Show กลยุทธ์การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมบริษัทฯ มีการดำเนินงานภายใต้นโยบายการบริหารจัดการความยั่งยืนและนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินการผ่านโครงการพัฒนาสังคมและชุมชนในรูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์และทิศทางในการดำเนินธุรกิจขององค์กร รวมทั้งมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีส่วนได้เสียรอบพื้นที่การดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม GPSC CSR Strategy (2022 - 2026) คู่มือการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนสัมพันธ์ แนวทางการบริหารจัดการเพื่อการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืนกรอบกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมบริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะเชื่อว่าการที่ธุรกิจจะพัฒนาอย่างยั่งยืนได้นั้น ชุมชนและสังคมจะต้องเติบโตไปพร้อมกัน ดังนั้น บริษัทฯ จัดทำกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนในทุกพื้นที่การดำเนินงาน (ร้อยละ 100) เพื่อรับฟังข้อกังวัลและความสนใจและนำมาพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานในพื้นที่และอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีกรอบกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับแนวทางที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยผนวกความเชี่ยวชาญทางธุรกิจของบริษัทฯ เข้าไปในกระบวนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสำคัญของชุมชนและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม กลยุทธ์ในการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทฯ ตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ
ด้านการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชนบริษัทฯ มีส่วนสนับสนุนและเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณประโยชน์และกิจกรรมด้านประเพณี วัฒนธรรม และศาสนาที่จัดโดยชุมชนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมกับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงเป็นประจำ เพื่อชี้แจงสร้างความเข้าใจต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ และสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนในรูปแบบต่างๆ ภายใต้โครงการเคียงบ่าเคียงไหล่ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมคณะกรรมการไตรภาคี การประชุมคณะกรรมการตรวจติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA Monitoring) การพบปะเยี่ยมเยือนชุมชน กิจกรรมเปิดบ้าน (Open House) การรับฟังความคิดเห็น (Public Hearing) เป็นต้น ซึ่งความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากกระบวนการมีส่วนร่วมเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญที่บริษัทฯ นำมาพัฒนา เป็นกลยุทธ์การดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับความคาดหวังของชุมชนและสังคม เพื่อให้มีทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจนและยั่งยืน ตลอดจนมีการติดตามผลลัพธ์และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามกลยุทธ์ที่กำหนด *รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน กิจกรรม CSR ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญและกำหนดเป็นกรอบกลยุทธ์แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ
การเข้าถึงพลังงานบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าได้อย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยบริษัทฯ ในฐานะแกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. มีความมุ่งมั่นที่จะนำทักษะ ความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบไฟฟ้า มาใช้เพื่อส่งมอบพลังงานสะอาดให้กับชุมชน สอดรับกับทิศทางพลังงานโลกและแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ของไทยที่มุ่งไปสู่พลังงานสะอาด และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 โครงการ Light for a Better LifeSDG 7: AFFORDABLE AND CLEAN ENERGYโครงการ Light for a Better Life (LBL) เป็นโครงการดูแลช่วยเหลือสังคมชุมชนโดยใช้ความเชี่ยวชาญและทักษะเฉพาะของบริษัทฯ และพนักงานในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อดูแลระบบไฟฟ้าให้กับชุมชน สังคม สะท้อนการเป็นบริษัทแกนนำนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. โดยใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของพนักงาน (Expertise) เพื่อดูแลผู้คนในชุมชน สังคม และประเทศชาติ (People of the Planet) ใน 4 ด้านหลัก ๆ คือ ความปลอดภัย (Safety) ความประหยัด (Saving) ความมั่นคงทางพลังงาน (Security) และ เศรษฐกิจ-สังคม (Socio-Economic) ปรับปรุง ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าให้กับสาธารณสถาน อาทิ โรงเรียน วัด สถานพยาบาลท้องถิ่น เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินจากการเกิดเพลิงไหม้ ไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อต รวมถึงการซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบไฟฟ้าให้กับหน่วยงานราชการท้องถิ่นกรณีประสบภัยพิบัติ ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อประหยัดพลังงาน รวมถึงการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและสามารถนำเงินที่ประหยัดได้ไปพัฒนาหรือทำกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน ติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานทางเลือกในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้คนในชุมชนและสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดอุปสรรคในการใช้ชีวิต รวมถึงเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น การติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ให้แก่ โรงพยาบาล สถานบริการด้านสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล และสถานศึกษา เป็นต้น สร้างและส่งเสริมอาชีพ "หมอไฟฟ้า" ให้กับคนในชุมชน โดยการฝึกอบรมคนในชุมชนให้มีทักษะอาชีพสามารถเป็นช่างไฟฟ้าพื้นฐาน ดูแลครัวเรือนชุมชนของตนเองและก่อให้เกิดรายได้เสริม หรืออาจพัฒนาเป็นรายได้หลักให้กับตนเองต่อไป โครงการ LBL ถือว่าเป็นโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากสอดคล้องกับธุรกิจและความเชี่ยวชาญขององค์กร รวมทั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) และทิศทางด้านพลังงานของโลก ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงระบบไฟฟ้า ติดตั้งและส่งมอบระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลและชุมชนที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง มาแล้วกว่า 20 โครงการ ในพื้นที่ 8 จังหวัด เพื่อสร้างความมั่นคงและความเท่าเทียมทางด้านพลังงาน ให้กับประชาชน โดยในปี 2564 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้กับโรงเรียนในพื้นที่ดำเนินธุรกิจจำนวน 2 แห่ง และดำเนินโครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 3 โครงการ ดังนี้
*ตามสัดส่วนงบประมาณ ซึ่งทำให้ปริมาณการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของส่วนกิจการเพื่อสังคม เพิ่มขึ้นจาก 181.98 kWp ในปี 2563 เป็น 240.27 kWp ในปี 2564 จากเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ให้ชุมชนสามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนได้ 1,000 kWp ภายในปี 2569 ทั้งนิ้ โครงการ LBL ทั้ง 3 โครงการในปี 2564 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 77,104.71 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ผลลัพธ์ทางธุรกิจของโครงการ LBL ในปี 2564
คุณค่าต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ของโครงการ LBL
ค่าผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI)
ด้านคุณภาพชีวิต
ด้านเศรษฐกิจ
ด้านสิ่งแวดล้อม
คุณภาพชีวิตบริษัทฯ มีนโยบายในการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนและสังคม ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ มีอาชีพรองรับ มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงมีสุขภาพใจและกายที่สมบูรณ์ ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิเช่น โครงการ GPSC ร่วมใจ รวมไทย ช่วยชาติ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์COVID-19 กิจกรรมพัฒนาศักยภาพของกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ กิจกรรมพัฒนาเยาวชน รวมถึงการส่งเสริมการเล่นกีฬา โครงการชมรมผู้สูงอายุ โครงการ Smart Farming โครงการวิสาหกิจชุมชนธนาคารขยะและการแปรรูปขยะ เป็นต้น โครงการ "GPSC ร่วมใจ รวมไทย ช่วยชาติ"SDG 3: GOOD HEALTH AND WELL-BEINGจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ส่งผลให้ในปี 2564 บริษัทฯ ต้องปรับแผนการดำเนินงานด้านสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินโครงการ GPSC ร่วมใจ รวมไทย ช่วยชาติ มาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเข้าสู่ระยะที่ 4 ของการระบาด โดยได้แบ่งการดำเนินกิจกรรมออกเป็น 4 รูปแบบหลักๆ คือ
