ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM คืออะไร

จากข้อมูลของ SEOTribunal.com พบกว่า ทุกๆ 1 นาทีจะมีคนเข้าเสิร์ชหาสิ่งที่ต้องการบน Google กว่า 3.8 ล้านครั้งเลยทีเดียว และจำนวนการเสิร์ชต่อวันนั้นมากถึง 5.6 พันล้านครั้ง 

โดยเว็บไซต์ที่ขึ้นอยู่ในหน้าแรกๆ ของการค้นหานั้น มีโอกาสที่จะ user จะ Click เข้าชมเว็บไซต์มากกว่าลำดับหลังๆ อย่างมีนัยยะสำคัญเลยทีเดียว 

แบรนด์จึงควรโฟกัสที่จะทำให้เว็บไซต์ของแบรนด์ไปขึ้นอยู่หน้าแรกๆ ของการค้นหาบน Google ให้ได้ เพื่อเพิ่ม Trafic เข้าเว็บไซต์ของแบรนด์ ซึ่งมีอยู่ 2 วิธีการนั่นคือการทำ SEO และ การทำ SEM ค่ะ 

เชื่อว่าหลายๆ แบรนด์คงเคยได้ยินทั้ง 2 คำมาอยู่แล้ว แต่อาจจะสับสนว่าแตกต่างกันอย่างไร และควรเริ่มทำอันไหนก่อน ทาง Predictive จึงขอเล่าความหมายของแต่ละคำกันก่อนค่ะ 

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

  • Search Engine Optimisation (SEO) คืออะไร ?​
  • Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร ?​ 
  • แบรนด์ควรโฟกัสที่ SEO หรือ SEM ?​
  • Guideline เบื้องต้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO 

Search Engine Optimisation (SEO) คืออะไร ?​

SEO เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของแบรนด์ขึ้นหน้าแรกของการค้นหาบน Search Engine โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา จากผลสำรวจของ Gartner พบว่าการใช้ SEO เองก็จัดอันดับเป็น Top 5 ของช่องทางที่สามารถสร้าง Marketing Qualified Leads (MQLs) ซึ่ง SEO นอกจากจะสร้าง Traffic เข้าเว็บไซต์แล้วยังช่วยสร้าง Lead ในระยะยาว, สร้างรายได้ทาง E-Commerce หรือสร้าง Community เพื่อไปต่อยอดทางธุรกิจได้อีกด้วย ซึ่งการจะทำ SEO ให้สำเร็จนั้นประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลักๆ ได้แก่ 

  1. On-page คือ เนื้อหา และ โครงสร้างต่างๆที่อยู่ภายในเว็บไซต์ของเรา เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed), ขนาดของภาพ (Image Size) ที่อยู่ในหน้าเว็บไม่ใหญ่เกินไป, รูปแบบการจัด Heading ที่อยู่ภายในหน้าเว็บ 
  2. Off-page คือปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อเว็บไซต์ของเรา เช่น  เว็บไซต์ต่างๆ มีการลิงก์มาหาเว็บไซต์เรา (Backlink) มากน้อยแค่ไหน ยิ่งมีเว็บไซต์คุณภาพลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์เรามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เว็บเรานั้นดูมีคุณภาพดีขึ้นในสายตาของ Search Engine 

การทำ SEO ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ในระยะยาว ทำให้แบรนด์ได้ Lead ที่มีคุณภาพจริงๆ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา และแม้จะหยุดทำ SEO สักพัก ก็ไม่ส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ใน Search Engine มากนัก จนกว่าจะมีคู่แข่งเบียดขึ้นมา 

Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร ?​ 

SEM เป็นการทำการตลาดบน Search Engine ซึ่งแบรนด์ต้องมีการประมูล Keyword เพื่อให้โฆษณาแสดงผลตามการค้นหาหน้าแรก โดยแบรนด์จะต้องจ่ายเงินตามจำนวนการคลิก หรือที่เรียกว่า PPC (Pay per click) โดยอันดับตำแหน่งของโฆษณาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Quality Score ที่ระบบจะดูว่าคำ Keyword ที่แบรนด์ประมูล มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน เมื่อแบรนด์หยุดจ่ายเงินค่าโฆษณาเมื่อไหร่ โฆษณาก็จะหยุดไปด้วย ซึ่งทำให้ยอด Traffic ที่เคยเยอะนั้นลดฮวบในพริบตา 

