ตอนนี้ดิฉันได้ซื้อบ้านมาหนึ่งหลัง(เงินสด) แต่มีชื่อของบุคคลอื่นเป็นเจ้าบ้านอยู่ในทะเบียนบ้าน ( มีแค่เจ้าบ้านคนเดียว ไม่มีผู้อาศัย) น่าจะเป็นชื่อลูกของคนขายบ้านให้ดิฉัน ดิฉันเองไม่ได้ทำการย้ายชื่อเจ้าบ้านนี้ออกไป เพราะดิฉันก็ไม่มีเวลาไปติดต่อราชการและยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่เอง ต้องการให้คนมาเช่ามากกว่า แต่หลังจากนั้น 1 ปี ดิฉันได้ทราบว่า ชื่อเจ้าบ้านคนนี้ ได้ถูกศาลสั่งฟ้อง(หมายมาปิดหน้าบ้าน)ให้ชำระหนี้หากไม่ชำระ จะทำการยึดทรัพย์ อย่างนี้บ้านของดิฉันจะโดนยึดหรือไม่คะ และเจ้าบ้านคนนี้ดิฉันไม่เคยรู้จักและติดต่อไม่ได้เลย ดิฉันจะทำอย่างไรดี กลัวโดนยึดบ้าน Show - เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดี(จพค.) ทำการตรวจสอบสำเนาทะเบียนบ้านของลูกหนี้แล้ว ปรากฎว่าลูกหนี้เป็น “เจ้าบ้าน” จพค.จะไปยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามทะเบียนบ้านหลังนั้นๆ หากไปแล้วพบว่าบ้านหลังนั้น ถูกปิดประตู หรือถูก Lock อยู่ จพค.สามารถใช้อำนาจในการเปิดบ้าน เพื่อทำการยึดทรัพย์ตามที่เจ้าหนี้นำชี้ได้ เนื่องจากกฏหมายระบุไว้ว่า หากผู้ใดที่มีฐานะเป็น“เจ้าบ้าน”ก็ให้สันนิษฐานว่าทรัพย์สินใดๆที่อยู่ในบ้านของเจ้าบ้าน เป็นทรัพย์ของเจ้าบ้านเอาไว้ก่อนเป็นหลัก ดังนั้นหากลูกหนี้ตามคำพิพากษามีฐานะเป็น“เจ้าบ้าน”หลังใด ก็สามารถยึดทรัพย์ที่อยู่ภายในบ้านหลังนั้นได้ ถึงแม้นว่าจะถูกปิดประตูอยู่ก็ตาม - เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดี(จพค.) ตรวจสอบสำเนาทะเบียนบ้านของลูกหนี้แล้ว ปรากฎว่าลูกหนี้เป็นแค่ “ผู้อาศัย” จพค.ก็อาจไปยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามทะเบียนบ้านหลังนั้นๆได้ เพราะกฎหมายสันนิษฐานว่า หากลูกหนี้อาศัยอยู่ที่ไหน ทรัพย์สินของลูกหนี้ก็ควรอยู่กับลูกหนี้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย แต่ถ้าหากไปแล้วพบว่าบ้านหลังนั้น ถูกปิดประตูหรือ ถูก Lock อยู่ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไม่สามารถ ไข/งัด/หรือทุบทำลาย สิ่งที่ใช้ Lock บ้าน ในการเปิดบ้านเพื่อทำการยึดทรัพย์ได้เลย ไม่เหมือนกับกรณีที่ลูกหนี้เป็นเจ้าบ้าน เพราะบุคคลที่อยู่ในฐานะ“เจ้าบ้าน” ก็ได้รับการสันนิษฐานตามกฎหมายว่า เจ้าบ้านก็เป็นเจ้าของทรัพย์สินภายในบ้านเช่นกัน และมีน้ำหนักหลักฐานที่ดีกว่าทางฝ่ายลูกหนี้ ที่เป็นฐานะผู้อาศัยภายในบ้าน ในกรณีนี้ หาก จพค.