ซึ่งงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนโครงการ GPSC ร่วมใจ รวมไทย ช่วยชาติ นี้ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 38.78 ล้านบาท กิจกรรมช่วยเหลือในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โครงการ GPSC Smart FarmingSDG 3: GOOD HEALTH AND WELL-BEING
สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัทฯร่วมกับกลุ่ม ปตท. ได้ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ PTT Group Smart Farming ภายใต้โครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม กลุ่ม ปตท. โดยมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินโครงการ ดังนี้
ทั้งนี้ โครงการ Smart Farming มีกลุ่มเป้าหมายซึ่งประกอบด้วย เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ด้อยโอกาส โดยมีโครงสร้างการทำงานซึ่งประกอบด้วย ผู้จัดการพื้นที่ที่เป็นพนักงานในกลุ่ม ปตท. และพนักงานจากโครงการ Restart Thailand จำนวน 6 คน/พื้นที่ โดยกลุ่ม ปตท. ได้คัดเลือกนักศึกษาจบใหม่ที่ยังไม่ประกอบอาชีพและส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ เข้ามาอบรมพื้นฐานความรู้ด้านการเกษตรและเทคโนโลยีเพื่อทำงานในโครงการนี้โดยเฉพาะ สำหรับพื้นที่รับผิดชอบของบริษัทฯ มีด้วยกัน 2 พื้นที่ คือ บ้านสวนต้นน้ำ อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และบ้านห้วยขาบ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทฯดำเนินโครงการกิจการเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี น้องๆ จากโครงการ Restart Thailand ทั้ง 12 คน ได้ลงไปฝังตัวอยู่ในพื้นที่เพื่อศึกษาปัญหาและพัฒนาแผนงานที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยมีพนักงานของบริษัทฯ และกลุ่ม ปตท. คอยให้คำแนะนำและสนับสนุนในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีของกลุ่มมาพัฒนาต่อยอดเพื่อแก้ปัญหาด้านการเกษตรให้กับชุมชนในพื้นที่ โดยรายละเอียดของการใช้นวัตกรรมในแต่ละพื้นที่ มีดังนี้
"โครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม กลุ่ม ปตท." มีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (ปี 2564-2566) โดยปี 2564 ในส่วนของ Smart Farming นั้น จะมีการดำเนินงานใน 25 พื้นที่ 20 จังหวัดทั่วประเทศไทย สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานมาช่วยผลักดันต่อยอดโครงการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นโดยดูจากความเหมาะสมของพื้นที่ สภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชน โครงการ Smart Farming อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน คุณค่า/ประโยชน์ต่อองค์กรของโครงการ Smart Farming
คุณค่า/ประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมของโครงการ Smart Farming
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริษัทฯ ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียงกับพื้นที่ดำเนินการของบริษัทฯ โดยดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สร้างสมดุลของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด อาทิ โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ โครงการปะการังเทียม โครงการบำรุงสวนป่า 34 ไร่ โครงการปลูกป่าและสร้างฝายชะลอน้ำบนเขาภูดร-ห้วยมะหาด โครงการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร โครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น โครงการ Zero Waste VillageSDG 12: RESPONSIBLE CONSUMPTION AND PRODUCTIONSDG 13: CLIMATE ACTIONโครงการ Zero Waste Village มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกและรณรงค์ให้คนในชุมชนคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างคุณค่าให้กับขยะและสิ่งของเหลือใช้ อีกทั้งช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้กับชุมชน โดยโครงการ Zero Waste Village นี้ เป็นโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่จะพัฒนาต่อยอดในเชิงธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ก่อให้เกิดรายได้กลับคืนสู่ชุมชนและสร้างความยั่งยืนภายในสังคมและชุมชนด้วยตนเอง บริษัทฯ ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะให้กับชุมชนบ้านไผ่ ต.หนองตะพาน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง มาตั้งแต่ปี 2561 และดำเนินโครงการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยส่งเสริมและสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจร การแปรรูปขยะเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ (Recycle & Upcycling) และพัฒนาเป็นสินค้าประจำชุมชน รวมทั้งเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับคนในชุมชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ชุมชนบ้านไผ่ ต.