แบรนด์ควรโฟกัสที่ SEO หรือ SEM ?​

ทำควบคู่กันไป เพราะทั้ง 2 อย่างมีจุดประสงค์ และประโยชน์ที่ได้รับแตกต่างกัน 

โดยเริ่มทำ SEO ตั้งแต่วันนี้เพื่อสร้างรากฐานความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้าง Quality ให้กับเว็บไซต์ และสร้างคะแนนจาก Google ในระยะยาว 

ส่วนในพาร์ทของ SEM นำไปปรับใช้ตามธรรมชาติของธุรกิจ และตามกลยุทธ์ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น เมื่อออกแคมเปญใหม่ๆ แล้วต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากโดยทันที อย่างไรก็ตามหากแบรนด์มุ่งเน้นแต่การทำ SEM ก็ต้องเสียค่า CPC เพราะว่าเว็บไซต์มี Quality score ที่น้อย แต่หากมีการทำ SEO ควบคู่กันไป จะทำให้ได้ Quality Score ที่ได้เพิ่มขึ้นจาก Landing Page Quality Score

Guideline เบื้องต้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO 

  1. ส่ง Sitemap ให้ทาง Google เพื่อให้ Google รู้จักเว็บไซต์ของเรา
  2. [On-Page SEO] ทำให้เว็บไซต์รองรับขนาดหน้าจอหลากหลาย (Responsive Web Design) เช่น รองรับการทำงานทั้ง มือถือ ipad notebook และอุปกรณ์อื่นๆ 
  3. [On-Page SEO] ออกแบบหน้าเว็บไซต์ ให้มี Customer Experience ที่ดี ใช้งานง่าย เช่น การแบ่ง Category ที่ชัดเจน การเลือกใช้สี,font ที่เหมาะสม 
  4. [On-Page SEO] เว็บไซต์ต้องโหลดได้ไว โดยแบรนด์ควรทิ้งปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น ลดขนาดรูป โดยเเบรนด์สามารถเช็คคะแนนการความเร็วการดาวน์โหลดเว็บไซต์เบื้องต้นได้จาก Google Search Console 
  5. [On-Page SEO] หมั่นสร้างคอนเทนต์ที่ดี และแก้ปัญหาให้กับ user โดยเลือกใช้คำ Keyword ประกอบคอนเทนท์ที่มีคนเสิร์ชค้นหาเยอะ 
  6. [Off-Page SEO] สร้าง Backlink จากเว็บ / Social Media ที่มีคุณภาพให้ลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของแบรนด์ เช่น โพสต์เนื้อหาใน Mediem แล้วลิงก์เนื้อหาบางส่วนกลับมาที่เว็บไซต์ เป็นต้น 

เริ่มต้นทำ SEO กับ Predictive ตั้งแต่วันนี้ โดยในสโคปงานด้าน SEO สามารถวัดผลได้ตั้งแต่ Ranking ไปจนถึงการวัดผล Business Outcome เช่น รายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยเรามีทีม Data Analytics ช่วยแบรนด์วิเคราะห์ Performance ของ Organic Search ในเชิงลึก ที่ผ่านมาเราได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำ อาทิ Krungsri Consumer Group, Ngern Tid Lor, Nivea, Levi’s และอื่นๆ มากกว่า 50 แบรนด์

เมื่อพูดถึงการทำการตลาดออนไลน์บน Search Engine แน่นอนว่า จะต้องนึกถึงคำ 2 คำ นั่นคือ SEO และ SEM แต่คุณทราบหรือไม่ครับว่า 2 คำนี้คืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร? หากคุณเป็นมือใหม่อาจจะสับสนในเรื่องของการนิยามความหมายของ SEO กับ SEM อีกทั้ง อาจจะไม่แน่ใจว่าจะเลือกทำอะไรก่อน-หลังดี

ไม่ต้องไปหาคำตอบที่ไหนแล้วครับ วันนี้ผมได้รวบรวมเรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ SEO และ SEM มาไว้ให้คุณแล้ว โดยผมมีสิ่งสำคัญที่จะอธิบายให้คุณฟัง ดังนี้