จะทำการเข้าไปตรวจสอบหรือยึดทรัพย์ภายในบ้านหลังนั้น จะต้องได้รับการ“อนุญาต”จากผู้ที่เป็น“เจ้าบ้าน”เสียก่อน เพราะผู้ที่เป็น“เจ้าบ้าน”มิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา แถมยังมีน้ำหนักแห่งความเป็นเจ้าของทรัพย์ภายในบ้าน สูงมากกว่าผู้อาศัย ดังนั้น... แต่ถ้าหาก“เจ้าบ้าน”ออกมาแสดงตน พร้อมกับหลักฐานความเป็น“เจ้าบ้าน”ต่อเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ณ.ที่หน้าบ้านของตนเอง พร้อมกับยืนยันว่า ทรัพย์สินทุกอย่างภายในบ้าน เป็นทรัพย์ของเจ้าบ้านแต่เพียงผู้เดียว...“ผู้อาศัย”(ลูกหนี้)ไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ภายในบ้านแต่อย่างใด แค่มาอาศัยอยู่เท่านั้น ***หมายเหตุ*** กรณีที่ได้เข้าไปตรวจสอบยึดทรัพย์สินภายในบ้านแล้ว ถ้าหากลูกหนี้มีทรัพย์สินจำพวก เครื่องนุ่มห่มหลับนอน เครื่องใช้ในครัวเรือน หรือเครื่องใช้สอยส่วนตัว โดยประมาณราคารวมกันไม่เกิน 50,000 .- บาท จะถูกจัดว่าเป็นทรัพย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดี“ไม่ยึด” พร้อมกับรายงานศาลขอปลดเปลื้องความรับผิด ป.วิแพ่ง ม. 283 สรุปความก็คือ เครื่องใช้สอยภายในบ้าน ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันโดยปกติ ดังนี้ - อุปกรณ์เครื่องนอน เช่น ที่นอน , หมอน , มุ้ง , ผ้าห่ม - อุปกรณ์เครื่องครัว เช่น ถ้วย , จาน , ชาม , ช้อน , กระทะ , กะละมัง , ขัน , หม้อ , เตา - อาภรณ์สวมใส่ เช่น เสื้อ , กางเกง , กระโปรง , ถุงเท้า , รองเท้า , กกน. - อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตทั่วไปที่ควรมี เช่น ถังแก๊สสำหรับใช้ทำอาหารในครัว , หม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบเล็กๆ , พัดลมตั้งโต๊ะเก่าๆเอาไว้ใช้คลายร้อน , โทรทัศน์รุ่นเก่าขนาดเล็กๆ + วิทยุเครื่องเล็กๆ เอาไว้ใช้ติดตามฟังข่าวสาร , ตู้เย็นเก่าๆขนาดเล็กๆ เอาไว้ใช่แช่เย็นถนอมอาหาร…เป็นต้น ตัวอย่างต่างๆเหล่านี้ ถ้าเอาทั้งหมดมากองรวมกัน แล้วประเมินราคารวมกันแล้วไม่เกิน 50,000.-บาท...ก็ไม่ยึด (แต่อย่าลืมนะครับ ว่าการประเมินราคาดังกล่าว จะกระทำโดย จพค.เป็นผู้ประเมิน ดังนั้น อย่าหัวหมอโดยการประเมินราคาเข้าข้างตัวเอง) กรณีที่เจ้าหนี้ขอยึดเครื่องมือหรือเครื่องใช้ที่จำเป็น ในการเลี้ยงชีพหรือประกอบวิชาชีพ ราคารวมกันประมาณไม่เกิน 100,000.- บาท เป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ภายใต้การบังคับคดีให้ เจ้าพนักงานบังคับคดี“ไม่ยึด” ตามที่เจ้าหนี้นำชี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีกลับรายงานศาลปลดเปลื้องความรับผิด ป.