สืบเนื่องจากทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เว้นแม้กระทั่งการลงทุนในทรัพย์สินที่มีพื้นฐานทางด้านการลงทุนมั่นคงอย่างอสังหาฯ ดังนั้นเหล่านักลงทุนในอสังหา ไม่ว่าจะมือใหม่หรือแบบมืออาชีพ ย่อมต้องทำการศึกษารูปแบบการลงทุนอสังหาฯอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างหรือปัจจัยความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น Show การลงทุนอสังหาฯ ระยะสั้น VS ระยะยาว แตกต่างกันอย่างไรสำหรับนักลงทุนอสังหาฯ ที่พอมีประสบการณ์ด้านการลงทุนมาพอสมควรอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องเข้าใจและรู้จักทั้ง 2 ประเภทของการลงทุน แต่ถึงกระนั้นก็เชื่อว่าบางคนยังไม่รู้ความต้องการตนเองว่าเหมาะกับการลงทุนอสังหาฯ แบบใด ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจแก่นแท้ของรูปแบบการลงทุนอสังหาฯ มากขึ้น จึงจำเป็นต้องศึกษาความแตกต่างดังต่อไปนี้ 1. การลงทุนอสังหาฯ ระยะสั้น (Flipping)คือ การซื้ออสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน - คอนโดในราคาต่ำกว่าตลาด ณ ขณะที่มีการเปิดให้ซื้อขาย จากนั้นมีการปรับปรุงหรือเพิ่มมูลค่าเพื่อเก็งกำไร ซึ่งในรูปแบบนี้เรียกว่าการซื้อมาขายไปนั่นเอง ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมของนักลงทุนเวลานี้ จะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากการขายใบจองคอนโด เป็นการขายในช่วงเวลาที่ยังไม่ถึงขั้นตอนการโอน แน่นอนว่าย่อมมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากนักลงทุนจำเป็นต้องรีบปล่อยอสังหาฯ ที่ถือครองในมือให้เร็วที่สุด ดังนั้นจึงทำให้ต้องเร่งรีบกับเวลาอย่างมาก ประกอบกับจำเป็นต้องอาศัยการสร้าง Connection ในวงการอสังหาฯ พอสมควร เพื่อสร้างกลุ่มฐานลูกค้าที่มีความต้องการหาบ้านหรือคอนโดจริงๆ จึงทำให้นักลงทุนหลายรายมักต้องเผชิญกับความเสี่ยงค่อนข้างสูง 2. การลงทุนอสังหาฯ ระยะยาว (Holding)คือ การซื้ออสังหาฯ เพื่อเก็งกำไรในระยะเวลานาน แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ 2.1 ซื้อเพื่อเก็งกำไร พร้อมปล่อยขายหลังโอนไปแล้ว ซึ่งจะทำให้ได้ Capital Gain ดี ส่วนใหญ่นิยมปล่อยขายบ้านหรือคอนโด เมื่อเวลาร่วงโรยไปมากกว่า 2 ปีขึ้นไป เนื่องจากมูลค่าของอสังหาฯ จากการประเมินราคามักมีการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาที่ดินและความเจริญของพื้นที่ สำหรับรูปแบบของการลงทุนลักษณะนี้ จะเหมาะกับกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการ Passive Income เป็นประจำสม่ำเสมอทุกเดือน แม้ในช่วงระยะแรกอาจจะต้องเผชิญความกดดันในการปล่อยเช่า แต่ถ้าโครงการอสังหาฯ ที่นักลงทุนได้ซื้อมีทำเลตั้งอยู่ในเมือง แหล่งชุมชน แหล่งท่องเที่ยง หรือเป็นแหล่งงาน ซึ่งมีระดับความต้องการสูง ทำให้อัตราผลตอบแทน (Yield) นั้นอยู่ในระดับสูง แน่นอนว่านักลงทุนหายห่วงเรื่องการเก็งกำไร แต่ถ้าบางโครงการมี Yield Guarantee นั้นจะยิ่งเป็นการช่วยเพิ่มฐานความมั่นคงของผลตอบแทนนักลงทุน เหตุนี้จึงทำให้นักลงทุนไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงมากเหมือนกับการลงทุนอสังหาฯ ระยะสั้น ประโยชน์ที่ได้รับ จากการลงทุนอสังหาฯ ทั้ง 2 รูปแบบแม้ว่าประโยคยอดฮิตอย่าง “การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง” จะติดอยู่ในหัวของการลงทุนอสังหาฯ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นชื่อว่าการลงทุนย่อมมีเรื่องของผลกำไรและประโยชน์ที่จะได้รับเกิดขึ้นกับนักลงทุนอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจแก่นแท้ของการลงทุน จึงได้มีการรวบรวมประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนอสังหาฯ ทั้ง 2 รูปแบบดังนี้ การลงทุนอสังหาฯ ระยะสั้นการลงทุนอสังหาฯ ระยะยาว1. แม้ว่าการลงทุนระยะสั้นจะเป็นการลงทุนที่ต้องแข่งกับเวลา แต่ทำให้นักลงทุนมักยิ้มออกเมื่อปล่อยอสังหาฯ ได้ เนื่องจากได้เงินและกำไรเร็ว1. การลงทุนอสังหาฯ ระยะยาว ทำให้นักลงทุนได้ Passive Income ที่มั่นคง2. นักลงทุนที่มีความชำนาญในการลงทุนระยะสั้น หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีชั่วโมงบินสูง เมื่อประสบความสำเร็จจากการปล่อยอสังหาฯ หลายๆ รอบ ก็ถือได้ว่ามีกำไรเยอะกว่าการลงทุนระยะยาวเลยทีเดียว2. มูลค่าอสังหาฯ จะถูกปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นทุกปี จึงทำให้นักลงทุนได้กำไรสูงขึ้นด้วยเช่นกัน3. การลงทุนอสังหาฯ ระยะยาว นักลงทุนไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับเวลาเหมือนกับการลงทุนอสังหาฯ ระยะสั้น ทั้งนี้หากเก็บโครงการอสังหาฯ ไว้ไปนานๆ เมื่ออยากขายต่อ ก็ทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นจากมูลค่าอสังหาฯ ที่ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา3. การลงทุนอสังหาฯ ระยะยาว นักลงทุนไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับเวลาเหมือนกับการลงทุนอสังหาฯ ระยะสั้น ทั้งนี้หากเก็บโครงการอสังหาฯ ไว้ไปนานๆ เมื่ออยากขายต่อ ก็ทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นจากมูลค่าอสังหาฯ ที่ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตามการลงทุนอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือการลงทุนระยะยาว ควรมองทั้งความสามารถทางการเงินของตนเองและปัจจัยความเสี่ยงในตลาดเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดผลกระทบต่อสภาพการซื้อ - ขายในตลาด จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาสภาพเศรษฐกิจในประเทศเกิดความสั่นคลอน สืบเนื่องจากสภาพตลาดอสังหาฯ กับเศรษฐกิจของประเทศ นั้นจำเป็นต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน และพบปรากฎการณ์หุ้นกู้มีสภาพคล่องแทนเงินได้ ครั้งแรกในไทย กับ หุ้นกู้แสนสิริ i-EASY ซื้อบ้าน คอนโด ทาวน์โฮมได้ แถมยังได้ดอกเบี้ยหุ้นกู้ต่อ! ในชีวิตของเรามักมีความต้องการต่างกันตามแต่ละช่วงอายุ เช่น วัยรุ่นอยากได้รองเท้าเท่ๆ สักคู่ เมื่อมีเงินเดือนเป็นของตัวเองก็อยากได้รถยนต์ อยากไปเที่ยวต่างประเทศ เมื่อฐานะมั่นคงก็ต้องการสร้างครอบครัว มีบ้านเดี่ยวสักหลัง ที่สำคัญมีเป้าหมายเก็บเงินเพื่อวัยเกษียณ
การลงทุนระยะสั้น ธรรมชาติของเป้าหมายทางการเงินระยะสั้น คือ เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว เช่น การท่องเที่ยว เก็บเงินดาวน์รถยนต์ ดังนั้น การจัดพอร์ตลงทุนจึงอยู่ในช่วง 1 – 3 ปี
การลงทุนระยะปานกลาง เป้าหมายการเงินระยะปานกลางมักเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต หรือยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เช่น มีบ้านเดี่ยว หรือเพื่อแต่งงาน ดังนั้น เป้าหมายการเก็บเงินจะอยู่ช่วงประมาณ 3 – 7 ปี
การลงทุนระยะยาว ถ้าพูดถึงแผนการเงินระยะยาวจะหมายถึงการวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ ดังนั้น ระยะเวลาการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับความต้องการเกษียณ เช่น ปัจจุบันอายุ 30 ปี ต้องการเกษียณตอน 60 ปี แสดงว่ามีเวลาในการก็บเงิน 30 ปี เป็นต้น การลงทุนระยะยาว ดีอย่างไรดังนั้นการลงทุนระยะยาว ยิ่งลงทุนได้นานมากเท่าไหร่โอกาสขาดทุนก็จะยิ่งน้อยลง แล้วการลงทุนระยะยาวก็ยังมีโอกาสช่วยทำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น หรือง่าย ๆ ว่าถ้าเราลงทุนผิดจังหวะเรายังมีเวลาให้ดัชนีวิ่งปรับตัวกลับมาได้ รวมถึงก็ยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำแต่ช่วยสร้างผลตอบแทนที่สูงอย่างต่อเนื่องได้ในระยะ ...
หุ้นตัวไหนน่าลงทุนระยะยาว 2565ประเมินระดับ SET Index ปี 2565 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1660 จุด และ คาดว่าจะมีกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณ 1550-1750 จุด แนะนำ 10 หุ้นเด่น ที่คาดว่าผลการดำเนินงานปี 2565 จะเติบโตเด่น ได้แก่ KBANK, AMATA, ZEN, LH และ GULF รวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจของโลกยุคใหม่ ได้แก่ DELTA, ADVANC, ...
การลงทุนแบบไหนดีที่สุดมีเงิน 10,000 บาท ลงทุนอะไรดี. 1. ฝากเงินในบัญชีดอกเบี้ยสูง ... . 2. สลากออมทรัพย์ ... . 3. พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์ ... . 4. หุ้นกู้ ... . 5. กองทุนรวม ... . 6. ลงทุนในหุ้น ... . 7. ออมทอง ... . 8. ลงทุนขายของ หรือเปิดธุรกิจ. ลงทุนทำธุรกิจอะไรดี 2023สินทรัพย์ที่แนะนำให้เก็บเข้าพอร์ตในปี 2023 ได้แก่ หุ้นจีน ธุรกิจ Healthcare ตราสารหนี้ระยะสั้น และกองทุนรวมผสม และไม่ลืมที่จะกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตยามเศรษฐกิจผันผวน
|