  • SEO กับ SEM คืออะไร
  • ความแตกต่างของ SEO กับ SEM
  • ทำ SEO กับ SEM ดีอย่างไร
  • เทคนิคการทำ SEM (ทั้ง SEO และ PPC) พื้นฐาน
  • SEO กับ PPC ควรเริ่มทำอะไรก่อน-หลัง

หากหัวข้อเหล่านี้คือสิ่งที่คุณสนใจ ตามไปอ่านรายละเอียดพร้อมกันเลยดีกว่าครับ

เลือกอ่านตามหัวข้อ

  1. SEO กับ SEM คืออะไร
  2. ความแตกต่างของ SEO กับ SEM
  3. ทำ SEO กับ SEM ดีอย่างไร
  4. เทคนิคการทำ SEM (ทั้ง SEO และ Paid Search) พื้นฐาน
  5. สรุป

SEO กับ SEM คืออะไร

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM คืออะไร

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing

SEM คือ การทำการตลาดออนไลน์บนระบบ Search Engine อย่างเช่น Google Yahoo Baidu เป็นต้น (ซึ่งในบทความนี้จะขอพูดถึงเฉพาะการทำ SEM บน Google เป็นหลักนะครับ) ทำให้คนสามารถค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอได้จากการพิมพ์ Keyword สำคัญในเรื่องที่เกี่ยวข้อง

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization

ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ SEO คือ วิธีการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ Ranking แบบ Organic Search โดยอาศัยเทคนิคการปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ทาง Google กำหนด ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์ E-A-T Factor หรือ Core Web Vitals ซึ่งจะช่วยทำให้เว็บไซต์สามารถค้นหาเจอได้แบบเป็นธรรมชาติและไม่เสียเงินในการซื้อพื้นที่โฆษณานั่นเอง

ความแตกต่างของ SEO กับ SEM

หลายคนมักเข้าใจผิดว่า SEM คือ การทำการตลาดโดยการซื้อ Google Ads จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ เพราะ SEM นั้นเป็นเหมือน “ร่มใหญ่” ที่ครอบคลุมการทำการตลาดทั้งฝั่ง SEO หรือการทำ Organic Search เพื่อการค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอได้แบบธรรมชาติ และ PPC (Pay Per Click) ซึ่งหมายถึงการทำ Paid Search ที่เรารู้จักกันดีในนามของการทำ Google Ads 

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM คืออะไร

โดยตำแหน่งการปรากฏผลการค้นหาของ SEO หรือการทำ Organic Search และ PPC หรือการทำ Paid Search นั้น ตัว Paid Search จะอยู่ตำแหน่งด้านบนสุดหรือล่างสุดของหน้าผลลัพธ์การค้นหา และจะมีสัญลักษณ์ Ad ปรากฏขึ้นบริเวณด้านหน้า URL ของเว็บไซต์ 

ส่วนผลการค้นหาแบบ Organic Search จะปรากฏขึ้นต่อจากส่วนของ Paid Search โดยจะมีประมาณ 10 อันดับในแต่ละหน้า และจะถูกจัดอันดับตามคุณภาพของเว็บไซต์ที่ตรงตามเกณฑ์ที่ Google กำหนดไว้นั่นเอง

ทำ SEO กับ SEM ดีอย่างไร

สำหรับการทำ SEO กับ SEM นั้นส่งผลดีอย่างไรกับตัวเว็บไซต์หรือธุรกิจของคุณอย่างไรบ้าง? ผมขอลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้

  • การสร้าง Traffic : แน่นอนว่า การทำ SEO กับ SEM เป็นช่องทางการทำการตลาดที่ช่วยให้เว็บไซต์ได้ Traffic กลับมาทั้งในรูปแบบของ Organic Traffic และ Paid Traffic
  • การสร้าง Brand Awareness : เพราะการค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอบน Google ย่อมเป็นเหมือนการประชาสัมพันธ์ให้คนรู้ว่า คุณคือใคร ขายอะไร และจะช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้อย่างไร เพราะการทำ SEM SEO และ PPC นั้นจะต้องพึ่งพาการทำ Keyword Research ที่ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายสนใจด้วยนั่นเอง
  • การได้มาซึ่ง Lead : จากข้อที่แล้ว เมื่อคุณทำ Keyword ที่ตรงกับสิ่งที่คนค้นหา บวกกับเว็บไซต์ดี คอนเทนต์คุณภาพ และรู้เทคนิคการทำ SEO กับ SEM อย่างดีแล้ว ก็ย่อมได้มาซึ่ง Lead ที่มีโอกาสจะกลายเป็นลูกค้ามากยิ่งขึ้น
  • โอกาสในการสร้าง Conversion : เพราะการทำ SEM SEO และ Paid Search สามารถโยงไปถึงขั้นปิดการขายได้ (ถ้าทำเป็น) ซึ่งก็จะช่วยทำให้คุณสร้างยอดขายและกำไรจากการทำการตลาดในช่องทางนี้ได้ด้วย