วิแพ่ง ม. 283 สรุปความก็คือ อุปกรณ์/เครื่องมือ ของลูกหนี้ที่จำเป็นต้องมี เพราะเป็นอาชีพของลูกหนี้มาแต่ดั้งเดิม หากมีมูลค่าไม่เกิน 100,000.-บาท ห้ามยึด เช่น - สว่านไฟฟ้า , ไขควง , ประแจ , คีม , เครื่องเจียรตัดเหล็ก , ตู้เชื่อมไฟฟ้า(ตู้อ๊อกเหล็ก) , กล่องเครื่องมือช่าง - เครื่องถ่ายเอกสารเก่าๆเพียงไม่กี่เครื่อง หากรวมกันแล้วไม่เกิน 100,000.-บาท ก็ไม่ต้องยึด...ถ้าลูกหนี้มีอาชีพรับจ้างถ่ายเอกสาร - เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมฯ หากรวมกันแล้วไม่เกิน 100,000.-บาท ก็ไม่ต้องยึด...ถ้าลูกหนี้มีอาชีพรับจ้างเขียนโปรแกรมขาย , รับ ซื้อ-ขาย สินค้าผ่านทาง Internet , รับแปลและพิมพ์งานเอกสาร เป็นต้น อุปกรณ์/เครื่องมือ ของลูกหนี้ ที่จำเป็นต้องมีเพื่อการดำรงชีวิตลูกหนี้ (เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเกี่ยวข้องกับความอันตราย หรือความ เป็น-ตาย ของลูกหนี้) ห้ามยึด ไม่ว่าจะมีมูลค่าสูงแค่ไหนก็ตาม เช่น เครื่องช่วยหายใจ , เครื่องฟอกไตประจำบ้าน , เครื่องช่วยชีวิต , เครื่องวัดชีพจร , เครื่องวัดความดัน , แขนเทียม , ขาเทียม , รถเข็นสำหรับผู้พิการ...เป็นต้น คำถาม-คำตอบ ส่งท้าย ถาม : หากกรณีลูกบ้านเป็นลูกหนี้ แต่ลูกหนี้เป็นคู่สมรส(สามี/ภรรยา)กับเจ้าบ้าน โดยจดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง ตามกฏหมายแล้วสามารถยึดทรัพย์สินภายในบ้านได้หรือไม่ ถ้าหากเจ้าบ้าน(สามี/ภรรยา)ไม่ยอมให้ยึด โดยอ้างว่าเจ้าบ้านเป็นผู้ที่ซื้อหาทรัพย์มาเอง ตอบ : ถ้าเป็นกรณีที่เป็นสามีภรรยาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ให้ถือว่าทรัพย์สินภายในบ้านเป็นสินสมรส โจทก์มีสิทธิ์นำชี้แถลงยืนยันต่อ จพค. พร้อมนำส่งเอกสารประกอบการยึดทรัพย์ได้ หากทรัพย์ภายในบ้านเป็นสินสมรสจริง *** หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถไปอ่านต่อได้จากในเวปไซด์ของกรมบังคับคดี *** Last edit: 6 ปี 6 เดือน ที่ผ่านมา by นกกระจอกเทศ. กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
. ถาม : ตอนนี้ดิฉันเช่าบ้านอยู่คะ ถ้าเจ้าหนี้จะมายึดทรัพย์ภายในบ้าน สามารถทำได้ไหมคะ อ่านกระทู้ต่างๆ เจอแต่กรณีที่ลูกหนี้เป็นเจ้าบ้าน และ ผู้อาศัย ***ยกเว้นแต่ทางเจ้าหนี้มันรู้ และมันมีหลักฐานว่าคุณมาเช่าบ้านอยู่ที่นี่ (เช่น มันมี"สัญญาเช่า"ที่คุณเคยทำเอาไว้ตอนที่เช่าบ้านหลังนี้ แต่เอกสารฉบับนี้ดันไปตกอยู่ในมือของมัน) มันก็จะมาที่บ้านเช่าหลังนี้ด้วย*** ถาม : ขอถามเรื่องฟ้องอีกเรื่องนึงคะ ทะเบียนบ้านดิฉันอยู่ต่างจังหวัด