกอบด้วย นายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างระดับบริหาร เป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนนายจ้างระดับบังคับบัญชา และมีผู้แทนลูกจ้างที่ได้รับการเลือกตั้งจากลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ โดยอาจมี จป. ระดับเทคนิคขั้นสูง หรือ จป. ระดับวิชาชีพ เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่ง คปอ. ของสถานประกอบกิจการมีบทบาทหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดในการดำเนินการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยฯ ของสถานประกอบกิจการ เพื่อการป้องกันการประสบอันตรายจากการทำงานและลดความสูญเสีย บทบาทหน้าที่หลักได้แก่ การพิจารณานโยบายและแผนงาน การรายงานเสนอแนะมาตรการการส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมต่างๆการพิจารณาข้อบังคับและคู่มือ การสำรวจความปลอดภัยและตรวจสอบสถิติการพิจารณาโครงการหรือแผนงานฝึกอบรมการวางระบบการรายงานสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย การประชุมและติดตามผลความคืบหน้าเรื่องต่างๆ การประเมินผลงานด้านความปลอดภัยฯ ดังนั้นหากนายจ้างหรือผู้ประกอบกิจการให้การสนับสนุนและส่งเสริมอย่างจริงจังในการดำเนินการด้านความปลอดภัยฯ ดังกล่าวข้างต้นของคปอ. นอกจากจะช่วยลดการประสบอันตรายและความสูญเสียหรือค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากแล้วยังเป็นการลดต้นทุนในการผลิตอีกทางหนึ่ง เพราะการทำงานอย่างปลอดภัยนอกจากจะเป็นการป้องกันอุบัติเหตุในตัวแล้วยังก่อให้เกิดประโยชน์คือ
จุดเด่น 7 ประการของ คปอ.
บทความโดย...นายวินัย ลัฐิกาวิบูลย์ |