เทคนิคการทำ SEM (ทั้ง SEO และ Paid Search) พื้นฐาน

อย่างที่ผมบอกไปแล้วนะครับว่า ในการทำ SEM จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 

  • การทำ Organic Search อย่าง SEO 
  • การทำ Paid Search อย่าง PPC 

มาดูกันดีกว่าว่า มีเรื่องพื้นฐานอะไรที่คุณต้องรู้บ้างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้

เทคนิคการทำ SEO

การทำ SEO เป็นแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ติดอันดับในหน้า Search Engine ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น…

  1. การทำ Keyword Research 

เป็นวิธีการวางแผน Keyword ให้กับเว็บไซต์ เพื่อหาว่าผู้ใช้งานหรือลูกค้าส่วนใหญ่มักจะค้นหาด้วยคำค้นหาแบบไหน ซึ่งผมเคยเขียนเรื่องนี้แบบละเอียดเอาไว้ที่ Keyword Research คืออะไร สอนวิธีหาคีย์เวิร์ด วิเคราะห์เชิงลึก สำหรับผู้เริ่มต้นทำ SEO [ 2022 ] เกี่ยวกับประเภทของ Keyword รวมไปถึงวิธีการหา Keyword ไปจนถึงการคัดเลือก Keyword ที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO เลยทีเดียวครับ

  1. การทำ Technical SEO

เพราะการทำ SEO มีเทคนิคที่ต้องระดมเทคนิคเข้ามาจัดสร้างในเว็บไซต์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเนื้อหาในเว็บ หรือการวางแผน Keyword แต่จะเน้นไปที่การปรับแต่งโครงสร้างและระบบหลังบ้านให้ดีต่อ SEO ในหลายๆ ด้าน เพื่อให้ Google มองโครงสร้างของเว็บไซต์ว่ามีความง่ายดาย เช่น 

  • การทำ HTTPS ที่ถือเป็นระบบการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีการเข้ารหัส เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานเว็บไซต์
  • การทำ Redirect เพื่อแก้ปัญหาหน้าเว็บไซต์ที่พังหรือหายไป เช่น การทำ Redirect 301 เป็นต้น
  1. การทำ Website Structure

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM คืออะไร

เป็นการวางโครงสร้างของเว็บไซต์ เพื่อให้ Bot เข้ามาจัดทำดัชนี (Index) ของเว็บไซต์ได้ง่าย ช่วยให้ Bot มองเห็นว่า แต่ละหน้าของเว็บไซต์เชื่อมโยงกันอย่างไร และช่วยให้การใช้งานในฝั่งของ User เองเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้นด้วย (ลองทำความรู้จักกับ Site Structure หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า Sitemap ได้ที่ Sitemap คืออะไร ? ศึกษาความสำคัญของ Sitemap อีกหนึ่งองค์ประกอบของการทำ SEO)

  1. การทำ On-Page SEO

เป็นวิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ เช่น การปรับแต่ง Title tags , Meta Description ด้วยการใส่ keyword ที่เกี่ยวข้องลงไป, การใส่ HTML Tags (H1, H2, H3..), การทำ Internal Link ในบทความ เป็นต้น ซึ่งเทคนิคการทำ On-Page SEO เหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์สามารถติดหน้าแรกเมื่อมีการค้นหาบน Google ให้กับคุณด้วยเช่นเดียวกัน

  1. การทำ Off-Page SEO

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM คืออะไร

การทำ Off-Page SEO จะเกี่ยวข้องกับการทำ Link Building กลับมายังเว็บไซต์ โดยคุณจะต้องทำการหา Backlink ที่มีคุณภาพ และเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งเป็นวิธีการทำ SEO แบบสายขาว ที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ใช้งานและ Search Engine แบบยั่งยืนอีกด้วย