แต่ทำงานที่กรุงเทพฯ หากมีการฟ้องร้องหมายศาลจะถูกส่งไปที่ภูมิลำเนาเกิด แต่ถ้าทางบ้านไม่ยอมส่งมาให้เรา หรือว่าติดต่อบอกเรา (สาเหตุเพราะว่าทะเบียนบ้านตอนนี้เป็นชื่ออา ซึ่งสมัยก่อนเป็นของย่า แต่ย่าเสียชีวิต พ่อกับแม่ไม่ยอมย้ายชื่อออกมา แล้วดันมาทะเลาะกันอีก ไม่ยอมคุยกันเลย เฮ้อ....) ทำให้ไปขึ้นศาลไม่ทันเวลาที่นัด ศาลจะตัดสินให้เจ้าหนี้ชนะความเลยใช่ไหมคะ ถาม : ถ้าเป็นแบบนี้เราจะแก้ไขอย่างไรดีคะ ถาม : เราสามารถเช็คที่ไหนได้ไหมคะว่ามีรายชื่อเรานัดขึ้นศาลหรือเปล่า Last edit: 8 ปี 1 สัปดาห์ ที่ผ่านมา by นกกระจอกเทศ. กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
. และความเป็นเจ้าของที่ดิน(เจ้าของโฉนด) ผู้ที่เป็น"เจ้าบ้าน"ในทะเบียนบ้าน จะมีชื่อเป็นคนเดียวกันกับ"เจ้าของโฉนด"...หรือเป็นจะคนละคนกันก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น นายสมศักดิ์ไปเช่าที่ดินว่างเปล่าของนางราตรี โดยทำเป็นสัญญาเช่าระยะยาว(30ปี) เพื่อสร้างเป็นบ้านพักอาศัย และทำธุรกิจเล็กๆภายในบ้านของตัวเองด้วย พอสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายสมศักดิ์ก็ไปติดต่อที่ อำเภอ/เขต เพื่อขอเลขที่บ้านและเล่มทะเบียนบ้าน โดยนายสมศักดิ์แจ้งว่าตนเองเป็น"เจ้าของบ้าน"หลังดังกล่าว นายสมศักดิ์ จึงมีชื่อเป็น"เจ้าบ้าน "ในเล่มทะเบียนบ้านหลังนี้ - นายสมศักดิ์จึงเป็นเจ้าของทรัพย์สินทุกอย่างที่มีอยู่ภายในบ้าน(รวมทั้งตัวอาคารบ้านด้วย) - ส่วนนางราตรีเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งมีบ้านของนายสมศักดิ์ ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของตน ดังนั้น ถ้าหากนายสมศักดิ์เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบ จนกระทั่งถูกฟ้องร้องต่อศาลหมดแล้ว นายสมศักดิ์อาจต้องถูกยึดทรัพย์สินภายในบ้าน ภายใต้ข้อกฎหมายที่กำหนด ในมุมกลับกัน...ถ้าหากนายสมศักดิ์ไม่ได้มีปัญหาเรื่องหนี้ใดๆ แต่นางราตรีกลับมีหนี้สินเยอะแยะมากมาย จนกระทั่งถูกฟ้องศาลเสร็จแล้ว นางราตรีอาจต้องถูกเจ้าหนี้ยึดเอาโฉนดผืนนี้ไปขายทอดตลาดเพื่อนำมาชำระหนี้ เมื่อมีผู้ยกมือให้ราคาสูงสุดในการประมูลขายทอดตลาด ในที่ดินของนางราตรีเสร็จสิ้น เจ้าของที่ดินรายใหม่นี้(ผู้ที่ซื้อที่ดินได้) ก็มีสิทธิ์ที่จะขับไล่นายสมศักดิ์ให้ออกไปจากที่ดินของตนได้ตามกฎหมาย พร้อมกับมีสิทธิ์ยึดเอาบ้าน(ตัวอาคารบ้าน)ของนายสมศักดิ์อีกด้วย โดยที่นายสมศักดิ์ไม่มีสิทธิ์ร้องคัดค้านแต่อย่างใด หากนายสมศักดิ์ไม่พอใจ นายสมศักดิ์ก็ต้องไปฟ้องร้องเรียกเอาเงินค่าเสียหายจากนางราตรีต่อไป เนื่องจากยังไม่ครบสัญญาเช่า(30ปี) แต่กลับต้องมาถูกฟ้องขับไล่จากเจ้าของที่ดินรายใหม่ *** ดังนั้น...