โรคไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดต่อทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์ คล้ายกับโรคไวรัสตับอักเสบบีระยะแรกจะทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน แต่โดยมากผู้ป่วยมักจะไม่แสดงอาการ หากปล่อยไว้โดยไม่รีบรักษา นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ กลุ่มเสี่ยง
ป้องกันตนเองอย่างไร
ข้อมูล ณ วันที่ 28 กันยายน 2569 ด้วยวิวัฒนาการและความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ได้มีการค้นพบยาตัวใหม่สำหรับรักษาไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งเป็นยารับประทาน สามารถออกฤทธิ์เจาะจง และยับยั้งไวรัสตับอักเสบซีโดยเฉพาะ มีผลข้างเคียงน้อยมาก หากรับประทานยาต่อเนื่องผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดสูงมากถึงร้อยละ 90 – 95 ประชากรทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 3% ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคตับอักเสบซีมักจะไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ เพราะผู้ป่วยในระยะแรกของโรคมักจะไม่มีอาการ แชร์โรคไวรัสตับอักเสบซีภาวะตับอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี การใช้ยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรและเสริมอาหารบางประเภท การได้รับสารพิษ โรคไขมันเกาะตับ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และโรคพันธุกรรมบางโรค เป็นต้น ประชากรทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 3% ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคตับอักเสบซีมักจะไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ เพราะผู้ป่วยในระยะแรกของโรคมักจะไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง แต่การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังจะทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับตามมาได้ สาเหตุไวรัสตับอักเสบซีสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการรับเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่าง
ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์อยู่ที่ประมาณ 5% โรคไวรัสตับอักเสบซีไม่ติดต่อทางการกอด จูบ ไอ จาม การรับประทานอาหารที่ใช้อุปกรณ์ทานอาหารร่วมกัน หรือการสัมผัสใด ๆ ที่ไม่ปนเปื้อนเลือด อาการของโรคไวรัสตับอักเสบซีในระยะแรกผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีมักจะไม่มีอาการ บางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย ความอยากอาหารน้อยลง คลื่นไส้ อ่อนแรง ปวดข้อและกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด แต่อาการเหล่านี้มักพบได้ไม่บ่อย การตรวจวินิจฉัยบุคคลทั่วไปควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบซีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ด้วยการตรวจเลือด “anti-HCV หรือ HCV antibody” และในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติใช้เข็มฉีดสารเสพติด ควรได้รับการตรวจคัดกรองซ้ำเป็นประจำ หากตรวจพบ anti-HCV ในเลือดแล้ว จะต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อวางแผนในการรักษา ได้แก่ ตรวจค่าการทำงานของตับ ปริมาณไวรัสในเลือด ตรวจอัลตราซาวด์ตับ ตรวจวัดความยืดหยุ่นของตับโดยการทำไฟโบรสแกน หรือเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับ ซึ่งปัจจุบันมีการเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับลดลง นอกจากนี้แพทย์มักจะสั่งตรวจหาการติดเชื้อและภูมิคุ้มกันของไวรัสตับอักเสบเอ และไวรัสตับอักเสบบี หากไม่พบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเอและบี แพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และหากพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วยกับไวรัสตับอักเสบซีผู้ป่วยควรจะได้รับการรักษาไวรัสทั้งสองชนิด การรักษาไวรัสตับอักเสบซี มีทั้งหมด 6 ชนิด หรือ 6 genotype ยารักษาไวรัสตับอักเสบซีชนิดรับประทานในปัจจุบันสามารถครอบคลุมการรักษาไวรัสได้ทั้ง 6 ชนิด โดยมีอัตราการหายขาดสูงมากกว่า 90% หากไม่มีโรคตับแข็งมาก่อน ผู้ป่วยต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ก่อนกินยารักษาไวรัสเสมอ เพื่อแพทย์จะได้ช่วยประเมินยาโรคประจำตัวที่รับประทานต่อเนื่องมาก่อนและเฝ้าระวังผลข้างเคียงของการรักษา ระยะเวลาในการรับประทานยาอยู่ระหว่าง 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส (genotype) ภาวะตับแข็ง และการรักษาก่อนหน้านี้ เพื่อให้ผลการรักษามีความสำเร็จผู้ป่วยจำเป็นจะต้องรับประทานยาสม่ำเสมอและตรงเวลาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา หลังการรักษาแล้วผู้ป่วยควรได้รับการตรวจติดตามการนับจำนวนไวรัสเมื่อครบ 3 – 6 เดือน เพื่อตรวจว่าหายขาดจากการติดเชื้อหรือไม่ ผู้ที่เป็นตับแข็งไปแล้วควรได้รับการทำอัลตราซาวด์ตับและเจาะเลือดตรวจค่า AFP ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งตับระยะต้น เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้จะยังคงมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้แม้ความเสี่ยงนั้นจะลดน้อยลงหลังรักษาไวรัสตับอักเสบแล้วก็ตาม ผู้ป่วยที่รักษาไวรัสตับอักเสบซีหายขาดแล้ว จะไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อซ้ำ ผู้ป่วยจะยังสามารถติดเชื้อใหม่ได้หากรับเชื้อมาอีก |