หนองตะพาน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ไม่สามารถเปิดดำเนินการในส่วนของธนาคารขยะออมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบได้ ส่งผลให้ขยะที่เคยเป็นแหล่งรายได้ให้กับชุมชนมีการหมุนเวียนน้อยลงและขยะภายในชุมชนมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น บริษัทฯ เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงร่วมมือกับสมาคมเพื่อนชุมชนนำนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เข้ามาช่วยทั้งในเรื่องการวางแผนการตลาด การทำบัญชี การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัยและสวยงามมากขึ้น โดยหนึ่งในนั้นได้แก่ หมอนหลอดรีไซเคิล ภายใต้แบรนด์ "Tayla เทฬา" ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายให้กับชุมชนได้มากขึ้นกว่าหมอนหลอดรูปแบบเดิม ผลิตภัณฑ์ชุมชนบ้านไผ่ จังหวัดระยอง ภายใต้แบรนด์ "Tayla เทฬา"เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ต่อยอดไอเดียของหมอนจากหลอดพลาสติกใช้แล้วของชุมชน โดยทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น สืบเนื่องจากปัญหาหลอดพลาสติกที่ใช้แล้วในศูนย์การเรียนรู้มีปริมาณมาก และไม่สามารถนำไปขายได้ ต้องนำไปทิ้งหรือแปรรูปเท่านั้น ดังนั้น ชุมชนบ้านไผ่จึงระดมหลอดพลาสติกจากร้านค้าภายในชุมชนและสร้างองค์ความรู้ในการนำกลับมาใช้ใหม่ให้กับชุมขน จากหมอนหลอดพลาสติกแปรรูปธรรมดาที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้กันเองและไม่สามารถขายได้ กลายเป็นหมอนหลอดพลาสติกที่สร้างมูลค่าและขายให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศภายใต้แบรนด์ "Tayla เทฬา" ผลิตภัณฑ์หมอนจากหลอดพลาสติกที่ใช้แล้วของแบรนด์ "Tayla เทฬา" มีวางจำหน่ายเริ่มต้น 2 รุ่น คือ หมอนมะเฟืองและหมอนเต่าตนุ โดยได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์จากปัญหาหลอดพลาสติกที่หลุดลอยลงสู่ท้องทะเลและสร้างปัญหาให้กับเหล่าสัตว์น้ำน้อยใหญ่ เช่น ปลา เต่า หอย เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์ Tayla เทฬา มีส่วนช่วยในการนำเอาหลอดพลาสติกที่เราทิ้งมาใช้เป็นวัสดุทดแทนใยสังเคราะห์หรือเม็ดโฟม โดยหลอดพลาสติก 400 - 1,600 เส้น มีขนาดเท่ากับใยสังเคราะห์หรือเม็ดโฟม 0.5 - 2 กิโลกรัม สำหรับกระบวนการผลิตนั้นต้องอาศัยฝีมือการตัดเย็บที่ประณีต โดยชาวบ้านในชุมชนจะใช้เวลาว่างมานั่งรวมกันยัดไส้หมอนหลอดเพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับตัวเองและธนาคารขยะออมทรัพย์บ้านไผ่ ไม่เพียงเท่านั้น ชุมชนยังคำนึงถึงการเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก (Eco Product) โดยไม่ใช้บรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มที่เป็นพลาสติก แต่ใช้กระดาษ ผูกด้วยเชือก ห้อยปลาตะเพียนจากใบเตยเพิ่มความหอมสดชื่น พร้อมกับการ์ดขอบคุณที่ร่วมกันลดการใช้พลาสติก เรื่องความสะอาดเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่บริษัทฯ และน้องๆ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความสำคัญอย่างมาก เพื่อความปลอดภัยของชุมชนและผู้ซื้อ โดยหลอดที่นำมาใช้นั้นต้องผ่านกระบวนการซักล้างด้วยน้ำยาซักและน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างละ 1 รอบ และแช่น้ำทิ้งไว้ หลังจากนั้นจึงนำไปฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนในเตาอบพลังงานแสงอาทิตย์เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ก่อนจะนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้สนับสนุนผลิตภัณฑ์ในเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย ปัจจุบันหมอนหลอด Tayla เทฬา มีวางจำหน่ายอยู่บน Facebook และที่ศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะชุมชนบ้านไผ่ หมู่ 1 ต.หนองตะพาน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ชุมชนบ้านไผ่ จังหวัดระยอง แบรนด์ "Tayla เทฬา" ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรอิสระ ในการส่งต่อหลอดพลาสติกที่ใช้แล้วจากทั่วประเทศมาเป็นวัตถุดิบหลักเพื่อนำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ โดยยอดการผลิตและจำหน่ายขึ้นอยู่กับปริมาณหลอดพลาสติกใช้แล้วที่ได้รับ ในปี 2564 ชุมชนบ้านไผ่ จังหวัดระยอง สามารถสร้างคุณค่าจาก แบรนด์ "Tayla เทฬา" ได้ ดังนี้
