สถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือด 2565

แพทย์ชี้คนไทยเสียชีวิตด้วย "โรคหัวใจ" เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน พร้อมแนะแนวทางการดูแลสุขภาพที่ดีต่อใจให้แก่คนใกล้ตัว

จากการรายงานสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2563 พบว่า กลุ่ม "โรคหัวใจ" และหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนทั่วโลก หรือประมาณ 17.9 ล้านคน และจากสถิติในประเทศไทย พบผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 6 หมื่นราย โดยอุบัติการณ์ล่าสุดพบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน

 

สถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือด 2565

 

รศ.พญ.ศริญญา ภูวนันท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยมากเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็ง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจขาดเลือด 18,922 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน โดยโรคหัวใจที่สำคัญมีด้วยกันหลายประเภท ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด อาการของโรคหัวใจ มีได้ตั้งแต่ไม่มีอาการเลยไปจนถึงอาการเหนื่อยหอบง่าย นอนราบแล้วอึดอัดต้องลุกขึ้นมานั่งช่วงกลางคืน เจ็บหน้าอกซึ่งมีลักษณะเฉพาะ ใจสั่นเต้นเร็ว หรือเป็นลมหมดสติที่ไม่ได้เกิดจากการเป็นลมแดด หรือการยืนนาน หรืออาจถึงกับเสียชีวิตเฉียบพลันโดยไม่มีอาการนำมาก่อนเลยก็ได้ อาจเรียกได้ว่าเป็นภัยเงียบอย่างแท้จริง

 

สถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือด 2565

 

 

การรักษา "โรคหัวใจ" ในแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการรักษาโรคหัวใจคือต้องวินิจฉัยให้ได้ว่าเป็นโรคหัวใจประเภทไหน และรุนแรงระดับใด (มาก ปานกลาง น้อย เป็นต้น) และการวินิจฉัยดังกล่าวต้องมีความแม่นยำ เพราะอาจมีผลต่อชีวิตผู้ป่วยและการรักษาได้

 

สถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือด 2565

 

“การซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการใช้หูฟังฟังเสียงหัวใจของแพทย์เป็นวิธีการนำมาซึ่งการวินิจฉัยโรคหัวใจที่ดี แต่บ่อยครั้งอาจไม่เพียงพอ ต้องอาศัยการตรวจเพิ่มเติมที่ละเอียดมากขึ้น ปัจจุบันมีการตรวจเพิ่มเติมทางด้านหัวใจหลายประเภท และมีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ป่วยบางรายอาจต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมมากกว่าหนึ่งชนิด เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจหรือ EKG; การตรวจวิ่งสายพานหรือ Stress Test; การตรวจทางภาพถ่ายรังสีแบบธรรมดา จนถึง เอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ CT scan cardiac MRI; การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ  และการตรวจที่จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในการตรวจที่สำคัญที่สุด คือ การตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจขั้นสูง (Echocardiography)” รศ.พญ.ศริญญา อธิบายเพิ่มเติม

วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมาเป็น วันหัวใจโลก (World Heart Day) ที่จัดขึ้นทุกปี ซึ่งโรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของคนทั่วโลก และเป็นสาเหตุต้น ๆ ของการเสียชีวิตของคนไทยเช่นกัน

องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ในปี 2563 มีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 17.9 ล้านคนทั่วโลก และในประเทศไทยจากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉลี่ยถึงชั่วโมงละ 2 คน

โรคหัวใจ ครอบคลุมโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ ซึ่งผู้ป่วยโรคหัวใจมักจะมีอาการเหนื่อยง่าย เจ็บแน่นหน้าอกเหมือนมีของกดทับ นอนราบไม่ได้ ปวดหน้าอกข้างซ้ายร้าวไปถึงแขนซ้าย หายใจไม่ออก หัวใจเต้นผิดปกติ ขา ข้อ และเท้าบวม

การรักษาโรคหัวใจ จะได้ผลดีขึ้น หากตรวจพบเร็วและได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ ซึ่งการรักษาโรคหัวใจแต่ละชนิดมีวิธีการรักษาแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการรักษาโรคหัวใจแต่ละชนิด ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านและแตกต่างกันตามแต่โรงพยาบาล เช่น ค่าขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Transradial or Transfemoral PCI) อยู่ที่ประมาณ 100,000 - 200,000 บาท ค่าผ่าตัดทำทางเบี่ยงของหลอดเลือดหัวใจหรือการทำบายพาส (Coronary Artery Bypass Grafting: CABG) หากเป็นโรงพยาบาลเอกชนอยู่ที่ประมาณ 590,000 - 800,000 บาท การผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจประมาณ 750,000 - 950,000 บาท ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการักษาอย่างทันท่วงที เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง อาการโรคหลอดเลือดส่วนปลาย ภาวะหัวใจล้มเหลว รวมถึงโรคหลอดเลือดส่วนปลายที่อาจทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อส่วนปลาย เช่น เท้า

โรคหัวใจ สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย สาเหตุการเกิดโรคหัวใจบางชนิดไม่สามารถระบุได้ชัดเจนและยากที่จะควบคุม ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจมีตั้งแต่ อายุ-ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น เพศ-เพศชายมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากกว่า แต่เพศหญิงจะมีความเสี่ยงมากขึ้นหลังหมดประจำเดือน ปัจจัยทางพันธุกรรม การสูบบุหรี่ การกินอาหารที่มีไขมัน เกลือ น้ำตาล และคอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด รวมถึงปัญหาสุขภาพฟันที่พบว่า มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจมากขึ้น

โรคหัวใจเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ การดูแลสุขภาพ กินอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และงดสูบบุหรี่ มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ แต่ปัจจัยอื่น ๆ ที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อายุ และปัจจัยทางพันธุกรรม ก็ยังทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจเช่นกัน ซึ่งหากเป็นโรคหัวใจแล้วต้องเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคหัวใจถือว่าสูงมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี 

การทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรงจึงมีความจำเป็นมาก เพื่อให้อุ่นใจว่าเมื่อถึงยามเจ็บป่วยเราจะสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่มีอุปสรรคในด้านการชำระค่ารักษาพยาบาล และช่วยให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วยบริการทางการแพทย์และเครื่องมือที่ทันสมัยแม้ค่ารักษาพยาบาลจะแพงลิ่วก็ตาม และที่สำคัญต้องเลือกประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรงที่คุ้มครองครอบคลุมเพียงพอทั้งประเภทของโรคร้ายและระยะเวลาคุ้มครอง 

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้