รักษา ไวรัส ตับ อักเสบ ซี ที่ไหน ดี

โรคไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดต่อทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์ คล้ายกับโรคไวรัสตับอักเสบบีระยะแรกจะทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน แต่โดยมากผู้ป่วยมักจะไม่แสดงอาการ หากปล่อยไว้โดยไม่รีบรักษา นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้

กลุ่มเสี่ยง

  • มีประวัติรับเลือดก่อน พ.ศ. 2534 (ปีที่เริ่มมีการตรวจหาเชื้อไวรัส)
  • ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด
  • ผู้สักลายด้วยเครื่องมือที่ไม่สะอาด
  • ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ที่รักษาด้วยการล้างไต
  • ผู้ป่วยเอชไอวี

ป้องกันตนเองอย่างไร

  • หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์สัก หรือเข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • สวมถุงมือหากต้องสัมผัสเลือด
  • สวมใส่ถุงยางอนามัยหากมีคู่นอนหลายคน
  • ตรวจร่างกายเพื่อประเมินการทำงานของตับเป็นประจำทุกปี

ข้อมูล ณ วันที่ 28 กันยายน 2569
ที่มา : ศ. นพ.พิสิฐ ตั้งกิจวานิชย์
ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโรคตับอักเสบและมะเร็งตับ

ด้วยวิวัฒนาการและความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ได้มีการค้นพบยาตัวใหม่สำหรับรักษาไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งเป็นยารับประทาน สามารถออกฤทธิ์เจาะจง และยับยั้งไวรัสตับอักเสบซีโดยเฉพาะ มีผลข้างเคียงน้อยมาก หากรับประทานยาต่อเนื่องผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดสูงมากถึงร้อยละ 90 – 95

ประชากรทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 3% ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคตับอักเสบซีมักจะไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ เพราะผู้ป่วยในระยะแรกของโรคมักจะไม่มีอาการ

แชร์

โรคไวรัสตับอักเสบซี

ภาวะตับอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี การใช้ยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรและเสริมอาหารบางประเภท การได้รับสารพิษ โรคไขมันเกาะตับ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และโรคพันธุกรรมบางโรค เป็นต้น

ประชากรทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 3% ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคตับอักเสบซีมักจะไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ เพราะผู้ป่วยในระยะแรกของโรคมักจะไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง แต่การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังจะทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับตามมาได้

สาเหตุ

ไวรัสตับอักเสบซีสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการรับเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่าง

  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
  • การรับเลือดที่ไม่ผ่านการคัดกรองตรวจหาเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับเลือดก่อนปี พ.ศ. 2533 ซึ่งยังไม่มีการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
  • การฉีดยาที่ใช้เข็มฉีดยาซ้ำๆ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • การสักหรือเจาะร่างกายด้วยเข็มที่ใช้ร่วมกับผู้อื่นซ้ำๆ
  • การใช้สิ่งของที่อาจจะปนเปื้อนเชื้อไวรัสร่วมกัน เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน และใช้หลอดสูดสารเสพติด เช่น โคเคน

ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์อยู่ที่ประมาณ 5% โรคไวรัสตับอักเสบซีไม่ติดต่อทางการกอด จูบ ไอ จาม การรับประทานอาหารที่ใช้อุปกรณ์ทานอาหารร่วมกัน หรือการสัมผัสใด ๆ ที่ไม่ปนเปื้อนเลือด

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบซี

ในระยะแรกผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีมักจะไม่มีอาการ บางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย ความอยากอาหารน้อยลง คลื่นไส้ อ่อนแรง ปวดข้อและกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด แต่อาการเหล่านี้มักพบได้ไม่บ่อย

การตรวจวินิจฉัย

บุคคลทั่วไปควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบซีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ด้วยการตรวจเลือด “anti-HCV หรือ HCV antibody” และในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติใช้เข็มฉีดสารเสพติด ควรได้รับการตรวจคัดกรองซ้ำเป็นประจำ หากตรวจพบ anti-HCV ในเลือดแล้ว จะต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อวางแผนในการรักษา ได้แก่ ตรวจค่าการทำงานของตับ ปริมาณไวรัสในเลือด ตรวจอัลตราซาวด์ตับ ตรวจวัดความยืดหยุ่นของตับโดยการทำไฟโบรสแกน หรือเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับ ซึ่งปัจจุบันมีการเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับลดลง

นอกจากนี้แพทย์มักจะสั่งตรวจหาการติดเชื้อและภูมิคุ้มกันของไวรัสตับอักเสบเอ และไวรัสตับอักเสบบี หากไม่พบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเอและบี แพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และหากพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วยกับไวรัสตับอักเสบซีผู้ป่วยควรจะได้รับการรักษาไวรัสทั้งสองชนิด

การรักษา

ไวรัสตับอักเสบซี มีทั้งหมด 6 ชนิด หรือ 6 genotype ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีชนิดรับประทานในปัจจุบันสามารถครอบคลุมการรักษาไวรัสได้ทั้ง 6 ชนิด โดยมีอัตราการหายขาดสูงมากกว่า 90% หากไม่มีโรคตับแข็งมาก่อน ผู้ป่วยต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ก่อนกินยารักษาไวรัสเสมอ  เพื่อแพทย์จะได้ช่วยประเมินยาโรคประจำตัวที่รับประทานต่อเนื่องมาก่อนและเฝ้าระวังผลข้างเคียงของการรักษา ระยะเวลาในการรับประทานยาอยู่ระหว่าง 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส (genotype) ภาวะตับแข็ง และการรักษาก่อนหน้านี้ เพื่อให้ผลการรักษามีความสำเร็จผู้ป่วยจำเป็นจะต้องรับประทานยาสม่ำเสมอและตรงเวลาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา

หลังการรักษาแล้วผู้ป่วยควรได้รับการตรวจติดตามการนับจำนวนไวรัสเมื่อครบ 3 – 6 เดือน เพื่อตรวจว่าหายขาดจากการติดเชื้อหรือไม่ ผู้ที่เป็นตับแข็งไปแล้วควรได้รับการทำอัลตราซาวด์ตับและเจาะเลือดตรวจค่า AFP ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งตับระยะต้น เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้จะยังคงมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้แม้ความเสี่ยงนั้นจะลดน้อยลงหลังรักษาไวรัสตับอักเสบแล้วก็ตาม

ผู้ป่วยที่รักษาไวรัสตับอักเสบซีหายขาดแล้ว จะไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อซ้ำ ผู้ป่วยจะยังสามารถติดเชื้อใหม่ได้หากรับเชื้อมาอีก