  1. การทำคอนเทนต์

ไม่ใช่การเขียนคอนเทนต์ทั่วไป แต่จะต้องเป็นการเขียนคอนเทนต์ในเชิง SEO ด้วย โดยคุณจะต้องเข้าใจในเรื่องของ Search Intent ของผู้ใช้งานว่า ทำไมเขาถึงค้นหาคำนั้นๆ ลงบน Search Engine เพื่อที่จะได้ผลิตคอนเทนต์ออกมาได้ตรงกับสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ และช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้อย่างตรงจุด ซึ่งนี่คือปัจจัยหนึ่งที่ทาง Search Engine อย่าง Google จะจัดอันดับให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นได้ด้วย

มาถึงการทำโฆษณาบน Google ซึ่งเป็นอีกหนึ่งขาของ SEM นั่นคือการทำ Paid Search หรือที่หลายคนเรียกว่า PPC ซึ่งจะมีสิ่งที่คุณต้องรู้ในขั้นพื้นฐาน ดังต่อไปนี้

  1. การ Bidding

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM คืออะไร

การทำโฆษณาจะต้องทำการ Bidding หรือคือการประมูลราคา เพื่อเสนอราคาที่อยากจะจ่ายสำหรับการขึ้นโฆษณาในอันดับต่างๆ บนหน้าแรกของโฆษณาบน Google โดยอาจจะทำการจ่ายค่าโฆษณาตามจำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาเพื่อเข้าไปชมในเว็บไซต์ (Pay Per Click : PPC) ผ่านการสร้างแคมเปญโฆษณาตาม Keyword ที่วางแผนไว้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยความชำนาญ และเข้าใจในเรื่องของการตั้งค่าเพิ่มเติมด้วย

  1. การทำ Quality Score

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM คืออะไร

Quality Score ถือเป็น Metrics สำคัญมากสำหรับการทำ Paid Search โดย Google จะตีคะแนนของ Keyword ที่ใช้อยู่ มีคุณภาพมากแค่ไหน และตรงกับสิ่งที่คนเสิร์ชต้องการหรือไม่ มีการดูคุณภาพของหน้า Landing Page ประกอบ รวมถึงดู Click Through Rate (CTR) ของ Ads ของคุณว่ามีคนคลิกหรือไม่ ซึ่งการมีคะแนน Quality Score สูง ก็จะช่วยให้อันดับโฆษณาสูงขึ้น แสดงบ่อยขึ้น และค่าคลิกถูกลงอีกด้วย

  1. การทำ Ad Copy

การเขียน Copy ของโฆษณาที่ดีย่อมช่วยให้การทำ Paid Search เพราะการทำข้อความโฆษณาที่ดี = CTR สูง และ CTR หมายถึง คะแนนคุณภาพที่ดี หมายความว่าคุณจะจ่ายค่าโฆษณาน้อยลงนั่นเอง

SEO กับ PPC ควรเริ่มทำอะไรก่อน-หลัง

ถือว่าเป็นคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัยนะครับว่า แล้วแบบนี้การทำ SEM บน Search Engine ควรที่จะทุ่มให้กับการทำ SEO หรือ Paid Search มากกว่ากัน เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยดังนี้

คุณจะโฟกัสการทำ SEO ก็ต่อเมื่อ…

  1. คุณมีงบประมาณที่จำกัด 

ถ้าหากคุณทำเว็บไซต์เอง เป็นสตาร์ทอัพหรือเป็นธุรกิจขนาดเล็กก็อาจจะไม่ได้มีงบประมาณในการทำการตลาดมาก จึงจะเหมาะกับการทำ SEO ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินมากมาย เพียงแต่คุณจะต้องลงแรงในการทำเว็บไซต์ และรอผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่นานกว่าหน่อยเท่านั้นเอง

  1. คุณสามารถรอได้

อย่างที่บอกไปแล้วนะครับว่า การทำ SEO จะใช้เวลา หากคุณสามารถค่อยๆ ทำ และรอผลลัพธ์ให้เกิดการติดอันดับแบบเป็นธรรมชาติได้ การทำ SEO คือคำตอบสำหรับคุณครับ