ถ้าหากลูกหนี้รายใดที่มีหนี้สินเยอะมากแบบประเภท"หนี้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" *** ก็อาจถูกยึดทรัพย์ได้ทั้งสองอย่างเลย (ยึดทั้งทรัพย์สินภายในบ้านและก็โฉนดที่ดินด้วย) Last edit: 6 ปี 6 เดือน ที่ผ่านมา by นกกระจอกเทศ. กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
จากประสบการ์ณในการให้คำปรึกษาเรื่องหนี้ตลอด กว่า10ปี ที่ผ่านมา ผมมักเจอปัญหาจากผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาถาม ทางสาย Hotline อยู่เสมอ...อาทิเช่น - ดิฉันมีหนี้บัตรเครดิตกับ ธ.ธนชาติ แล้วก็มีหนี้ที่ต้องผ่อนรถอยู่กับ ธ.ธนชาติ ด้วย เมื่อหยุดจ่ายหนี้บัตรเครดิตทุกใบแล้ว(ซึ่งรวมของของ ธ.ธนชาติด้วย) แต่ยังคงผ่อนหนี้รถไปเรื่อยๆจนหมด - มีหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดหลายใบ(จ่ายไม่ไหว หยุดจ่ายหมดแล้ว) แต่ก็มีหนี้สินเชื่อเงินกู้กับ ธ.ธนชาติที่ยังไม่หยุดจ่าย และก็ยังผ่อนหนี้รถกับธนชาติอยู่(ยังไม่หยุดจ่าย) - ผมมีหนี้บัตรเครดิตกับ UOB และก็ยังผ่อนบ้านอยู่กับ UOB ด้วย และผมก็หยุดจ่ายหนี้บัตรเครดิตหมดทุกใบแล้ว รวมทั้งบัตรเครดิตของ UOB ด้วย แต่สำหรับหนี้บ้านผมยังผ่อนอยู่นะครับ นี่เป็นเพียง"ตัวอย่าง"ที่ผมได้รับทราบปัญหา ผ่านทางสาย Hotline ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ทีมีหนี้บัตรเครดิตและหนี้ทรัพย์สินที่ยังผ่อนอยู่ เป็นเจ้าหนี้"รายเดียวกัน" มักจะมีปัญหาและเสียเปรียบเสมอ เนื่องจากมีทรัพย์เป็นตัวประกัน ดังนั้น...ลูกหนี้ในกรณีเช่นนี้ จะใช้วิธีหยุดจ่าย แล้วขอส่วนลด(Hair cut)ไม่ได้ครับ Last edit: 4 ปี 3 เดือน ที่ผ่านมา by นกกระจอกเทศ. กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิกใหม่ เพื่อเข้าร่วมวงสนทนา
. แต่หากวันใดก็ตาม เมื่อคู่รักตามที่ว่านี้ ไปทำการจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ในทางกฎหมายจะถือว่าคู่รักทั้งสองคนนี้ เป็นบุคคล คนเดียวกันในทางกฎหมายทันที ดังนั้นทรัพย์สินใดๆก็ตาม(เช่น บ้าน , รถยนต์ , โฉนดที่ดิน)ที่หาซื้อมาในระหว่างที่จดทะเบัยนสมรสกันแล้ว สามี/ภรรยาตามทะเบียนสมรส จะมีความเป็นเจ้าของในทรัพย์นั้นๆคนละครึ่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าในสองคนนี้ ไมว่าใครก็ตามจะเป็นผู้ออกเงินซื้อทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว คู่สมรสอีกฝ่ายไม่ได้ควักกระเป๋าช่วยจ่ายเงินซื้อเลยแม้แต่บาทเดียวก็ตาม คู่สมรสที่ไม่ได้ช่วยจ่ายเงินซื้ออีกฝ่าย ก็มีความเป็นเจ้าของในทรัพย์ที่ซื้อมานั้นครึ่งหนึ่งในทางกฎหมาย (คู่สมรสจะมีความเป็นเจ้าของทรัพย์กันคนละครึ่ง ถึงแม้จะออกเงินซื้อจากคนใดคนหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวก็ตาม) เพราะกฎหมายจะถือว่าทรัพย์นั้นๆเป็นสินสมรส ทรัพย์ใดๆก็ตาม ที่ได้มาภายในช่วงระยะเวลาที่คู่สามี/ภรรยาจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ตามกฎหมายถือว่าเป็นสินสมรส แต่...ทรัพย์ใดๆก็ตาม ที่ได้มาก่อนทำการจดทะเบียนสมรสกัน หรือได้มาภายหลังจากที่จดทะเบียนหย่าขาดจากกันแล้ว ทรัพย์นั้นๆก็ไม่ใช่เป็นสินสมรส สินสมรสทุกอย่าง ถึงแม้จะมีชื่อของ"คู่สมรส"ของลูกหนี้ เป็นเจ้าของ"เพียงคนเดียว"ก็ตาม(ไม่ได้มีชื่อของลูกหนี้เป็นเจ้าของเลย) เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาล ก็สามารถยึด/อายัดได้กึงหนึ่ง(ครึ่งนึง)ตามกฎหมาย หากสืบได้ว่าทรัพย์นั้นๆ หาได้มาหรือซื้อมาในระหว่างที่ยังจดทะเบียนสมรสกันอยู่ ยกเว้นเงินเดือนของแต่ละคน เพราะเงินเดือนของแต่ละคนที่หามาได้ เป็นของใครของมัน ถึงจะจดทะเบียนสมรสกันแล้วก็ตาม เพราะเงินเดือน ไม่ถึอว่าเป็นสินสมรส เงินเดือนของแต่ละบุคคล...เป็นของใครของมัน ตัวอย่าง debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&view=topic&catid=5&id=41059&limitstart=20&Itemid=64#51490 มีชื่อเป็นผู้อาศัย ยึดทรัพย์ ได้ไหมการมีชื่อในทะเบียนบ้านในฐานะผู้อาศัย ไม่ว่าจะอยู่กี่ปี ก็ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในบ้านตกเป็นของผู้อาศัยในฐานะเจ้าของรวมครับ ดังนั้นจึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และปัจจุบัน เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการยึดทรัพย์สิ่งของในบ้านให้เฉพาะลูกหนี้เป็นเจ้าบ้านเท่านั้นครับ
เจ้าหนี้ยึดบ้านได้ไหมเจ้าหนี้บัตรต่างๆ(โจทก์)สามารถไปแจ้งหลักฐาน ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้มายึดเอา บ้าน/คอนโด/โฉนดที่ดิน ไปขายใช้หนี้ได้ตามกฏหมาย
บ้านที่ยังผ่อนอยู่ยึดได้ไหมบ้าน/ที่ดิน ที่ยังติดผ่อนอยู่ สามารถยึดได้ เพราะผู้ที่ผ่อนชำระกับธนาคาร มีชื่อเป็นเจ้าของที่แท้จริงแล้ว ตั้งแต่ทำสัญญาจะซื้อจะขาย ธนาคารเป็นเพียงผู้ให้กู้เงิน ในฐานะ"ผู้รับจำนอง "เท่านั้น...
ที่ดินมรดกสามารถยึดทรัพได้ไหมถ้ามรดกยังไม่ได้แบ่ง เจ้าหนี้ก็มีสิทธิยึดทรัพย์มรดกได้โดยไม่ต้องฟ้องทายาททุกคน ดูฎีกาที่ 193/2510.
|