*ข้อมูลเริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือน มิถุนายน - พฤศจิกายน 2564 คุณค่า/ประโยชน์ต่อองค์กรของโครงการ Zero Waste Village
คุณค่า/ประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมของโครงการ Zero Waste Village
ผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ทางสังคมของโครงการ Zero Waste Villageด้านเศรษฐกิจ
ด้านสิ่งแวดล้อม
ด้านคุณภาพชีวิต
นวัตกรรมในฐานะที่เป็นแกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้า กลุ่ม ปตท. บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมต่อการพัฒนาองค์กร และส่งเสริมให้มีการนำนวัตกรรมมาใช้ทั้งในเชิงธุรกิจและสังคมเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกในยุคปัจจุบัน โดยบริษัทฯ เชื่อว่านวัตกรรมทางสังคม หรือ Social Innovation ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จะสามารถตอบสนองและแก้ไขปัญหาสังคมเพื่อให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยนำเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ โครงการ GPSC Young Social InnovatorSDG: 9: INDUSTRY, INNOVATION AND INFRASTRUCTUREโครงการ GPSC Young Social Innovator เริ่มต้นขึ้นในปี 2561 ในรูปแบบของค่ายอบรมและแข่งขันนวัตกรรมของเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าระดับภูมิภาคตะวันออก มีทีมสมัครเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 39 ทีม แต่จากความสำเร็จของผลงานเยาวชนที่ได้รับรางวัล 1 เหรียญเงิน และ 1 special award จากการแข่งขันนวัตกรรมระดับนานาชาติเวที Seoul International Invention Fair (SIIF) ทำให้ในปีถัดมาคือปี 2562 โครงการ GPSC Young Social Innovator ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายเยาวชน โดยยกระดับจากการแข่งขันระดับภูมิภาคเป็นการแข่งขันระดับประเทศ ส่งผลให้ในปีที่ 2 นี้ มีเยาวชนจำนวน 158 ทีมสมัครเข้าร่วมโครงการ โดยผลงานของเยาวชนรุ่นที่ 2 นี้เป็นที่ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้น เพราะถึงแม้จะประสบกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 จนทำให้การแข่งขันนวัตกรรมนานาชาติที่เป็นเป้าหมายของการแสดงฝีมือและศักยภาพของเยาวชนไทยเกือบทุกเวทีถูกยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นแบบออนไลน์ แต่ถึงกระนั้น ผลงานของเยาวชนโครงการ GPSC Young Social Innovator ยังคงเป็นที่ประจักษ์ในเวทีระดับนานาชาติ โดยได้รับ 1 เหรียญทอง 1 special award จาก International British Inventions, Innovation Exhibition (IBIX) และ 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 3 special award จาก World Invention Innovation Contest (WIC) จากความสำเร็จเป็นอย่างมากของโครงการ GPSC Young Social Innovator season 2 ในปี 2562 บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นที่จะยกระดับโครงการให้เป็นค่ายอบรมบ่มเพาะทักษะด้านนวัตกรรม ปลุกปั้นนวัตกรรุ่นใหม่ ให้กับประเทศไทย โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศโครงการ GPSC Young Social Innovator 2563 ให้เป็นรางวัลใหญ่ของการแข่งขันในปีที่ 3 ทำให้โครงการยิ่งได้รับความสนใจจากเยาวชนทั่วประเทศและมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการอย่างล้นหลามถึง 303 ทีม และปัจจุบันโครงการ GPSC Young Social Innovator อยู่ระหว่างการดำเนินงานในปีที่ 4 โดยปรับประเภทของนวัตกรรมที่เข้าแข่งขันเป็น 3 ประเภทคือ ผลิตภัณฑ์, สิ่งประดิษฐ์ และกระบวนการและบริการ ซึ่งมีเยาวชนที่สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 447 ผลงาน และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศโครงการ GPSC Young Social Innovator 2564 เป็นรางวัลใหญ่ของแต่ละประเภทผลงาน รวมทั้งสิ้น 3 ถ้วยรางวัล ภาพรวมของโครงการ GPSC Young Social Innovator ที่ผ่านมานอกเหนือจากการมีเยาวชนสนใจเข้าร่วมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกๆปี เยาวชนที่เข้าร่วมยังสามารถพัฒนาผลงานเพื่อยื่นจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรได้ถึง 7 ผลงาน ยังได้รับรางวัลจากการประกวดนวัตกรรมระดับนานาชาติมากกว่า 15 รางวัล และจากการประเมินผลตอบแทนทางสังคม หรือ SROI ของโครงการตลอด 3 ปีมีค่า SROI ที่ 1.62 ซึ่งมีผลเป็นที่น่าพึงพอใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการแข่งขันไม่ใช่เป้าหมายหลักที่แท้จริงของโครงการ GPSC Young Social Innovator แต่อย่างใด บริษัทฯมีความมุ่งหวังและเป้าหมายที่จะผลักดันให้เยาวชนเห็นคุณค่าของชุมชนสังคม ด้วยการนำนวัตกรรมที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมานั้นไปพัฒนาสังคมของตนเองให้มีคุณภาพในยุค 4.0 นี้ และจาก 4 ปีของการดำเนินโครงการ GPSC Young Social Innovator นอกจากรางวัลจากการประกวดนวัตกรรมนานาชาติซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนถึงฝีมือ ความมุ่งมั่น และทักษะทางวิชาการของเยาวชนไทยแล้ว เยาวชน GPSC Young Social Innovator ยังได้นำนวัตกรรมเหล่านั้นไปถ่ายทอดและขยายผลไปสู่ชุมชนอีกด้วย อาทิ
ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อว่าการเป็นคนเก่งนั้นควรจะต้องเป็นคนดีควบคู่กันไปด้วย เช่นเดียวกับการเป็นนวัตกรที่ดีนั้น จะต้องสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ สามารถช่วยเหลือชุมชน สังคม ประเทศชาติได้ด้วยเช่นกัน คุณค่าต่อองค์กร
คุณค่าต่อชุมชนและสังคม
การแปรรูปของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตสินค้าอาหารของชุมชน (น้ำหมักปลาส้ม) เป็นน้ำกรดสำหรับกระบวนการเก็บผลผลิตยางพาราเป็นผลงานชนะเลิศจากโครงการ GPSC Young Social Innovator 2563 จากโรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์ จ.นครพนม ซึ่งเป็นผลงานโดดเด่นที่สร้างสรรค์ขึ้นผ่านกระบวนการ Design thinking และโจทย์ในการแก้ไขปัญหาของชุมชน ซึ่งจัดจำหน่ายปลาส้มเป็นสินค้า OTOP ทำให้เกือบทุกหลังคาเรือนมีการทิ้งของเสียจากกระบวนการหมักปลาส้ม (น้ำจากกระบวนการหมัก) ไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเนื่องจากสภาวะความเป็นกรดของน้ำหมักปลาส้ม เยาวชนจึงต้องแก้ไขปัญหาจากต้นเหตุจึงนำน้ำจากการหมักปลาส้มดังกล่าวมาผ่านกระบวนการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และได้ผลลัพธ์ว่ากรดดังกล่าวมีความเข้มข้นพอเหมาะ ใกล้เคียงกับกรดสำหรับหยดยางพาราก่อนทำการเก็บเกี่ยวน้ำยาง จึงได้ทำการทดลองและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในการแปรรูปน้ำทิ้งจากการหมักปลาส้มมาแปรรูปเป็นน้ำกรดสำหรับหยดยางพารา ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นกรดจากธรรมชาติ ลดอันตรายจากการใช้สารเคมีของเกษตรกรสวนยางพาราแล้ว น้ำกรดที่พัฒนาขึ้นยังช่วยให้ยางพาราก้อนที่เก็บเกี่ยวมีความหนาแน่นมากขึ้น น้ำหนักมาขึ้น ส่งผลให้ยางพาราก้อนมีคุณภาพดี เกษตรกรสามารถจำหน่ายในราคาที่สูงขึ้นอีกด้วย โดยในปัจจุบันผลงานดังกล่าวได้ยื่นจดสิทธิบัตร และเข้าแข่งขันนวัตกรรมในระดับนานาชาติ ได้รับเหรียญทองและ KIA Special Award จากเวที World Invention Innovation Contest หรือWiC 2021 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี และรางวัลเหรียญเงิน จากเวที International Invention, Innovation & Technology Exhibition หรือ ITEX 2021 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย รวมถึงได้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านทางช่องทางออนไลน์ และที่สำคัญที่สุดเยาวชนได้รวบรวมเพื่อนๆ ในโรงเรียนลงพื้นที่ชุมชนเพื่อถ่ายทอดกระบวนการและแนวทางการผลิตน้ำกรดอย่างง่ายให้กับชุมชนเกษตรกรสวนยางพาราที่อยู่โดยรอบโรงเรียนสามารถผลิตเพื่อใช้เองในชุมชนอีกด้วย เป้าหมาย ปี 2565 - 2569ผลการดำเนินงาน ปี 2564ในปี 2564 ที่ผ่านมาพบว่าผลสำรวจความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อบริษัทอยู่ที่ระดับร้อยละ 75 สัดส่วนการบริจาคเพื่อการกุศลอยู่ที่ร้อยละ 24.02 (ไม่เกิน 30%) และมีการประเมินค่าผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ใน 12 โครงการ/กิจกรรม โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 1.73 - 5.79 ประกอบด้วย จากผลการดำเนินงานในภาพรวมดังกล่าวถือว่ามีความก้าวหน้ามากขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่วางไว้ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวให้ได้ภายในปี 2565 เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ของ บริษัทฯที่จะก้าวไปสู่การเป็นองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมที่ยั่งยืนในธุรกิจไฟฟ้าทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก รูปแบบการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม
รูปแบบการลงทุนและการบริจาคเพื่อสังคมปรับปรุง ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565เนื้อหาข้างต้นจัดทำตามมาตรฐานการรายงานความยั่งยืน โดย The Global Reporting Initiative (GRI Standards) ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องโดยหน่วยงานภายนอกและให้ความเชื่อมั่นข้อมูลการรายงานในระดับจำกัด (Limited Assurance) |