  1. เว็บไซต์ของคุณมี Link Building ที่ดี

หากคุณทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพมาก และได้รับการอ้างอิงที่ดีจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่น่าเชื่อดีและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วยล่ะก็…นี่คือโอกาสที่ดีที่จะปั้นเว็บไซต์ให้ติด SEO มากๆ ครับ เพราะการทำ Link Building เป็นอีกหนึ่งขาของ Off-Page SEO ที่มีผลต่อการจัดอันดับด้วยเช่นกัน

คุณจะโฟกัสการทำ PPC ก็ต่อเมื่อ…

  1. คุณมีงบประมาณในการยิงโฆษณาที่สม่ำเสมอ

เพราะการทำโฆษณาอาจจะต้องทำการ Testing เพื่อหา Ads ที่ดีที่สุดในแต่ละ Keyword แน่นอนว่า ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะลงโฆษณายังไง หรือจะปรับปรุง Ads ให้ดีขึ้นอย่างไร การใช้เงินในการทำ Paid Search ก็จะเหมือนกับการนำเงินไปละลายลงแม่น้ำเลยทีเดียว ซึ่งคุณก็ควรที่จะมี Budget ที่สม่ำเสมอในการทดลอง วิเคราะห์ และปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหา Ads ที่ดีที่สุดให้เจอนั่นเอง

  1. คุณสามารถสร้างและทดสอบ Landing Page ได้

การทำโฆษณา Google Ads ที่ได้ผลคุณจำเป็นต้องทำหน้า Landing Page ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของโฆษณาในแต่ละ Keyword ซึ่งถ้าหากคุณสามารถสร้างหน้า Landing Page พร้อมทำการทดสอบ A/B Testing ด้วยได้ก็จะช่วยทำให้การทำโฆษณาของคุณมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

  1. คุณใช้งาน Ads Account ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากการทำ Paid Search จำเป็นต้องใช้ Ads Account ในการจัดการแคมเปญต่างๆ หากคุณเข้าใจและสามารถใช้งานเครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ก็จะช่วยทำให้การทำโฆษณาง่ายมากขึ้นได้ด้วย

สรุป

จะเห็นว่า SEM เป็นเหมือนหัวข้อหลักที่ครอบคลุมทั้งการทำ SEO และ PPC เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนี้คือการทำการตลาดกับ Search Engine อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของวิธีการใช้เครื่องมือ หรือคอนเซปต์ในการทำ แต่แก่นสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับ Search Engine ที่ไม่ว่าจะเป็น SEM SEO หรือ PPC ที่ผมอยากจะฝากไว้ 3 เรื่อง คือ

  1. Keyword

ไม่ว่าคุณจะทำ SEO หรือ Paid Search ก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง Keyword เพราะถ้าหากคุณเลือก Keyword ได้แม่นยำ ตรงกลุ่มเป้าหมาย ก็จะช่วยทำให้ได้ Taffic ที่มีโอกาสเปลี่ยนเป็นกลุ่มลูกค้าได้ง่าย อีกทั้งในการทำโฆษณาก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการ Bid ซื้อ Keyword ที่ไม่จำเป็นออกไปได้ด้วย

  1. Quality Website

อย่าลืมที่จะปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณภาพ โดยการใช้เกณฑ์ของทาง Google เป็นแกนหลักในการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น การทำ Mobile Friendly, การให้ความสำคัญเรื่อง Website Speed, การปรับปรุง Sitemap, การทำให้เว็บไซต์มี UX ที่ดี เป็นต้น

  1. Content

ในพาร์ทของการทำคอนเทนต์ก็เป็นเรื่องสำคัญในการทำ SEM กับ SEO และ PPC เช่นกัน เพราะถ้าหากคุณทำคอนเทนต์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายค้นหา และไม่มีประโยชน์มากพอ ก็จะทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีคุณภาพ ไม่ถูกจัดอันดับ เนื่องจากไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาให้ User ที่ค้นหา Keyword นั้นๆ ได้อย่างแท้จริง

และนี่คือ 3 เรื่องสุดท้ายที่อยากจะฝากไว้ ก็หวังว่า บทความนี้จะช่วยทำให้คุณเข้าใจความแตกต่างของ SEO กับ SEM รวมถึงมองเห็นวิธีการเริ่มต้นทำ SEO กับ SEM รวมถึง PPC ได้มากขึ้นด้วยนะครับ