FinTech Show
Startups Innovation Digital EC, O2O, Omnichannel Payment, Cashless Multi-store management 02.02.2022 【FinTech】ใช้งาน FinTech อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดใช้งาน FinTech อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดสิ่งที่เห็นได้ชัดในโลกปัจจุบัน คือ ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินถูกทำให้เป็นรูปแบบดิจิทัลได้ทั้งหมด ทั้งการโอนเงิน หรือชำระเงิน จากเดิมการทำธุรกรรมจะต้องใช้เวลามากพอสมควร แต่ทุกวันนี้สามารถจบกระบวนการได้ด้วยเวลาไม่กี่นาที เทคโนโลยีทางการเงินจึงกลายเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการพัฒนาธุรกิจ ในมุมมองของ คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์บริษัท TARAD.com ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ E-commerce หรือ E-Payment และอีกบทบาทหนึ่งเป็นนักลงทุนด้าน Startup อันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ได้ให้มุมมองว่า FinTech เปรียบเสมือนเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การเงินเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น โดย FinTech เกิดจาก 2 คำมารวมกัน ซึ่ง Fin คือ Financial ส่วน Tech คือ Technology จึงกลายเป็นการเงินที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ในอดีตเราอาจจะนึกถึงการเงินในรูปแบบการให้บริการจากธนาคาร แต่ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีกับการเงินรวมเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ธุรกรรมทางการเงินรวดเร็วขึ้น รูปแบบของ FinTechคุณภาวุธ กล่าวว่า FinTech ได้กลายเป็นสิ่งที่เราพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีทั้งหมด 7 รูปแบบ ประกอบด้วย 1.FinTech ในรูปแบบธนาคาร (Banking) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี เช่น การฝากเงิน ถอนเงิน กู้เงิน หรือทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ของธนาคาร 2. FinTech ในรูปแบบคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) เป็นการกู้เงินรูปแบบใหม่ที่ระดมทุนจากคนหมู่มาก ทำให้ผู้กู้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนก้อนใหญ่ได้ ซึ่งในประเทศไทยมี Crowdfunding หลายแห่ง เช่น เพียร์ พาวเวอร์ (PeerPower) แพลตฟอร์มหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงที่เชื่อมต่อผู้ประกอบการและนักลงทุนเข้าด้วยกัน 3. คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นมาในช่วงที่มูลค่าของเงินถดถอย โดย Cryptocurrency จะมีบทบาทอย่างมากในโลกของ FinTech เพราะจะถูกนำมาใช้ในหลาย ๆ อุตสาหกรรม เช่น ปัจจุบันมี Decentralized Finance (DeFi) หรือแม้กระทั่งการนำ Cryptocurrency มาใช้ในอุตสาหกรรมเกม หรือ GameFi 4. FinTech ด้านการชำระเงิน หรือ Payment Technology โดยปัจจุบัน FinTech ประเภทนี้ทำให้มีช่องทางการจ่ายเงินที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การโอนเงินผ่าน PromptPay หรือการชำระเงินผ่าน Wallet ต่าง ๆ 5. ซอฟต์แวร์สำหรับการวางแผนการจัดการด้านการเงิน (Enterprise Financial Software) จากเดิมเราอาจจะต้องจัดทำรายงาน หรือวางแผนจัดการด้านการเงินด้วยรูปแบบเดิม แต่ปัจจุบันการทำธุรกรรมการเงินมี Software เข้ามาช่วย ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มบัญชีที่ช่วยให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการด้านการเงินได้ง่ายมากขึ้น 6. การบริหารจัดการด้านการลงทุน (Investment Management) โดยการเติบโตของอุตสาหกรรม FinTech ทำให้มีการบริหารจัดการด้านแหล่งเงินทุนหลากหลายมากขึ้น ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มอย่าง Finnomena หรือ Jitta Wealth รวมถึง Odini ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการบริหารด้านการลงทุนอย่างครบวงจร ที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการพอร์ตกองทุนรวมให้กับผู้ใช้ และยังสามารถตรวจสอบผลตอบแทนจากการลงทุนได้ทันที 7. FinTech ด้านประกันภัย (Insurance Technology) โดยการทำประกันในรูปแบบเดิมนั้น ผู้ซื้อประกันและตัวแทนขายประกันจะต้องพบปะพูดคุยและทำสัญญาผ่านกระดาษ แต่ปัจจุบัน FinTech เปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นดิจิทัล ส่งผลให้บริษัทประกันภัยสามารถปิดการขาย และให้ความคุ้มครองลูกค้าได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล บทบาทของ FinTech ในประเทศไทย (adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});คุณภาวุธ กล่าวว่า ปัจจุบันมี FinTech จากต่างประเทศเข้ามาให้บริการในประเทศไทยจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น การใช้บริการ Line แอปพลิเคชัน ที่เปิดให้ผู้ใช้งานซื้อสติกเกอร์ผ่าน Line pay หรือแม้กระทั่งการซื้อสินค้าผ่านทาง Ebay ที่ต้องชำระเงินผ่าน PayPal ซึ่งเบื้องหลังคือ FinTech ประเภทหนึ่ง ขณะที่ภาพรวม FinTech ในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมาก จากเดิมธุรกิจด้าน FinTech จะมีเพียงสถาบันการเงินเป็นผู้ให้บริการเท่านั้น แต่ปัจจุบันมี Startup ใหม่ ๆ เข้ามาทำให้ตลาดเติบโตขึ้น ซึ่งธนาคารเองต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ FinTech นอกจากนี้ รัฐบาลก็ต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน เพราะสถานการณ์ COVID-19 ทำให้จำเป็นต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านช่องทางดิจิทัล โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้สร้าง FinTech ของตัวเองคือ แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง ทำให้เห็นว่า FinTech กลายเป็นเครื่องมือหลักที่รัฐบาลนำมาใช้ และในอนาคตจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับโลก FinTech กับการนำไปใช้ในธุรกิจคุณภาวุธ กล่าวว่า ทุกอุตสาหกรรมสามารถนำ FinTech ไปใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจได้ เพราะธุรกรรมทางการเงิน เช่น การบริหารกระแสเงินสด การตรวจสอบเงิน หรือการปล่อยสินเชื่อ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจ “FinTech ช่วยให้การบริการจัดการง่ายขึ้น จากเดิมหากผู้บริหารต้องการตรวจสอบงบการเงินของบริษัทอาจจะต้องรอฝ่ายบัญชีเก็บข้อมูลซึ่งอาจจะล่าช้า แต่ปัจจุบันสามารถใช้เครื่องมือ FinTech เพื่อตรวจสอบข้อมูลได้ทันที จึงนำมาสู่การตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น และผลลัพท์จะตามมาด้วยรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น” ทั้งนี้ในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีความต้องการ FinTech แตกต่างกันออกไป เช่น บริษัท SME จะมีความต้องการเรื่องของแหล่งเงินทุน ซึ่งการให้บริการสินเชื่อแบบเดิม ๆ จะต้องกู้เงินกับทางธนาคาร แต่ปัจจุบันมีแหล่งเงินกู้ผ่าน Crowdfunding แม้กระทั่งการกู้เงินส่วนบุคคล ปัจจุบันก็สามารถกู้ได้จาก Line Bk หรือแอปพลิเคชันฟินนิกซ์ (FINNIX) สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ FinTech ก็เข้ามาเป็นตัวช่วยได้ดี เช่น แพลตฟอร์มที่ชื่อว่า E-Factoring ซึ่งช่วยให้ธุรกิจได้รับสินเชื่อจากใบเสร็จได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเราขายของให้กับลูกค้าและได้รับใบเสร็จ เราสามารถนำใบเสร็จมาเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ โดยการนำใบเสร็จอัปโหลดขึ้นในแพลตฟอร์มเพื่อทำการวิเคราะห์วงเงินสินเชื่อจาก Credit Score และสามารถอนุมัติวงเงินได้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งแตกต่างจากการขอสินเชื่อจากใบเสร็จรูปแบบเดิม ที่จะต้องนำใบเสร็จไปขอกับทางธนาคารด้วยตัวเอง และมีขั้นตอนที่ซับซ้อน ส่งผลให้การขอสินเชื่อต้องใช้เวลานานกว่า “ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ FinTech ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อทุกธุรกิจในประเทศไทยมีการใช้ FinTech อย่างแพร่หลาย สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเศรษฐกิจในประเทศก็จะดีขึ้นเช่นเดียวกัน” FinTech สามารถใช้ในธุรกิจได้อย่างครบวงจร (adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});คุณภาวุธ ได้ยกตัวอย่างการนำ FinTech มาใช้ในธุรกิจอย่างครบวงจรจากประสบการณ์ของตัวเอง คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับวิตามินบำรุงเส้นผม ซึ่งได้นำ FinTech มาใช้ตั้งแต่การหาแหล่งเงินทุนจากคราวด์ฟันดิง ที่มีความสะดวกรวดเร็วกว่าการหาแหล่งเงินทุนรูปแบบเดิมที่จะต้องกู้เงินจากธนาคารเท่านั้น ซึ่งรูปแบบการกู้เงินธนาคารอาจจะต้องใช้สินทรัพย์เพื่อค้ำประกัน และล่าช้า แต่เมื่อใช้คราวด์ฟันดิงก็ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ และป้อนข้อมูลบริษัทและงบการเงินเข้าไปได้ทันที หลังจากนั้นใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงธุรกิจก็ได้รับการอนุมัติเงินก้อนและนำมาดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้รับเงินทุนมาเพื่อดำเนินธุรกิจเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเป็นการใช้งาน FinTech กับระบบบัญชี ซึ่งบริษัทของคุณภาวุธได้ใช้แพลตฟอร์มบัญชีอัตโนมัติ PEAK Engine ที่สามารถสรุปข้อมูลบัญชีได้อัตโนมัติ ทำให้ได้รับข้อมูลทางการเงินที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น และบริษัทของคุณภาวุธ ยังใช้แพลตฟอร์มสำหรับการเบิกจ่ายที่ชื่อว่า E-Signature สำหรับการเซ็นเอกสารออนไลน์ ซึ่งสามารถยืนยันตัวเจ้าของลายมือชื่อได้ และการเซ็นเอกสารออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มนี้มีผลทางกฎหมายไม่ต่างกับการเซ็นเอกสารรูปแบบเดิม อีกทั้งยังได้นำระบบยืนยันตัวตนลูกค้าออนไลน์มาใช้ด้วยระบบ E-KYC ซึ่งสามารถตรวจสอบข้อมูล และระบุตัวตนของลูกค้าได้ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ เพิ่มความปลอดภัยให้กับการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ คุณภาวุธยังได้ใช้ FinTech สำหรับการชำระเงินออนไลน์อย่างแพลตฟอร์ม Pay Solutions ซึ่งสามารถรองรับบริการซื้อขายสินค้าออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ และยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มให้ลูกค้าสามารถชำระสินค้าผ่าน Cryptocurrency ได้อีกด้วย นี่คือตัวอย่างของการใช้ FinTech อย่างครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบกระบวนการ แสดงให้เห็นแล้วว่า FinTech สามารถใช้ได้ในทุกธุรกิจและทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจ จะเริ่มต้นนำ FinTech มาใช้กับธุรกิจอย่างไร?อนาคตของ FinTech ในประเทศไทยมีโอกาสที่จะได้เห็นการเติบโตสูงและรวดเร็ว เพราะเศรษฐกิจของไทยกำลังเข้าสู่ดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกธุรกิจจึงต้องการซอฟต์แวร์สำหรับการบริหารธุรกิจให้เติบโตขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการที่จะนำ FinTech มาใช้กับธุรกิจจะต้องทำความเข้าใจ และศึกษาเครื่องไม้เครื่องมือด้าน FinTech ให้มากขึ้น รวมถึงก้าวผ่านข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง เพราะการทำธุรกิจนั้นจะมีบางส่วนงานที่อาจจะไม่ถนัด หรืออาจจะเป็นลักษณะงานที่ห่างไกลกับเรื่องของ Technology มาก จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องทำให้ข้อจำกัด หรือช่องว่างระหว่างคนในองค์กรกับ Technology แคบลง สำหรับผู้ประกอบการที่กังวลเรื่องของการนำข้อมูลบริษัทเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลเพราะกลัวการรั่วไหลของข้อมูล ต้องปรับเปลี่ยนแนวความคิดใหม่เพราะ FinTech อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ธปท. ก.ล.ต. และ ปปง. ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายให้ทันสมัย และรองรับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น หรือแม้กระทั่งการจัดการด้านภาษี ซึ่งปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่สามารถช่วยให้ธุรกิจบริหารการเสียภาษีที่ดีและโปร่งใส เช่น แพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Tax planning สุดท้ายนี้ผู้ประกอบการต้องย้อนกลับมามององค์กรของตัวเอง หากพบว่าองค์กรของเรายังใช้อะไรที่เป็นรูปแบบเดิม ๆ ควรเร่งปรับตัว ซึ่งสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับ FinTech ที่ต้องการได้ในอินเตอร์เน็ต หรืออาจจะเริ่มศึกษาคู่แข่งว่ามีการใช้เทคโนโลยี FinTech อย่างไรบ้าง และนำมาพัฒนาองค์กรของตัวเองให้ดีขึ้น บทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรู้ด้านเทคโนโลยี FinTech เท่านั้น หากสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับ FinTech เพิ่มเติม สามารถเข้าชม VDO บรรยายตัวเต็มจาก คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ได้โดยคลิกที่ Link นี้ SHOW CASE
Related Articles |